ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 340 ว้าวุ่น
ตอนที่ 340 ว้าวุ่น
เด็กวัยรุ่นโต๊ะข้างๆ เย่เชียนนั้นอายุยังไม่มากเขาอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ซึ่งรูปลักษณ์ของเขานั้นผมยาวมากและแต่งตัวแปลกๆ โดยมีเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อายุไล่เลี่ยกับเขาอีกสองสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะของเขาและพวกเขาทั้งหมดจ้องมองมาที่เย่เชียนด้วยท่าทางที่เคร่งเครียดและไม่สบอารมณ์อย่างมาก
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้สนใจพวกเขาและนั่งกินอาหารอย่างสบายใจเฉิบ เพราะนักเลงเหล่านี้นั้นไม่สามารถดึงดูดสายตาของเย่เชียนได้เลย ส่วนหูวเค่อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่พวกเขาเหล่านั้นอย่างเย็นชา
หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของหูวเค่ออย่างชัดเจนแล้วเด็กหนุ่มวัยรุ่นเหล่านั้นก็มีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายปรากฏอยู่ที่ใบหน้าทันที ซึ่งเด็กหนุ่มผมยาวที่พูดเมื่อครู่นี้ก็ลุกขึ้นและเดินไปที่โต๊ะของเย่เชียนอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนพลางคิดว่าผู้ชายคนนี้ดูธรรมดามากและหลังจากนั้นเขาก็หันไปมองหูวเค่อและพูดเบาๆ ว่า “สาวสวย..เธอชื่ออะไรเหรอ..เธอมีแฟนหรือยัง?”
เย่เชียนก็ไม่ได้คิดที่จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยและยิ่งไปกว่านั้นเขากลับอธิษฐานให้เด็กหนุ่มคนนี้อย่างลับๆ ว่าไปยั่วโมโหหูวเค่อเลยเพราะเธอนั้นอาจจะฆ่าใครก็ตามที่มายุ่งวุ่นวายกับเธอ หูวเค่อก็ขมวดคิ้วและยิ้มอย่างเหยียดหยามและพูดว่า “ออกไปซะ!”
“หืม..อารมณ์ฉุนเฉียวดีหนิ! ..ฉันล่ะชอบผู้หญิงที่เร่าร้อนเหมือนเธอจริงๆ ..มันคงจะสนุกน่าดูถ้าเราอยู่บนเตียงด้วยกัน” เด็กหนุ่มผมยาวพูดขณะที่เขาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของหูวเค่อ
หูวเค่อก็ใช้มือซ้ายของเธอตบเข้าไปที่หน้าของเด็กหนุ่มผมยาว ซึ่งด้วยการตบหน้าในครั้งนี้นั้นเป็นสิ่งที่เย่เชียนไม่คาดคิดอย่างมากจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและจ้องมองหูวเค่ออย่างว่างเปล่าและงุนงง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอีกต่อไปแล้วที่ผู้หญิงคนนี้เคยบอกว่าเธอนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยมือของเธอเองเพราะมันจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลวร้ายลง ซึ่งนั่นก็จริงเพราะความแข็งแกร่งและความรุนแรงที่แสดงออกมาโดยการตบครั้งนี้นั้นมันไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่เย่เชียนเองจะสามารถทำได้เลย
ร่างของเด็กหนุ่มผมยาวกระเด็นออกไปเหมือนว่าวที่หักและล้มลงบนโต๊ะซึ่งแม้แต่โต๊ะเองก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และซุปหม้อไฟร้อนๆ ก็หกใส่หน้าของเขาและเขาก็กรีดร้องอย่างโอดครวญ เหล่าวัยรุ่นที่มากับเด็กหนุ่มผมยาวก็ถึงกับผงะไปเพราะพวกเขานั้นมองไม่เห็นเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เพราะพวกเขาเพียงแค่เพื่อนของเขากำลังเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าขอบหูวเค่อแล้วจากนั้นหูวเค่อก็ตบเขา แต่ทว่าเพื่อนของเขากลับกระเด็นออกมาอย่างไม่มีเหตุผลและพวกเขาก็ไม่เชื่ออย่างสุดใจว่าจะมีมนุษย์ที่สามารถตบมนุษย์กระเด็นออกไปในอากาศเช่นนี้ได้ ซึ่งพวกเขาคิดแค่ว่านี่อาจจะเป็นมือหรือเท้าของเย่เชียนก็แอบทำเพื่อนของเขาก็เป็นได้ เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ลังเลใดๆ และรีบหยิบเก้าอี้ขึ้นมาแล้วกำลังจะฟาดเข้าไปที่เย่เชียน
“เฮ้ยเดี๋ยวๆ! ..เธอเป็นคนทำแล้วทำไมถึงมาลงที่ฉันล่ะ” เย่เชียนตะโกนอย่างเร่งรีบ
วัยรุ่นเหล่านั้นก็รู้สึกตกใจไปกับคำพูดของเย่เชียนและจากนั้นพวกเขาก็หันกลับมาและฟาดเก้าอี้ไปทางหูวเค่อ และเป็นเพราะว่าทว่าทักษะของหูวเค่อนั้นสูงกว่าของเขาดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเธอ ซึ่งหลังจากนั้นเย่เชียนก็รีบหยิบหม้อไฟขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวและขยับหนีออกไปด้านข้างและวางหม้อไฟลงจากนั้นเขาก็เริ่มกินมันอย่างสบายใจเฉิบ
หูวเค่อก็ชำเลืองมองไปที่เย่เชียนเย่เชียนและพูดว่า “นี่คุณจะไม่ช่วยฉันหน่อยหรอ?” หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนและปัดเก้าอี้ออกไปด้วยฝ่ามือและในทันใดนั้นเก้าอี้มันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และตามด้วยฝ่ามือทั้งสองที่ถูกปล่อยออกมาเป็นชุดและเพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเขาเหล่านั้นก็กระเด็นกลับไปกันหมด ซึ่งภายในร้านอาหารหม้อไฟนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของลูกค้าคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไป
“หึ! … “เย่เชียนคีบหมูแฮมชิ้นหนึ่งแล้วยัดมันเข้าปากและเขาก็สะดุ้งออกมาเพราะมันร้อนมาก หลังจากนั้นเย่เชียนก็ชำเลืองมองหูวเค่อและพูดว่า “ดูสิ! ..คุณต้องการให้ผมช่วยที่ไหน”
หูวเค่อก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและพูดว่า “ฉันยังไม่ได้กินหม้อไฟเลย”
“อ้อ..มาสิๆ” เย่เชียนยิ้มอย่างมีความสุขและรีบหยิบหม้อไฟมาวางลงบนโต๊ะหลังจากนั้นเขาก็เหลือบไปที่เด็กวัยรุ่นเหล่านั้นแล้วพูดว่า “อย่าหนีไปซะละ..พวกนายทำข้าวของเสียหายไปหลายอย่างแบบนี้แล้วพวกนายก็ควรจะจ่ายค่าเสียหายซะ”
ในขณะนี้เจ้าของร้านอาหารหม้อไฟก็เดินเข้ามาซึ่งเธอเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่น่ารักอย่างมากและมีอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ ซึ่งเธอก็มองไปที่เย่เชียนอย่างสั่นสะท้านและพูดว่า “เอ่อ..ขอโทษนะคะคุณ..ฉันโทรแจ้งตำรวจไปแล้วค่ะ”
เย่เชียนก็หันไปมองเธอและยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คนสวยครับ..คุณก็เห็นแล้วหนิว่าพวกเขามายุ่งวุ่นวายกับพวกเราก่อนน่ะ..ส่วนค่าเสียหายอย่ากังวลไปเลย” หลังจากนั้นเย่เชียนก็ลุกขึ้นและเดินไปที่กลุ่มวัยรุ่นและค้นตัวพวกเขาและหยิบเงินออกมาทั้งหมดและเดินไปวางมันลงบนมือของหญิงสาวและพูดว่า “นี่น่าจะพอสำหรับชดเชยค่าเสียหายใช่มั้ยครับ? ..ส่วนค่าอาหารของผมก็น่าจะพอเหมือนกัน”
หญิงสาวถึงกับแน่นิ่งไปชั่วขณะและเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะเธอนั้นไม่รู้ถึงตัวตนของเย่เชียนเพราะงั้นเธอก็กลัวว่าเขาอาจจะเป็นคนที่เป็นพวกอันธพาลหรือแก๊งมาเฟียเช่นนั้น เพราะสำหรับคนที่ทำธุรกิจปิดร้านเหมือนพวกเธอนั้นต่างก็กลัวคนเหล่านี้และไม่สามารถที่จะไปทำให้พวกเขาขุ่นเคืองได้ เย่เชียนก็ยิ้มและยืนขึ้นพร้อมกับจับมือของหูวเค่อแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ..เดี๋ยวตำรวจมาแล้วจะเป็นปัญหาเอาได้” จากนั้นเย่เชียนก็มองไปที่หญิงสาวเจ้าของร้านหม้อไฟและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลนะ..ผมไม่ได้เป็นพวกนักเลง..คุณเก็บเงินนี้เอาไว้เถอะ..ผมจะไม่รบกวนคุณ”
“เดี๋ยว! ..ฉันยังไม่ได้กินเลย” หูวเค่อพูด
“เอาหน่าเดี๋ยวค่อยไปกินวันหลัง” เย่เชียนพูดพร้อมกับดึงมือของหูวเค่อออกจากร้านอาหารหม้อไฟไป
หลังจากที่เดินเล่นกันข้างนอกไปสักพักทั้งสองก็กลับไปที่โรงแรมและทันทีที่พวกเขาเข้ามาที่ห้องพักเย่เชียนก็ถอดเสื้อผ้าและพูดว่า “ผมขอไปอาบน้ำก่อนนะ..คุณไปรอผมที่เตียงได้เลย”
หูวเค่อถึงกับผงะไปและพูดว่า “นี่คุณจะทำอะไร? ..คุณอยากตายจริงๆ หรอ?”
“ถ้าต้องตายภายใต้ดอกโบตั๋นที่งดงามอย่างคุณ..ผมยอมเป็นผีก็ได้” เย่เชียนพูดขณะที่เขาเข้าไปในห้องน้ำ และภายในหัวใจของหูวเค่อก็เต้นเร็วขึ้นและหัวใจของเธอก็สับสนวุ่นวายอย่างมากพลางคิดว่าเขาอยากทำจริงๆ อย่างงั้นเหรอ? แล้วถ้าหากว่าเขาต้องการทำจริงๆ ล่ะ? ฉันควรจะทำยังไงดี? หูวเค่อคิดไปต่างๆ นาๆ อย่างกระวนกระวายใจ
ภายในห้องน้ำที่มีเสียงน้ำจากฝักบัวหยดลงมาและเสียงฮัมเพลงที่ดูมีความสุขของเย่เชียนนั้นดูเหมือนว่าจะไปกระทบหัวใจของหูวเค่ออย่างมากจนทำให้เธอมีความคิดที่สับสนวุ่นวายและกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหูวเค่อที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นและกดรีโมทคอนโทรลเพื่อเปิดโทรทัศน์ดูแต่ทว่ามันก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างมากเพราะในรายการทีวีนั้นล้วนแต่เป็นหนังลามกบนเตียงซึ่งทำให้หูวเค่อหน้าแดงก่ำ
หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยหุ้มเอาไว้เพียงผ้าขนหนูอาบน้ำตัวเดียวและเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นภาพที่น่าหลงใหลเช่นนี้ปรากฏอยู่บนโทรทัศน์จนทำให้เขาผงะไปครู่หนึ่งหลังจากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “คุณหนู..ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณหนูเค่อของเราจะเป็นคนที่โรแมนติกขนาดนี้..ที่ถึงกับบิ้วอารมณ์รอผมเลยหรอ”
หูวเค่อก็ตกใจและกรีดร้องออกมา “อ๊าย! ..” แล้วเธอก็รีบปิดโทรทัศน์ไปเพราะเธอจะรู้ได้ยังไงว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นแล้วเพราะเหตุใดทำไมวิดีโอเหล่านี้ถึงได้มาอยู่บนโทรทัศน์เช่นนี้ได้ และเธอจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือลักษณะและบริการพิเศษเฉพาะของโรงแรมนี้และเธอจะรู้ได้อย่างไรว่าแขกส่วนมากที่มาพักที่นี่นั้นเป็นคู่รักหรือมาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ดังนั้นทางโรงแรมจึงจัดเตรียมหนังและวีดีโอเหล่านี้เพื่อปรับอารมณ์
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขและเดินไปข้างๆ หูวเค่อแล้วนั่งลงจากนั้นก็หันหน้าไปหาเธอและพูดว่า “อย่าปิดสิ..เรามาดูด้วยกันเถอะ” ในขณะที่เขาพูดเขาก็หยิบรีโมทคอนโทรลจากมือของหูวเค่อมาและเปิดทีวี ซึ่งเสียงครวญครางของผู้หญิงและผู้ชายก็ดังกึกก้องอยู่ในห้องและจู่ๆ หูวเค่อก็แน่นิ่งไปและทำอะไรไม่ถูกและเธอก็อยากจะหนีออกไปจากที่นี่แต่เธอก็รู้สึกว่าร่างกายของเธอนั้นดูเหมือนว่ามันจะไม่ฟังคำสั่งของเธอเลย
เมื่อหูวเค่อเห็นวิดีโอเหล่านี้เธอก็รีบหันหน้าหนีไปอย่างร้อนรนแต่ทว่าด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเธอนั้นทำให้เธอแอบเหลือบไปมองเป็นครั้งคราวแต่เธอก็ต้องการที่จะปิดหูของเธอแต่ถึงยังไงเสียงเหล่านั้นก็ยังคงเหมือนพลังคลื่นเสียงของปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ที่ใช้กำลังภายในซึ่งมันได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเธอจากทุนอณูในร่างกายของเธอ
เมื่อหูวเค่อรู้สึกตัวได้อีกทีเธอก็พบว่าเธอนั้นกำลังค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูอาบน้ำของเย่เชียนออกโดยไม่รู้ตัวและทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าพละกำลังของเธอนั้นมาจากไหนเพราะจู่ๆ เธอก็ผลักเย่เชียนออกไปอย่างรุนแรงและรีบวิ่งหนีเข้าไปในห้องนอนด้วยความว้าวุ่นใจทันที ซึ่งเย่เชียนที่อยู่ตรงนั้นก็มองออกไปด้วยความตกใจและเหงื่อของเขาก็ไหลออกมาอย่างรุนแรงหลังจากนั้นเขาก็รีบปิดโทรทัศน์ไปและใส่เสื้อผ้าและนอนอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น
เมื่อนึกถึงการแสดงออกหูวเค่อเมื่อครู่นี้เย่เชียนก็รู้สึกตลกเพราะผู้หญิงคนนี้นั้นเธอน่ารักอย่างมากเพราะไม่ว่าปากของเธอจะแข็งกร้าวแค่ไหนแต่จิตใจของเธอก็ยังคงยุ่งเหยิงและว้าวุ่นเมื่อต้องเผชิญกับช่วงเวลาและสถานการณ์เช่นนี้ แต่ถ้าหากว่าสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปและเลยเถิดไปในคืนนี้ล่ะก็ซ่งหลันก็คงจะทำให้เย่เชียนต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
…..
วันเวลาผ่านไปสองสามวันในเมืองไทเปและการตกแต่งและการจัดการสโมสรโรงยิมศิลปะการต่อสู้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในวันเปิดงานอย่างเป็นทางการนั้นก็มีเหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวจำนวนมากมาลงทะเบียนและแม้แต่สื่อหลักๆ ในไต้หวันเองก็เข้ามาติดต่อสอบถามกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งตัวของเย่เชียนนั้นก็เกือบจะล้อมรอบไปด้วยคนหนุ่มสาวที่มาขอถ่ายรูปกับเขา
เหล่าสมาชิกของหน่วยย่อยหมาป่าเพชฌฆาตของเฉินโม่นั้นก็มีหน้าที่ในการรับลงทะเบียนเหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวที่มาสมัคร ซึ่งในเวลาเพียงสองชั่วโมงยอดจำนวนผู้สมัครสมาชิกก็เต็มแน่นซึ่งทำให้เย่เชียนตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งระบบค่าธรรมเนียมของสโมสรโรงยิมศิลปะการต่อสู้คือการจ่ายค่าเล่าเรียนเดือนละครั้งซึ่งมากกว่าหนึ่งพันหยวนในแต่ละครั้งโดยมีจำนวนนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกคือ 200 คน ซึ่งหมายถึงรายได้คงที่ประมาณ 200,000 หยวนต่อเดือน
เมื่อเย่เชียนกำลังยุ่งอยู่ในโรงยิมนั้นจู่ๆ ชายคนหนึ่งก็ได้นำกลุ่มคนเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดและผู้นำก็อยู่ในวัยสามสิบต้นๆ โดยสวมชุดคาราเต้สายดำเอาไว้ ซึ่งผู้นำคนนั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “ใครรับผิดชอบที่นี่?”
เมื่อเห็นท่าทีที่ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดเช่นนี้แล้วเหล่าสื่อมวลชนจำนวนมากก็หันกล้องไปที่นักข่าวและพวกเขาเหล่านั้นกันหมดเลยเพราะดูเหมือนว่ากำลังจะมีการสื่อข่าวเป็นประเด็นร้อนและจะมีการพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ในพรุ่งนี้กันแล้ว
เย่เชียนที่กำลังถ่ายรูปกับกลุ่มเด็กๆ และหญิงสาวอยู่ก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็ยิ้มให้สาวๆ เหล่านั้นแล้วเดินเข้าไปหาและพูดว่า “ผมเป็นคนรับผิดชอบที่นี่เอง..คุณมาที่นี่เพื่อสมัครเรียนหรือเปล่าครับ? ..ขอโทษทีนะครับเพราะจำนวนนักเรียนที่ทำการลงทะเบียนเต็มแล้ว..ถ้าหากคุณต้องการที่เรียนล่ะก็ต้องรอสาขาใหม่เปิดก่อนนะครับ”
เมื่อดูจากรูปลักษณ์และการแสดงออกของพวกเขานั้นเย่เชียนก็รู้ว่าพวกเขาต้องมาสร้างปัญหาแน่ๆ ซึ่งผู้นำของคนกลุ่มนั้นก็พูดภาษาจีนไม่ได้มาตรฐานมากซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่ามีน้ำเสียงของประเทศญี่ปุ่นผสมอยู่ด้วย ซึ่งเย่เชียนเองก็แกล้งถามพวกเขาอย่างจงใจเพราะที่จริงแล้วถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่มาหาเขาแต่ทว่าถึงยังไงแล้วเขาเองก็จะไปเยือนพวกเขาเช่นกัน นั่นก็เพราะว่าคนเหล่านี้นั้นเปิดชมรมสอนศิลปะการต่อสู้เช่นกันซึ่งเป็นหลักสูตรคาราเต้และยูโดและไอกิโดซึ่งมีสาขาไปทั่วทุกเมืองในเขตการปกครองพิเศษไต้หวันแห่งนี้
.
.
.
.
.
.
.