ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 356 ดื่มน้ำหวานแล้วเมา
ตอนที่ 356 ดื่มน้ำหวานแล้วเมา
“เรื่องที่ไต้หวันค่อนข้างจะคงที่ในตอนนี้..แล้วเราก็อยู่ในระยะเฝ้าระวังเพราะงั้นจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรในเร็วๆ นี้” เย่เชียนพูด “ก็อย่างที่พี่พูดนั่นแหละชิงเฟิงมีแฟนแล้ว..ไม่น่าเชื่อเลยเนอะคนอย่างไอ้เจ้านั่นฮ่าๆ” หลังจากหยุดไปชั่วขณะที่เย่เชียนก็หันมาถามว่า “แล้วพี่ล่ะ? ..เมื่อไหร่จะหาแฟนเหมือนคนอื่นเขาบ้าง?”
เฟิงหลานก็ยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “โถ่บอส..ก็ผู้หญิงสมัยนี้มีน่ะหัวสูงเกินไป..เพราะไม่ใช่แค่ต้องหล่อและจริงใจแค่นั้นน่ะสิ..ยังต้องรวยและมีรถมีบ้านหรูๆ อีกด้วย!”
เย่เชียนก็จ้องเขม็งเฟิงหลานและพูดว่า “อย่าแกล้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าผมเลย..เอางี้ก็แล้วกันถ้าพี่หาแฟนได้เมื่อไหร่ผมจะจ่ายให้พี่ทั้งหมดเอง..ไม่ว่าจะรถหรือบ้านหรูๆ ตราบใดที่พี่รักเธอคนนั้นจริงๆ ล่ะก็…เดี๋ยวผมออกเงินให้เอง!”
“บอสเนี่ยใจดีจริงๆ” เฟิงหลานก็ยิ้มและพูดว่า “แต่ก็นะผู้หญิงเหล่านั้นล้วนเห็นแก่เงิน..เพราะงั้นพวกเธอจึงไม่คุ้มค่าที่ฉันไปรักเธอได้..ฉันน่ะกำลังหาใครสักคนที่สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขกับฉันได้..และต่อให้ฉันจะยากจนจะลำบากแค่ไหนเธอก็พร้อมที่จะเดินไปพร้อมกันฉันน่ะ”
“เห้อ..ดูเหมือนจะยากหน่อยนะแบบนั้น..แต่ผมก็หวังว่าพี่จะได้พบกับผู้หญิงแบบนั้นเร็วๆ นี้นะ” เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูด ซึ่งปัจจุบันนั้นผู้หญิงต่างก็เป็นคนที่อยากใช้ชีวิตที่สะดวกสบายและมีทุกอย่างเพียบพร้อมกันทั้งนั้น ซึ่งบางครั้งเย่เชียนเองก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกเธอนั้นต้องการแต่งงานเพื่อบ้านหรือเงินตรามากกว่าแต่งกับคนอย่างงั้นเหรอ? การมีรถมีบ้านหรูๆ นั้นทำให้มีความสุขอย่างถ่องแท้อย่างงั้นเหรอ?
เมื่อท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงทุกคนก็ตั้งเตาบาร์บีคิวและย่างเนื้อกินกันในคฤหาสน์อย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งประเด็นที่สำคัญก็คือไม่มีใครรู้เลยว่าหลิวเทียนเฉินนั้นทำซอสสูตรลับเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรเพราะเมื่อทาซอสลงบนเนื้อแล้วนำไปย่างแล้วล่ะก็มันจะมีกลิ่นหอมที่พิเศษอย่างมาก ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถามเขาด้วยความสงสัยว่าซอสนี้ใช้ยาหรือเคมีหรือไม่? แล้วมันมีผลข้างเคียงหรือเปล่า?
ซึ่งคำตอบของหลิวเทียนเฉินนั้นก็ค่อนข้างที่จะเรียบง่ายอย่างมากโดยเขาตอบว่าซอสสูตรลับนี้เป็นสูตรเฉพาะของตระกูลของเขาซึ่งมันตกทอดกันมาจากรุ่นสู้รุ่นและมันก็ถูกปรุงด้วยสารสกัดมากกว่าหนึ่งร้อยชนิด ซึ่งทันทีที่คำพูดของหลิวเทียนเฉินถูกพูดออกมาทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะคายเนื้อที่กินเข้าไปออกมา นั่นก็เพราะว่าสารสกัดของหลิวเทียนเฉินนั้นมันไม่ใช่เรื่องตลกเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะมันสามารถทำให้คนจำนวนมากล้มตายกันได้ภายในไม่กี่วินาทีและไม่ต้องพูดถึงยาพิษและสารสกัดหนึ่งร้อยชนิดเช่นนี้เลย
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคนแล้วหลิวเทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเพราะถึงแม้ว่าซอสสูตรลับนี้จะทำมาจากสารสกัดก็ตามแต่พิษและโทษของมันก็ถูกขจัดไปหมดแล้วดังนั้นจึงทำให้สามารถกินได้และมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย แต่ทว่าถึงแม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้นก็ตามแต่ถึงยังไงทุกคนก็ยังคงมีความกังวลอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าถ้าพวกเขาจะกินเข้าไปแล้วจะได้รับสารพิษบ้างก็ตามแต่ทว่าเมื่อเทียบกับสมุนไพรเช่นพริกไทยหรือน้ำส้มสายชูหรืออื่นๆ แล้วบางคนก็ยอมเสี่ยงเพื่อกินมันเพราะรสชาตินั้นยอดเยี่ยมกว่าเครื่องปรุงปกติอย่างมากแต่ทว่าก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่กล้าลิ้มลอง
เมื่อเย่เชียนตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นอู๋จิ่วก็ได้ออกอากาศแถลงการณ์สดซึ่งทำให้ชาวเมืองนั้นให้ความสนใจกันอย่างมาก ซึ่งเขานั้นไม่เพียงแค่ได้คะแนนเสียงเพิ่มมาอย่างล้นหลามเพียงเท่านั้นแต่สื่อต่างๆ ก็เห็นพ้องกับเขาและสนับสนุนข่าวต่างๆ กันอย่างทั่วถึง
อู๋จิ่วก็ยืนอยู่บนรถหาเสียงและถือไมค์โครโฟนพร้อมกับเครื่องขยายเสียงอย่างสง่าผ่าเผย แต่ทว่าในขณะนั้นเขาก็บังเอิญไปเจอรถหาเสียงของนายิบแบบซึ่งๆ หน้ากันและในทันใดนั้นสถานการณ์ต่างๆ ก็วุ่นวายในทันทีเพราะฝูงชนจากทั้งสองฝ่ายต่างก็เริ่มส่งเสียงโห่ร้องและบางคนก็ถึงกับปาไข่ไก่และมะเขือเทศใส่กันอย่างบ้าคลั่งซึ่งทำให้สถานการณ์ในตอนนี้โกลาหลอย่างมาก
เย่เชียนและเฟิงหลานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นฉากเหล่านี้เพราะการก่อความวุ่นวายแบบนี้นั้นช่างเป็นเรื่องตลกสำหรับพวกเขาอย่างมาก และดูเหมือนว่าในหลายๆ ประเทศนั้นทุกๆ ครั้งที่มีการจัดเลือกตั้งขึ้นมาทีไรมันก็เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดแบบนี้เหมือนๆ กันหมด ซึ่งแน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้คิดที่จะนั่งดูอยู่เฉยๆ เพราะไปนี่เป็นโอกาสที่หายากและเหมาะอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงส่งเฟิงหลานและพี่น้องเขี้ยวหมาป่าคนอื่นๆ กระจายกันไปทั่วกรุงเนปิดอว์และภายในครึ่งวันเพียงเท่านั้นพวกเขาก็สามารถควบคุมองค์กรใต้ดินของกรุงเนปิดอว์ได้ทั้งหมดอย่างยอดเยี่ยม
แน่นอนว่านี่มันก็เป็นเพราะความจริงที่ว่าอำนาจและอิทธิพลองค์กรใต้ดินของประเทศเมียนมาร์นั้นอ่อนแอเกินไปเพราะถ้าหากเป็นองค์กรใต้ดินของประเทศญี่ปุ่นหรือไต้หวันล่ะก็พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่จะจัดการได้ง่ายๆ เลย และยิ่งไปกว่านั้นเหล่าตำรวจเกือบทั้งหมดในกรุงเนปิดอว์ก็ถูกส่งออกไปรักษาความสงบเรียบร้อยในการหาเสียงแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลามาคอยควบคุมหรือตรวจการเรื่องเหล่านี้ เพราะฉะนั้นด้วยความสามารถของเหล่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่าแล้วพวกเขาก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรมากเลย
ส่วนหลิวเทียนเฉินนั้นก็รีบไปที่ฐายของกองโจรของนายพลหวังเต๋อเซินในช่วงเช้าทันทีเพื่อส่งสารว่าให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อมตามคำสั่งของเย่เชียนและรอให้รัฐบาลออกคำสั่งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฉพาะกิจและหลังจากนั้นหวังเต๋อเซินก็จะได้เข้าร่วมรัฐสภาอย่างเป็นทางการ
ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศเล็กๆ เช่นนี้ในภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหล่านี้จะไม่ค่อยดีนักก็ตามแต่ถึงยังไงประเทศเหล่านี้ก็เป็นสถานที่ที่เย่เชียนให้ความสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่อ่อนแอนั้นจะทำให้เขี้ยวหมาป่าเข้าไปแทรกซึมและพัฒนากองกำลังของเขี้ยวหมาป่าได้ง่ายอย่างมาก ซึ่งถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขี้ยวหมาป่ากับประเทศจีนนั้นกำลังมั่นคงอยู่ก็ตามแต่ใครจะรู้ล่ะว่าวันหนึ่งมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกและยิ่งไปกว่านั้นประเทศจีนก็ยังมีบางอย่างที่เย่เชียนไม่เคยรู้มาก่อนและถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็เขี้ยวหมาป่าก็คงจะไม่มีที่ยืนในประเทศจีนก็เป็นได้ ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องคิดให้มากขึ้นเกี่ยวกับความมั่นคงของตัวเองและพวกพ้องและแม้แต่ฐานทัพในประเทศจีนก็เช่นกัน และถึงแม้ว่าเขี้ยวหมาป่าจะมีฐานทัพที่มั่นคงอยู่ในตะวันออกกลางก็ตามแต่ถึงยังไงเย่เชียนก็ต้องการให้เขี้ยวหมาป่านั้นยืนอยู่อย่างรุ่งโรจน์
การอาศัยสัมพันธไมตรีที่ดีกับเหล่าผู้บัญชาการระดับสูงของแต่ละประเทศนั้นมันก็ง่ายมากในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ และยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากเมื่อใดมีสงครามเกิดขึ้นล่ะก็เย่เชียนก็สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลอย่างแน่นอน
เพียงไม่กี่วันต่อมาอู๋จิ่วก็ได้กำหนดนโยบายของพรรคตามคำแนะนำของเย่เชียน ซึ่งคะแนนเสียงและความนิยมของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้อู๋จิ่วพึงพอใจอย่างมากและถ้าหากไม่ใช่เพราะเย่เชียนแล้วล่ะก็ตัวเขาเองก็คงจะคิดแบบนั้นไม่ได้เลยจริงๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วนโยบายเช่นนี้ก็ทำให้ประชาชนสบายใจเพราะไม่มีใครอยากจะอยู่ในความวุ่นวายและสงครามกันอย่างแน่นอน
ในขณะนี้นายิบนั้นก็กำลังหดหู่ใจอย่างมากเพราะทุกๆ วันนี้คะแนนเสียงและความนิยมของเขาก็ลดลงไปอย่างรวดเร็วและถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาก็คิดว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ก่อนวันเลือกตั้งอย่างแน่นอน ซึ่งเขาก็จัดประชุมสมาชิกพรรคของเขาแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้เลยแม้แต่คนเดียว
ทุกสิ่งทุกอย่างก็กำลังพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องตามความคาดการณ์ของเย่เชียน แต่ทว่าในขณะนี้เย่เชียนก็กำลังทำบางอย่างที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้เลย
ในวันนั้นก็มีฝนตกปรอยๆ ซึ่งเย่เชียนก็ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งพร้อมกับเครื่องยิงบาซูก้าที่หลิวเทียนเฉินที่ได้รับมาจากนายพลหวังเต๋อเซินตามคำขอของเย่เชียน
วันนี้เป็นวันสำคัญอย่างยิ่งซึ่งมันเป็นช่วงลงคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการซึ่งนายิบก็เข้าไปในอาคารรัฐสภาที่รายล้อมไปด้วยฝูงชนมากมาย ซึ่งฉากนี้เย่เชียนก็เห็นได้อย่างชัดเจนจากหน้าต่างของโรงแรมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอาคารรัฐสภา ซึ่งถึงแม้ว่าคะแนนเสียงความนิยมของอู๋จิ่วจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตามแต่ใครจะรู้ล่ะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากนั้น? ซึ่งเย่เชียนนั้นก็วางแผนเอาไว้ว่าเขาจะทิ้งปัญหาใหญ่เอาไว้ให้กับอู๋จิ่วและหลังจากนั้นเย่เชียนก็จะยื่นมือเข้าช่วยแก้ไขปัญหาให้ ดังนั้นด้วยวิธีการนี้เท่านั้นที่เขาสามารถเน้นความสามารถของเขาและทำให้อุ๋จิ่วชัดเจนมากขึ้นมาเขานั้นจะต้องพึ่งพาเย่เชียนอย่างมาก
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เป็นเพราะว่าการที่อู๋จิ่วได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ง่ายเกินไปดังนั้นเย่เชียนจึงต้องทำให้อู๋จิ๋วตระหนักให้ดีว่าเขานั้นมีอำนาจและอิทธิพลมากเพียงใดไม่เช่นนั้นอู๋จิ่วก็อาจจะแข็งข้อกับเขาได้ในภายหลัง ในขณะนี้เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและเปิดกล่องเครื่องยิงจรวดอย่างรวดเร็วและแบกมันเอาไว้บนไหล่ของเขาและเล็งไปที่นายิบที่กำลังเดินเข้าไปในอาคารรัฐสภา
ด้วยเสียง “บึ้ม! ….” จรวดก็ได้พุ่งไปยังเป้าหมายโดยตรงและมันก็ระเบิดในทันทีจนทำให้สถานการณ์ทั้งหมดวุ่นวายในทันที เย่เชียนก็ฉีกยิ้มรีบออกจากโรงแรมไปและในทันใดนั้นสถานการณ์รอบๆ บริเวณอาคารรัฐสภาทั้งหมดก็วุ่นวายและเสียงไซเรนของรถตำรวจก็ดังขึ้นทันทีซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศเมียนมาร์มาก่อนเลย
หลังจากออกจากโรงแรมแล้วเย่เชียนก็กลับไปที่คฤหาสน์อย่างสบายใจเฉิบ ซึ่งเฟิงหลานและคนอื่นๆ ต่างก็ดูเหตุการณ์เหล่านี้จากโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดสดสถานการณ์รอบๆ อาคารรัฐสภา ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นเย่เชียนกลับมาแล้วพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่เชียนอย่างตกตะลึง เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ฮ่าๆ ..ฝีมือผมเองแหละ”
“บอส! ..นี่บอสเอาแบบนั้นเลยหรอ..บอสคิดจะทำอะไรเนี่ย!” เฟิงหลานถามอย่างขมขื่น
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยและพูดว่า “ถ้ารู้ก่อนก็ไม่สนุกน่ะสิ! ..รอดูโชว์ดีๆ กันไปก่อนเถอะ..ตอนนี้เราไปกินข้าวกันเถอะ!”
ทุกคนในคฤหาสน์ต่างก็จ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความงงงวยและอย่างรู้อยากเห็นอย่างมาก แต่ทว่าเย่เชียนก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมดังนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรอดูว่าเย่เชียนนั้นต้องการจะทำอะไรเพียงเท่านั้น
หลังจากที่กินมื้อเที่ยงกันแล้วเย่เชียนก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกแต่อย่างใดและในช่วงบ่ายนั้นเย่เชียนก็ไปเล่นกับช้างรอบๆ คฤหาสน์ ซึ่งการแสดงออกที่สบายใจเฉิบและดูผ่อนคลายของเขานั้นทำให้เฟิงหลานและคนอื่นๆ ต่างก็สับสนงุนงนกันอย่างมากว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเย่เชียนกันแน่
หลังจากนั้นไม่นานเย่เชียนก็ดึงเฟิงหลานและหลิวเทียนเฉินกับคนอื่นๆ มาเล่นไพ่ ซึ่งใครที่แพ้ก็จะต้องดื่มน้ำหวานและน้ำอัดลมขวดใหญ่ๆ ซึ่งเฟิงหลานกับหลิวเทียนเฉินผู้น่าสงสารต่างก็มึนเมาแก๊สของน้ำอัดลมกันอย่างมาก เพราะเย่เชียนนั้นมักจะขี้โกงโดยซ่อนไพ่เอาไว้โดยที่พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำจนกระทั่งทั้งสองนั้นดื่มน้ำอัดลมกันจนเวียนหัว
ซึ่งเจมส์กับวิลเลียมนั้นก็สามารถมองเห็นการซ่อนไพ่ของเย่เชียนได้อย่างชัดเจนจากข้างๆ แต่เมื่อเห็นเย่เชียนขยิบตาให้พวกเขาแล้วพวกเขาก็ต้องปิดปากเงียบเอาไว้และแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดก็ถึงช่วงเย็นเฟิงหลานกับหลิวเทียนเฉินต่างก็อาเจียนกันออกมาและพวกเขาก็นอนเมาบนโซฟาในห้องนั่งเล่น ซึ่งเย่เชียนก็ปล่อยให้พวกเขานอนพักกันไปหลังจากที่แกล้งพวกเขาอย่างพึงพอใจแล้ว หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่นาฬิกาข้อมือและพึมพำว่า “ถึงเวลาแล้วหรือยังนะ!”
เมื่อเย่เชียนพูดจบทันใดนั้นในกล้องวงจรปิดก็เห็นอู๋จิ่วกับไท่เหอรีบเดินเข้ามาอย่างร้อนรน ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดกับเจมส์ว่า “ถ้าพวกเขามาถามหาผมก็บอกไปว่าผมหลับไปแล้วนะ!”
เจมส์ก็ผงะไปครู่หนึ่งและหลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าแล้วตอบว่า “ได้เลยบอส!”
เย่เชียนก็รีบเดินขึ้นไปชั้นบน ในขณะที่อู๋จิวกับไท่เหอก็เดินเข้ามาและมองดูรอบๆ และพวกเขาก็ไม่พบเย่เชียนซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นอู๋จิ่วก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “เอ่อ..คุณเย่ไม่อยู่หรือ?”
“อยู่ครับ..แต่คุณเย่เพิ่งจะดื่มหนักไปหน่อยเพราะเขาเล่นเกมกับสองคนนั้นไปเขาก็เลยเมาน่ะครับ..ตอนนี้เขานอนอยู่ชั้นบน” เจมส์พูดพร้อมชี้ไปที่เฟิงหลานและหลิวเทียนเฉินที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาอย่างหมดสภาพ
อู๋จิ่วก็ถึงกับตกตะลึงอย่างมากเพราะในขณะที่เขาไปทำหน้าที่สำคัญอยู่และเกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้แต่เย่เชียนก็ยังคงเล่นเกมไพ่อยู่อย่างสบายใจเฉิบเช่นนี้ได้อยู่อีก เมื่อรู้เช่นนั้นอู๋จิ่วก็หัวเราะแห้งๆ และถามอย่างไม่แน่ใจว่า “เอ่อ..คุณช่วยไปเรียกคุณเย่ให้หน่อยได้มั้ย..คือฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเขาด่วนเลย!”
.
.
.
.
.
.
.