ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 348 ทองคำแท่งสามารถฆ่าคนได้
ตอนที่ 348 ทองคำแท่งสามารถฆ่าคนได้
“ห๊ะ! ..ฮ่าๆ ..” ยู่เจ้อฮงหัวเราะอย่างเสียงดังเพราะนี่น่าจะเป็นเรื่องตลกที่สุดที่เขาเคยได้ยินมาก่อน ซึ่งคนอย่างเขาจะถูกเด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่งพูดว่าเขากำลังจะเหยียบย่ำตัวเองให้ตายอย่าง่ายๆ
“นี่แกล้อเล่นฉันเล่นงั้นเหรอ..เด็กอย่างแกเนี่ยนะจะเหยียบย่ำฉันให้ตาย? ..ฉันต่างหากที่สามารถฆ่าแกได้ด้วยเงิน!” ยู่เจ้อฮงพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
“คุณรวยขนาดนั้นเลยเหรอ?” เย่เชียนพูดอย่างเย้ยหยัน
“อย่างน้อยๆ มันก็มากพอที่จะฆ่าแกได้ก็แล้วกัน!” ยู่เจ้อฮงด้วยดึงสร้อยคอทองคำที่ห้อยคอของเขาอยู่ออกมาแล้วพูดว่า “นี่แกเห็นมั้ย? ..แกเห็นมันใช่มั้ย..ฉันน่ะสามารถฆ่าแกได้ด้วยสร้อยเส้นนี้เลย”
“ฮ่าๆ …” เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเพราะเขานั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในโลกนี้มันจะมีคนที่คิดว่าการสวมสร้อยคอทองคำมันจะทำให้เป็นคนรวยไปได้ “นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความรวยงั้นเหรอ? ..โถ่ๆ ..ผมน่ะมักจะใช้เพชรดีดเล่นแทนลูกแก้วและใช้ทองคำแท่งปูพื้นที่บ้านอ่ะนะ..เพราะงั้นก็จำใส่สมองเอาไว้ซะว่าถ้าคุณกล้าที่จะโชว์สร้อยคอทองคำต่อหน้าผมล่ะก็มันก็เหมือนกับการที่ถือดาบและทวนต่อหน้ากวนอูนั่นเอง” เย่เชียนพูดและจากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและโทรไปหาเฉินโม่แล้วพูดว่า “เฉินโม่! ..รีบไปที่ธนาคารและแลกทองคำแท่งทั้งหมดของสาขานั้นมาให้ฉันที..และส่งมาที่โรงแรมนี้ด่วน!”
จากนั้นเย่เชียนก็วางสายโทรศัพท์ไปและพูดกับยู่เจ้อฮงว่า “ถ้าคุณมั่นใจนักก็อย่าเพิ่งหนีไปไหนล่ะ..ผมจะให้คุณดูสักหน่อยว่าคนรวยมันเป็นยังไง!”
“อย่ามาเฉไฉ 18 มงกุฎกับฉัน! ..การที่มีขอทานมาอยู่ที่นี่มันจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์..เพราะงั้นไล่มันออกไปซะ!” ยู่เจ้อฮงพูดและหลังจากนั้นเขาก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้เหยาซื่อฉีและพูดว่า “ซื่อฉี..เธอไม่ต้องกังวลไปนะ..ฉันจะรีบไล่มันออกไปในทันที” หลังจากนั้นเขาก็ตะโกนใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมว่า “นี่พวกแกกำลังทำอะไรกันอยู่! ..มัวยืนงงกันอยู่ทำไม! ..รีบไล่มันออกไปสิ!”
เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมสองคนได้ยินคำสั่งของยู่เจ้อฮงแล้วพวกเขาก็ผงะไปครู่หนึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็กัดฟันแน่นแล้วเดินเข้าไป นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ว่าโรงแรมแห่งนี้จะไม่ได้เป็นของยู่เจ้อฮงก็ตามแต่ถึงยังไงยู่เจ้อฮงก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญและพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเพิกเฉยได้เลย “เอ่อคุณครับ! ..ขอโทษทีนะครับ..คุณช่วยออกไปหน่อยจะได้มั้ยครับ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดอย่างสุภาพ
เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “ทำไมพวกคุณถึงต้องไปฟังเขาด้วยล่ะ? ..พวกคุณไม่ได้ทำงานให้เขาหนิ? ..หรือว่าโรงแรมของคุณไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้ามาข้างในอย่างงั้นเหรอ..ถ้างั้นห้องพักของโรงแรมนี้ราคาเท่าไหร่ต่อคืน? 10,000 หยวนนี่พอมั้ย?” หลังจากพูดเช่นนั้นเย่เชียนก็หยิบเงิน 10,000 หยวนออกมาจากเสื้อของเขาและยื่นมันให้พร้อมกับพูดว่า “ตอนนี้ผมก็สามารถอยู่ที่นี่ได้หนึ่งคืนแล้วใช่มั้ย?”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมทั้งสองก็สุภาพกับเย่เชียนดังนั้นเย่เชียนจึงไม่อยากทำให้พวกเขาต้องลำบากใจเช่นกัน ซึ่งในขณะนี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะเพราะปรากฏว่าเย่เชียนนั้นสามารถจ่ายค่าที่พักได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะขอให้เย่เชียนออกไปแล้วเพราะไม่เช่นนั้นเจ้านายของพวกเขาก็คงจะตำหนิพวกเขาอย่างมากและนอกจากนี้คนที่สามารถจ่ายเงิน 10,000 หยวนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้คงจะไม่ใช่ขอทานหรอกใช่ไหม?
ยู่เจ้อฮงก็ตกตะลึงเมื่อเห็นเย่เชียนหยิบเงินจำนวนมากออกมาเช่นนั้นแต่ถึงยังไงในความคิดของเขานั้นไม่ว่าเย่เชียนจะมีเงินมากแค่ไหนก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็ยังคงเชื่อว่าเย่เชียนนั้นไม่มีทางร่ำรวยมากไปกว่าตัวเขาเองอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมนั้นไม่ทำตามที่เขาพูดเขาจึงหันไปมองบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขาและพูดว่า “พวกนาย! ..พาตัวมันออกไปซะ!”
จวบจนถึงตอนนี้เหยาซื่อฉีก็ยังไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอเพียงจ้องมองไปที่เย่เชียนอย่างใจจดใจจ่อด้วยความสนใจ นั่นก็เพราะว่าเธอนั้นอยากรู้จริงๆ ว่าเย่เชียนมีเสน่ห์แบบไหนถึงขนาดทำให้คนอย่างหูวเค่อพี่สาวของเธอหลงเสน่ห์เขาได้ ซึ่งเธอนั้นเติบโตมาพร้อมๆ กับหูวเค่อตั้งแต่เด็กๆ และเธอก็รู้จักหูวเค่อเป็นอย่างดีและที่ผ่านมานั้นเธอเองก็ไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่ทำให้หูวเค่อสนใจได้แบบนี้เลยแม้แต่คนเดียว
เย่เชียนนั้นก็ไม่ได้คิดที่จะสุภาพกับบอดี้การ์ดของยู่เจ้อฮงนั่นก็เพราะว่าพวกเขาเต็มใจที่จะยอมรับเงินสกปรกๆ ของยู่เจ้อฮงและทำงานให้กับเขาเช่นนี้ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจ ซึ่งเมื่อเห็นบอดี้การ์ดสองคนเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางที่หยิ่งยโสเช่นนั้นเย่เชียนเองก็ต้องสั่งสอนพวกเขาเสียบ้างเพราะมันเป็นความจริงที่ว่าบอดี้การ์ดสองคนนี้นั้นมักจะทำสิ่งที่เลวร้ายมากมายให้กับยู่เจ้อฮงเป็นประจำ
มีการเย้ยหยันที่มุมปากเย่เชียนและเขาก็ใช้ขาเตะสวนไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงไปที่ลำคอของบอดี้การ์ดคนแรก ซึ่งทันใดนั้นบอดี้การ์ดคนนั้นก็รู้สึกได้เพียงแค่ว่าสมองของเขานั้นหยุดทำงานไปและมีเพียงเสียงวิ้งๆ ในหัวของเขาก็ค่อยๆ หมดสติไป ซึ่งทำให้บอดี้การ์ดอีกคนที่เหลือก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเพราะเห็นได้ชัดเลยว่าเขานั้นไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนที่สวมเสื้อผ้าที่ขาดรุ่ยเช่นนั้นจะมีทักษะการต่อสู้ที่ดีเช่นนี้และก็ทำให้เขาคิดได้ว่าหรือมันอาจจะยังมีคนที่ยิ่งใหญ่และบางสิ่งบางอย่างที่เขานั้นไม่อาจเข้าใจได้อยู่บนโลกใบนี้?
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่กล้าที่จะประมาทอีกต่อไปและเขาก็เตรียมตั้งท่าเพื่อจะต่อสู้และเขาก็พุ่งเข้าหาเย่เชียนพร้อมกับหมัดของเขา ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็โน้มตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและจับแขนของบอดี้การ์ดบิดอย่างแรงและในทันใดนั้นก็มีเสียง “กรึก” แขนของบอดี้การ์ดคนนั้นก็หักในทันทีและเขาก็ส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างรุนแรง
หลังจากนั้นเย่เชียนก็ปล่อยแขนของเขาและบอดี้การ์ดคนนั้นก็ล้มลงกับพื้น ซึ่งทำให้ยู่เจ้อฮงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและมองดูเย่เชียนที่กำลังเดินมาหาเขาอย่างกระวนกระวาย “นี่..นี่แกจะทำอะไร? ..อย่ามายุ่งกับฉัน!”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป..ผมยังไม่ทำอะไรคุณตอนนี้หรอก” หลังจากนั้นเย่เชียนก็เหลือบมองไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมสองคนที่กำลังตกตะลึงอยู่ข้างๆ เขาและพูดว่า “เอ่อ..ถ้าพวกคุณจำเป็นที่จะต้องโทรหาตำรวจเพื่อแจ้งความเรื่องเหล่านี้ตามหน้าที่ก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ..เชิญตามสบายเลย”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมทั้งสองก็แอบดีใจเพราะพวกเขาโชคดีที่เมื่อกี้พวกเขาไม่ได้ทำอะไรลงไปเพราะไม่งั้นก็คงจะเป็นพวกเขาเองที่กำลังนอนโอดครวญกันอยู่ที่พื้น และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะอนุญาตให้พวกเขาโทรไปหาตำรวจก็ตามแต่ถึงยังไงพวกเขาก็คิดว่านี่คงจะเป็นการประชดของเย่เชียนเช่นนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าคิดที่จะทำอะไรใดๆ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะเป็นเหมือนบอดี้การ์ดสองคนนั้นเป็นแน่
ในขณะที่กำลังพูดอยู่เฉินโม่กับชายหนุ่มสองสามคนก็เดินเข้ามาจากด้านนอกโดยถือกล่องเซฟตี้นิรภัยมาด้วยและเขาก็มีท่าทางการแสดงออกที่ดูลำบากอย่างมากในการถือกล่องนั้นเพราะน้ำหนักของมันนั้นไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว ซึ่งโชคดีที่มีสมาชิกของหน่วยย่อยหมาป่าเพชฌฆาตอยู่ด้วยไม่เช่นนั้นเฉินโม่ก็คงแบกมันมาด้วยตัวคนเดียวไม่ไหวอย่างแน่นอน
เมื่อถือกล่องเซฟตี้นิรภัยไปหาเย่เชียนแล้วเฉินโม่ก็ตกใจไปกับชุดของเย่เชียนและพูดว่า “บอส! ..บอสไปโดนอะไรมา?”
“อย่าไปพูดถึงมันเลย” เย่เชียนนึกถึงฉากที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเขาเดินผ่านฝูงชนเข้ามาและเขาก็อดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่นอย่างมากและพูดว่า “นายได้เตรียมมันมาด้วยหรือเปล่า? ”
“ทองทั้งหมดอยู่ในกล่องนี้แล้วครับบอส..ซึ่งธนาคารสาขานี้บอกว่านี่คือทองคำแท่งทั้งหมดที่พวกเขามีแล้ว..เอ่อบอส! ..บอสจะเอาทองคำแท่งพวกนี้ไปทำอะไรตั้งเยอะตั้งแยะ?”
“เอาไปฟาดหัวใครบางคน!” เย่เชียนพูดอย่างเกรี้ยวกราด
เฉินโม่ถึงกับผงะไปชั่วขณะเพราะการตีหัวคนด้วยทองคำแท่งอันล้ำค่าเช่นนี้นั้นคนคนนั้นต้องบ้าไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม? ในขณะที่เฉินโม่กำลังประหลาดใจอยู่เย่เชียนก็ได้เปิดกล่องเซฟตี้นิรภัยแล้วหยิบทองคำแท่งออกมาแท่งหนึ่งแล้วเดินไปหายู่เจ้อฮงแล้วพูดว่า “โว้ว..มันคงยอดเยี่ยมไปเลยเนอะถ้าคนที่สวมสร้อยคอทองคำถูกทองคำแท่งฟาดหัวน่ะ!”
ยู่เจ้อฮงก็ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์และถึงแม้ว่าเขานั้นจะร่ำรวยมากแค่ไหนก็ตามแต่ทว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขานั้นไม่ได้รวยล้นฟ้าเหมือนกับเย่เชียนที่เพียงแค่โทรศัพท์ออกไปและพูดเพียงไม่กี่คำแล้วหลังจากนั้นไม่นานเขาก็มีทองคำแท่งจำนวนมากอยู่ในมือของเขาเช่นนี้ ซึ่งแม้แต่เหยาซื่อฉีเองก็ยังตกตะลึงไปกับการกระทำของเย่เชียนและเธอก็คิดว่าผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่อารมณ์ขันและน่าสนใจอย่างมาก
“ปัก! ..” ทองคำแท่งของเย่เชียนกระแทกลงไปบนหัวของยู่เจ้อฮงอย่างแรงและเย่เชียนก็ตะโกนว่า “รวยนักใช่มั้ย!” หลังจากที่เย่เชียนตะโกนออกไปแล้วยู่เจ้อฮงก็ถูกทองคำแท่งฟาดไปที่หัว และเลือดสดๆ ของยู่เจ้อฮงก็เริ่มไหลออกมาและใบหน้าของเขาก็บวมอย่างมาก
หลังจากนั้นเย่เชียนก็ยืนขึ้นและโยนทองคำแท่งในมือของเขาทิ้งไปแล้วก็หัวเราะและพูดว่า “อย่าให้ผมเห็นว่าคุณไปอวดรวยที่ไหนอีกในอนาคตก็แล้วกัน!” หลังจากนั้นเย่เชียนก็เดินออกไปและไม่แยแสสิ่งใดอีกต่อไป
เฉินโม่ก็ยืนเกาหัวตัวเองอยู่พักหนึ่งพลางคิดว่าที่เขาต้องลำบากแบกทองคำแท่งอันหนักหน่วงขนาดนี้มาก็เพื่อที่จะให้หัวหน้าของเขาเอาทองคำแท่งเหล่านี้ไปฟาดหัวคนแบบนี้ซึ่งอีกมุมหนึ่งเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าขันอย่างมากเช่นกัน หลังจากนั้นไม่นานเฉินโม่ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและกลั้นหัวเราะเอาไว้และยกกล่องเซฟตี้นิภรภัยนั้นตามเย่เชียนออกไป
เมื่อเห็นว่าเย่เชียนนั้นเดินออกมาจากด้านในล็อบบี้แล้วเหล่าหนุ่มสาวด้านนอกต่างก็รีบไปล้อมรอบเขาอีกครั้งแต่ทว่าโชคดีที่เย่เชียนนั้นเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วไม่เช่นนั้นเขาก็เกรงว่าเสื้อผ้าที่ขาดลุ่ยบนร่างกายของเขามันคงจะขาดไปอย่างสมบูรณ์และเขาก็ต้องกลับไปอย่างเปลือยเปล่าอย่างแน่นอน ซึ่งหลังจากที่เย่เชียนวิ่งหนีออกมาแล้วเขาก็รีบขึ้นรถไปแล้วรีบเหยียบคันเร่งเพื่อหนีออกไปจากโรงแรมแห่งนี้โดยเร็วที่สุด
เมื่อกลับมาถึงโรงแรมที่เขาพักอยู่นั้นเย่เชียนก็พบว่าเขานั้นกำลังดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนอยู่ ซึ่งเหล่าพนักงานและเด็กเสิร์ฟในโรงแรมก็กำลังจ้องมองเย่เชียนด้วยสายตาที่เป็นประกายจนทำให้เย่เชียนนั้นไม่กล้าอยู่ที่นี่นานมากกว่านี้อีกแล้วไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะเป็นประเด็นร้อนพาดหัวข่าวของสื่อต่างๆ ในไต้หวันในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน
เมื่อเย่เชียนเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบว่าหูวเค่อนั้นกำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นโดยสวมชุดนอนและนั่งไขว่ห้างกันและดูทีวีอยู่อย่างสบายใจเฉิบ “คุณกลับมาแล้วหรอคะ” หูวเค่อพูดพร้อมกับหันหน้าไปมองเย่เชียนและเมื่อเธอเห็นชุดที่ขาดหลุดลุ่ยของเย่เชียนเธอก็ตกใจและรีบถามว่า “คุณ! …ทำไมคุณถึงมีสภาพแบบนี้เนี่ย? ..คุณถูกโจรปล้นหรอ?”
เย่เชียนมองค้อนหูวเค่อและพูดว่า “ยังจะถามอีกหรอ..ก็คุณนั่นแหละเป็นต้นเหตุ” ในขณะที่เขาพูดเขาก็เดินไปหาหูวเค่อและนั่งลงข้างๆ เธอ
“มันเกี่ยวอะไรกับฉันหรอ” หูวเค่อยังคงถามต่อ
“ก็เพราะคุณไง..ถ้าคุณไม่ขอให้ผมไปขอลายเซ็นนั่นล่ะก็ผมจะถูกพวกนั้นรุมล้อมได้ยังไงเล่า?” เย่เชียนโยนอัลบั้มเพลงพร้อมลายเซ็นลงบนโต๊ะและพูดอย่างหดหู่ใจ
“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอ..แล้วพวกเธอจะไปลุมฉีกเสื้อผ้าของคุณได้ยังไง?” หูวเค่อก็ยังคงถามด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
“อย่าลืมสิว่าตอนนี้ผมกำลังมีชื่อเสียงและโด่งดังไม่น้อยไปกว่าดาราเหล่านั้นเลย..คุณไม่รู้หรอกว่าผมเจออะไรมาบ้าง..ตอนที่ผมพยายามเบียดตัวแทรกเข้าไปในฝูงชนน่ะจู่ๆ ผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็จำผมได้และเธอก็ตะโกนออกมาอย่างดังเลย..เพราะงั้นคนอื่นก็เลยรู้น่ะ..แล้วหลังจากนั้นสภาพของผมก็จบลงแบบนี้แหละ..โชคดีที่ผมวิ่งหนีมาได้ไม่งั้นผมก็คงจะกลับมาตัวเปลือยๆ เปล่าๆ อย่างแน่นอน” เย่เชียนพูดอย่างหดหู่ใจ
“ฮิฮิ..” หูวเค่อก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปราวกับว่าเธอกำลังจินตนาการถึงเหตุการณ์เหล่านั้นแต่มันก็น่าเสียดายที่เธอไม่ได้อยู่ที่นั่นเองและไม่ได้เห็นภาพที่เย่เชียนกำลังตื่นตระหนกและหมดหนทางเช่นนั้น
“คุณยังมีหน้ามาหัวเราะได้อีกเนอะ..ผมน่ะรู้แล้วว่าเหยาซื่อฉีเป็นรุ่นน้องของคุณ..แล้วทำไมคุณถึงต้องการให้ผมไปขอลายเซ็นเธอกันล่ะ? ..คุณก็แค่โทรไปหาเธอก็ได้ไม่ใช่หรอ..บอกความจริงมาซิว่าคุณจงใจแกล้งผมใช่มั้ย?” เย่เชียนพูด
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะ..ก็คุณนั่นแหละที่ผิดเองที่ไปหว่านเสน่ห์ให้สาวๆ พวกนั้นคลั่งไคล้คุณเองหนิ..และยิ่งไปกว่านั้นการที่คุณทำแบบนี้น่ะฉันก็จะได้เห็นถึงความจริงใจของคุณ..และอีกอย่างรุ่นน้องของฉันน่ะพอเธอได้เห็นรูปของคุณเธอก็ร้องเสียงหลงเลย..เธอคงจะชอบคุณมากเพราะงั้นฉันก็เลยอยากให้เธอได้เจอคุณน่ะ” หูวเค่อพูด
เย่เชียนก็ยิ้มเยาะและชี้ไปที่หูวเค่อแล้วพูดหยอกล้อว่า “อ๋อ..ที่แท้มันก็เป็นแบบนี้นี่เอง..คุณอยากให้รุ่นน้องของคุณเห็นหน้าพี่เขยสินะ?”
หูวเค่อถึงกับผงะไปและเธอก็พูดอย่างร้อนรนว่า “ไม่ๆ ..พี่เขยอะไรกัน…” เห็นได้ชัดเลยว่าคำพูดของเธอนั้นดูประหม่าอย่างยิ่ง
.
.
.
.
.
.
.