ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 337 งานเลี้ยงต้อนรับ
ตอนที่ 337 งานเลี้ยงต้อนรับ
เย่เชียนนั้นก็รู้เรื่องเกี่ยวกับการเมืองและธุรกิจใต้ดินของเขตปกครองพิเศษไต้หวันอยู่บ้างซึ่งนั่นก็เป็นเป้าหมายของภารกิจของในครั้งนี้ แต่ถึงยังไงเย่เชียนเองก็ไม่ค่อยชัดเจนเกี่ยวกับระบบการเมืองมากนัก ดังนั้นเขาจึงต้องวางแผนอย่างและดำเนินการสิ่งต่างๆ ไปอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำให้สำเร็จได้ในชั่วข้ามคืนแต่อย่างใด
เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดแล้วซือเหวินจื้อก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและเขาก็หัวเราะแห้งๆ และพูดว่า “ข่าวลือมันก็เป็นแค่ข่าวลือเพียงเท่านั้นน่ะคุณเย่..คุณเย่อย่าไปจริงจังอะไรกับข่าวเหล่านั้นเลย..ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลของเราฉันสามารถรับประกันได้เลยว่าการลงทุนในไต้หวันของคุณเย่จะไม่เกิดปัญหาใดๆ หรืออุปสรรคใดๆ เลยครับ”
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เย่เชียนไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาคลุกคลีกับเรื่องเหล่านี้มานานแล้วเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? อย่างไรก็ตามเพราะถึงยังไงสิ่งที่เย่เชียนต้องการก็คือคำพูดของซื่อเหวินจื้อนั่นเองเพราะมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาของกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าในเขตการปกครองพิเศษไต้หวันแห่งนี้ เพราะด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลนั้นมันก็ง่ายกว่ามากที่จะทำสิ่งต่างๆ
เย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ถ้างั้นผมก็รู้สึกโล่งใจกับคำพูดของท่านนายกเทศมนตรีซื่อครับ..เพราะผมเองก็รู้ดีว่ามันจะต้องมีองค์กรใต้ดินอยู่ทุกที่อยู่แล้ว..เพราะเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของผมก็เคยประสบปัญหาเหล่านี้มาเหมือนกันตอนที่ผมอยู่ต่างประเทศน่ะ..แต่หลังจากที่เกิดปัญหาดังกล่าวแล้วรัฐบาลก็สนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเคร่งครัดจนทุกอย่างก็พัฒนาไปอย่างราบรื่น..เพราะงั้นผมก็เชื่อว่ารัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ของไต้หวันเองก็สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ดี”
ซื่อเหวินจื้อพูดอย่างเร่งรีบว่า “แน่นอนว่ารัฐบาลไทเปของเราจะร่วมมือกับคุณเย่และคอยช่วยเหลือคุณเย่อย่างเต็มที่!”
“งั้นผมต้องขอบคุณท่านนายกเทศมนตรีซื่อล่วงหน้าก่อนเลยก็แล้วกันครับ!” เย่เชียนพูดต่อ “เอาไว้มีโอกาสผมจะไปเยี่ยมท่านนายกเทศมนตรีซื่อเป็นการส่วนตัวนะครับ”
ขณะที่กำลังคุยกันรถก็ได้มาหยุดที่ทางเข้าของโรงแรมสุดหรูและหลังจากที่ทุกคนลงจากรถแล้วซื่อเหวินจื้อก็พาเย่เชียนกับหูวเค่อไปที่ภัตตาคารที่จัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าซึ่งมีชายชราจำนวนหลายคนนั่งพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นเย่เชียนเข้ามาทุกคนก็หยุดคุยกันทันทีแต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นแต่อย่างใดส่วนซื่อเหวินจื้อเองก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ซึ่งเมื่อเห็นฉากแบบนี้เย่เชียนก็สามารถเข้าใจได้นั่นก็เพราะว่าเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูลของเขตการปกครองพิเศษไต้หวันที่พวกเขาเตรียมเอาก่อนหน้านี้นั้นก็มีข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับชายชราเหล่านี้และเย่เชียนก็ดูอย่างละเอียดเช่นกัน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกใต้ดินของไต้หวันอย่างมากและแล้วพวกเขาก็ค่อยๆ ทำสิ่งต่างๆ อย่างถูกกฏหมายและกลายเป็นสมาชิกของรัฐบาลอย่างเป็นทางการซึ่งสิ่งนี้นั้นเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างมากของการเมืองเขตการปกครองพิเศษไต้หวัน
ส่วนเหล่าลูกน้องและผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงดำเนินธุรกิจใต้ดินของตัวเองต่อไปโดยใช้สถานะสมาชิกรัฐสภาเพื่อทำสิ่งต่างๆ บังหน้า แต่พวกเขาก็ยังคงสนับสนุนและเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ผิดกฎหมายในรูปแบบที่ถูกกฎหมายเพราะนี่ก็คือเหตุผลที่องค์กรใต้ดินของไต้หวันต้องการผลักดันให้ผู้มีอำนาจของโลกใต้ดินไปเป็นคนของรัฐบาลอย่างเป็นทางการนั่นเอง จากสถิติที่ไม่แน่นอนมานักประมาณ 30% ของสมาชิกรัฐสภาและคนของรัฐบาลนั้นล้วนมาจากองค์กรใต้ดินกันทั้งนั้น
หากต้องการที่จะโจมตีเหล่าองค์กรใต้ดินแบบตรงๆ นั้นมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเย่เชียนจึงตั้งเป้าหมายทั้งหมดเอาไว้ที่คนจากองค์กรใต้ดินที่ผันตัวมาเป็นสมาชิกรัฐสภาและเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ ขั้นตอนแรกคือการนำสิ่งเหล่านี้ไปปรับใช้เองแน่นอนว่าปัญหาไม่ได้เล็กและเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขด้วยการบังคับเพียงอย่างเดียว
หลังจากที่นั่งลงกันแล้วซื่อเหวินจื้อก็แนะนำเย่เชียนให้รู้จักกับชายชราทีละคนๆ และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะรู้ข้อมูลของพวกเขามาแล้วก็ตามถึงยังไงเย่เชียนก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยและก็จับมือกับพวกเขาทีละคนอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งการที่ซื่อเหวินจื้อเชิญพวกเขาเหล่านี้มาในครั้งนี้นั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเขาต้องการให้เย่เชียนรู้จักและทำความคุ้นเคยกับพวกเขาเหล่านี้เอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและความเข้าใจผิดกันในภายหลัง เพราะมันจะเป็นเรื่องยากสำหรับซื่อเหวินจื้อที่เป็นคนกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย
ซึ่งองค์กรที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดของเขตการปกครองพิเศษไต้หวันนั้นคือองค์กรสามมุมเมืองแห่งไทเปและองค์กรซูเหลียนแห่งเมืองไถหนาน ซึ่งทั้งสององค์กรนั้นต่างก็ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานและไม่มีท่าทีที่จะหยุดเลย แต่ทว่าตั้งแต่ที่ผู้นำคนใหม่ขึ้นมาปกครองแล้วระหว่างองค์กรทั้งสองนั้นก็หยุดต่อสู้กันและจับมือเป็นพันธมิตรและร่วมกันเพื่อเข้าสู่รัฐบาล ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ที่นี่ด้วยซึ่งมีเพียงแค่สมาชิกอาวุโสขององค์กรสามมุมเมืองและองค์กรซูเหลียน ส่วนผู้นำของพวกเขานั้นต่างคนก็ต่างปกป้องสถานะของพวกเขาในฐานะผู้นำด้วยเช่นกัน เพราะแน่นอนว่าบุคคลระดับผู้นำเช่นพวกเขานั้นจะไม่มาตามคำเชิญของซื่อเหวินจื้ออย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่าในสายตาของพวกเขานั้นซื่อเหวินจื้อก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ามดตัวเล็กๆ ที่สามารถถูกพวกเขาเหยียบจนตายได้เพียงแค่ขยับ
ซึ่งแม้แต่เย่เชียนก็เช่นกันเพราะในมุมมองของพวกเขาเย่เชียนเองก็เป็นเพียงแค่นักธุรกิจตัวเล็กๆ นั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นรู้น้อยมากเกี่ยวกับตัวตนของเย่เชียน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็คิดเพียงแค่ว่าถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเป็นCEOของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วมันยังไงล่ะแล้วจะยิ่งใหญ่มาจากไหน? ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ดั่งสำนวนที่ว่าถ้ามังกรที่แข็งแกร่งไม่บดขยี้งูแล้วล่ะก็พวกเขาจะกลัวเย่เชียนได้อย่างไร แต่ทว่าเย่เชียนเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อยเพราะสิ่งที่เขาต้องการก็คือผลลัพธ์เช่นนี้อยู่แล้ว นั่นก็เพราะว่าถ้าองค์กรยักษ์ใหญ่ทั้งสองของไต้หวันหันมาสนใจเขาล่ะก็มันก็จะขัดขวางการพัฒนาเขี้ยวหมาป่าและแม้แต่แผนการต่างๆ ของเขาอย่างแน่นอน
ในด้านของโรงยิมศิลปะการต่อสู้ที่จัดทำโดยเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็นั้นเป็นเพียงเบื้องหน้าของแผนการกวาดล้างโลกใต้ดินของไต้หวันเพียงเท่านั้น ซึ่งนีก็เป็นเพียงการดำเนินการเล็กๆ น้อยๆ ของเย่เชียนซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นั้นมันยังไม่ถึงเวลา
“คุณคือเย่เชียนที่เป็นผู้ก่อตั้งโรงยิมชมรมศิลปะการต่อสู้ที่เพิ่งจะเป็นประเด็นร้อนแรงในประเทศจีนเมื่อไม่นานมานี้หรือเปล่า..โอ้..คุณยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย..ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นถึงCEOของเครือน่านฟ้ากรุ๊ป!” โจวหลินซุนพูดแล้วยิ้ม ถึงแม้ว่าเขาจะพูดชมเชยเย่เชียนแค่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีความจริงใจใดๆ เลย
โจวหลินซุนผู้นี้ตามข้อมูลของหน่วยข่าวกรองของเขี้ยวหมาป่าที่ส่งมาให้เย่เชียนนั้นเขาก็ได้ข้อมูลมาว่าโจวหลินซุนคนนี้เป็นผู้อาวุโสขององค์กรสามมุมเมืองแห่งไทเปและตอนนี้เขาก็เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองของไทเป
เย่เชียนก็หัวเราะอย่างเฉยเมยและพูดว่า “ผู้คนน่ะถูกแบ่งออกสิบแบบสิบชนชั้น..หนึ่งคนธรรมดาสามัญ..สองเจ้าหน้าที่รัฐ..สามพระ..สี่มหาเศรษฐี..ห้าหมอ..หกแรงงานก่อสร้าง..เจ็ดช่างฝีมือ..แปดโสเภณี..เก้านักปราชญ์และสิบขอทาน..ซึ่งคนอย่างพวกเราน่ะอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีห้าแบบที่ผสมกันอยู่ในตัวเอง..เพราะแบบนั้นผมก็ไม่สามารถไปเปรียบเทียบกับหัวหน้าโจวได้หรอกครับ..ผมเองที่ต้องรบกวนหัวหน้าโจวในอนาคตน่ะครับ”
“พูดได้ดีหนิ!” โจวหลินซุนพูด
“คุณเย่แผนการลงทุนของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปในครั้งนี้เป็นยังไงหรอครับ..มันไม่ใช่แค่การเปิดสโมสรโรงยิมใช่มั้ย?” ซื่อเหวินจื้อถามอย่างประหม่า
“ไม่แน่นอนครับเพราะนี่เป็นเพียงหนึ่งในโครงการของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปของเราเท่านั้น..ซึ่งเราก็ยังมีแผนจะสร้างอุตสาหกรรมโลจิสติกส์การขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียที่ไต้หวันนี้ด้วยครับ..และต่อไปเราก็จะมุ่งส่งออกทรัพยากรและผลิตภัณฑ์ของไต้หวันไปยังทั่วทุกทวีปและทั่วโลก..โดยการนำเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในไต้หวันซึ่งมันจะช่วยเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจของไต้หวันได้เป็นอย่างดี!” เย่เชียนพูดต่อ “พวกเรามีประสบการณ์ในด้านนี้ตอนที่เราอยู่ในประเทศฝรั่งเศสและเราก็พัฒนาและปรับปรุงมาอย่างดี..ซึ่งท้ายที่สุดแล้วพวกเราต่างก็มีรากฐานและบรรพบุรุษในฐานะนักธุรกิจเหมือนกัน..และแน่นอนว่าพวกเขาคงหวังว่าลูกหลานของพวกเขาจะอยู่ดีกินดีตลอดไป”
ถ้าไต้หวันเป็นดั่งหัวใจก็แสดงว่าเศรษฐกิจนั้นคือเส้นเลือดซึ่งต้องคอยควบคุมการไหลเวียนของเลือดเพราะถ้าหากเส้นเลือดเส้นใดเส้นหนึ่งแตกมันก็จะทำให้หัวใจล้มเหลวได้โดยตรง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืออุตสาหกรรมโลจิสติกส์หรือการขนส่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการควบคุมเศรษฐกิจของประเทศและมณฑลและเมืองต่างๆ นั่นเอง
นี่คือจุดประสงค์ของเย่เชียนเพราะเขาต้องการสร้างอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งมันไม่ใช่แค่การทำเบื้องหน้าของแผนการต่างๆ เพียงเท่านั้นแต่มันยังสามารถผูกขาดตลาดและทำกำไรได้อย่างมหาศาลอีกด้วย เพราะถ้าหากว่าใครสามารถครอบครองและควบคุมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของเมืองไต้หวันได้ล่ะก็มันก็เท่ากับว่าเขาได้ควบคุมเศรษฐกิจของไต้หวันด้วยมือของเขาเอง
ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากภูมิภาคใดที่มีอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ล่ะก็ที่แห่งนั้นก็จะมีโอกาสอย่างมากในการพัฒนาเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าซื่อเหวินจื้อนั้นสามารถมองเห็นได้เพียงแค่จุดประสงค์เดียว เพราะแน่นอนว่าเขานั้นไม่สามารถรู้ได้เกี่ยวกับจุดประสงค์อื่นๆ ของเย่เชียนเลย โดยรวมแล้วเขตการปกครองพิเศษไต้หวันนั้นมีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เป็นเกาะและโลจิสติกส์การขนส่งที่เอื้ออำนวยก็คือการขนส่งทางเรือและทางอากาศนั่นเอง ซึ่งในด้านการขนส่งทางเรือและการเดินเรือนั้นเย่เชียนก็ไม่ต้องกังวลอะไรเลยเขาสามารถใช้กลุ่มโจรสลัดซาตานเพื่อทำลายบริษัทขนส่งและบริษัทโลจิสติกส์อื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ส่วนสำหรับการขนส่งทางอากาศนั้นจริงๆ แล้วมันก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ของโลจิสติกส์เพียงเท่านั้นเพราะท้ายที่สุดแล้วการขนส่งทางอากาศมันก็มีค่าใช้จ่ายที่แพงมากเกินไป
ในขณะนี้ซื่อเหวินจื้อก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมากและถ้าหากเป็นจริงตามที่เย่เชียนพูดล่ะก็การจัดตั้งศูนย์โลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียก็จะเป็นที่จับตามองไปทั่วโลกและจะสามารถพัฒนาเมืองไทเปได้อย่างรุ่งโรจน์อีกด้วยและแม้แต่ไต้หวันเองก็ด้วย และที่สำคัญไปกว่านั้นเขาไม่เพียงแค่ได้รับผลกำไรมหาศาลจากมันเพียงเท่านั้นแต่เขายังได้รับความสำเร็จทางการเมืองอีกด้วยเพราะไม่ว่ามันจะเป็นอะไรถึงยังไงเขาก็ได้แต่ผลประโยชน์ “คุณเย่..คุณสามารถมั่นใจได้เลย..และถ้าหากคุณต้องการอะไรในอนาคตล่ะก็โปรดติดต่อฉันโดยตรงได้เลย..ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยสนับสนุนคุณ” ซื่อเหวินจื้อพูด
“ต้องขอบคุณท่านนายกเทศมนตรีซื่อล่วงหน้าอีกครั้งนะครับ” เย่เชียนพูดต่อ “และนอกจากนี้ท่านผู้อาวุโสทุกท่านครับ..น้องเย่คนนี้จะไปเยี่ยมพวกคุณทีละคน..และผมก็หวังว่าพวกคุณจะเมตตากรุณาผมนะครับ”
ชายชราเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและโออ่าวางมาดกันทั้งนั้นแต่ก็มีดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องไปที่ร่างของหูวเค่ออย่างหื่นกระหาย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองของเมืองไทเปก็ตามแต่ถึงยังไงพวกเขาก็ยังคงเป็นคนของโลกใต้ดินอยู่ดีดังนั้นพวกเขาก็มักจะเต็มไปด้วยจิตใจที่สกปรกเสมอและอิอาจลบล้างมันได้เลย
หูวเค่อนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจสายตาของพวกเขาเลยแม้แต่น้อยซึ่งในความคิดของเธอนั้นคนเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าเธอต่างก็เป็นแค่ตัวตลกเท่านั้น เพราะเธอนั้นเชื่อว่าภายใต้การกระทำของเย่เชียนแล้วคนเฒ่าคนแก่เหล่านี้ก็จะกลายเป็นฝุ่นและก็จมน้ำตายและละลายหายไปในแม่น้ำโดยไร้ร่องรอยใดๆ อย่างแน่นอน ซึ่งสถานะของเธอและหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นก็แข็งแกร่งและมีอำนาจอย่างมาก ซึ่งเธอกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นก็มีบางอย่างที่เหมือนกันซึ่งนั่นก็คือความสนใจในตัวของเย่เชียนเพราะเย่เชียนนั้นมีบางสิ่งในตัวของเขาที่เธอสนใจเป็นอย่างมากและถึงแม้ว่าเย่เชียนอาจจะไม่รู้ตัวในตอนนี้ก็ตามแต่ถึงยังไงสักวันหนึ่งเขาก็จะรู้ได้เองและเมื่อถึงตอนนั้นเขากับเธอจะเป็นเช่นไรก็ไม่มีใครอาจรู้ได้
นี่คือเหตุผลที่ทำไมเธอถึงได้ยอมมอบใบเบิกทางที่รุ่งโรจน์ให้แก่เย่เชียนเช่นนี้หลังจากที่เธอเห็นเย่เชียนเพียงแค่แรกพบ ซึ่งตอนนั้นเธอเองก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่าเย่เชียนจะเป็นถึงผู้นำของกองกำลังทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ และนั่นก็เพราะว่าความลับที่ซ่อนอยู่ในผู้ชายคนนี้นั้นทำให้เธอสนใจเขามากเช่นเดียวกันกับที่เย่เชียนสนใจในตัวเธอเพราะความลับของเธอนั่นเอง แต่เย่เชียนเองก็ไม่ถามเธอเลยว่าจริงๆ แล้วเธอรู้สึกยังไงกับเขาจนทำให้ตอนนี้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ลึกลับมากและมิอาจเข้าใจได้เลย
งานเลี้ยงต้อนรับก็ได้จบลงด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างจะธรรมดาๆ ซึ่งเหล่าสมาชิกอาวุโสและซื่อเหวินจื้อก็ออกไปทีละคนๆ และเย่เชียนเองก็ได้ส่งมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับคนเหล่านั้นเพราะเกี่ยวกับเงินตรานั้นเย่เชียนก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากและเขาก็ค่อนข้างที่จะใจกว้างในสายตาของเขาเพราะเย่เชียนนั้นเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าถ้าหากเขาใช้เงินไปจำนวนหนึ่งเขาก็ต้องได้กลับมาจำนวนหนึ่งและมันก็จะมากยิ่งกว่า เพราะเมื่อเขามาถึงเขตการปกครองพิเศษไต้หวันแห่งนี้แล้วสิ่งแรกที่เขาต้องรักษาเอาไว้ก็คือความมั่นคงและเพื่อป้องกันไม่ให้สมาชิกขององค์กรเหล่านั้นเข้ามายุ่งวุ่นวายและมาสร้างปัญหาเพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินการสิ่งต่างๆ ในอนาคต
เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดได้กลับกันไปหมดแล้วเย่เชียนก็ลุกขึ้นยืนและมองไปที่หูวเค่อและก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “เราก็ไปกันเถอะ..พี่น้องเขี้ยวหมาป่าของผมเขาจองห้องเอาไว้ให้แล้ว”
“คุณเนี่ยช่างเป็นคนที่ใจกว้างมากเลยเนอะ..คุณให้สิ่งต่างๆ กับคนอื่นตั้งมากมายแล้วเมื่อไหร่คุณจะมอบดอกไม้ให้ฉันบ้างล่ะคะ..บางทีฉันก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะ” หูวเค่อพูดอ้อนอย่างคาดหวัง
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย..แล้วความสัมพันธ์ระหว่างเราคืออะไรหรอ..เงินมันก็เงินของผมหนิเพราะงั้นผมจะทำอะไรก็ได้ไม่ใช่หรอ”
.
.
.
.
.
.
.