ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 357 สงครามทางจิตวิทยา
ตอนที่ 357 สงครามทางจิตวิทยา
ตอนนี้อู๋จิ่วก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจริงๆ เพราะเหตุการณ์ในอาคารรัฐสภาเมื่อเช้านี้ทำให้เขาตกใจและประหลาดใจอย่างมากเพราะนายิบถูกฆ่าต่อหน้าสาธารณชนและทุกคนก็มุ่งเป้าไปที่เขาจนทำให้การเลือกตั้งหยุดชะงักไปชั่วคราว ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าประชาชนผู้สนับสนุนนายิบนั้นต่างก็ตะโกนสาปแช่งเขาในฐานะฆาตกรซึ่งทำให้อู๋จิ่วตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำมากอย่างมาก ซึ่งเขาจะรู้ได้อย่างไรว่านายิบจะถูกฆ่าเช่นนี้?
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานสิ่งแรกที่อุ๋จิ่วตระหนักได้ก็คือเย่เชียนนั่นเอง ซึ่งเป็นไปได้ไหมที่เย่เชียนทำเช่นนี้เพื่อให้เขาชนะการเลือกตั้งได้อย่างราบรื่นและชนะไปโดยปริยาย? หรือว่าจะเป็นชาวจีนเพราะถ้าหากนายิบขึ้นครองอำนาจและใช้นโยบายล่ะก็ชาวจีนก็จะไม่มีสถานะใดๆ และไม่สามารถตั้งหลักปักฐานในเมียนมาร์ได้ ซึ่งเมื่อตระหนักอย่างถี่ถ้วนแล้วก็มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง ดังนั้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอู๋จิ่วจึงรีบมาที่คฤหาสน์ของเย่เชียนแต่ทว่าแน่นอนว่าอู๋จิ่วนั้นไม่ได้สงสัยเย่เชียนหรือคับข้องใจอะไรแต่เขาแค่ต้องการปรึกษาเย่เชียนถึงการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพียงเท่านั้น
ในเมื่อสิ่งต่างๆ ได้เกิดขึ้นแล้วดังนั้นอู๋จิ่วจึงขี้เกียจที่จะตรวจสอบว่าใครเป็นคนทำเรื่องต่างๆ เหล่านี้เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้มันเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ มากกว่าเดิมเพราะถ้าหากสถานการณ์ดังกล่าวไม่สามารถควบคุมได้ล่ะก็มันก็ไม่ใช่เรื่องตลกเลย
ซึ่งเย่เชียนนั้นได้สั่งเจมส์เอาไว้ก่อนหน้านี้ดังนั้นเจมส์ก็ตอบกลับไปอย่างลวกๆ ว่า “เอ่อ..ขอโทษทีนะครับคุณอู๋จิ่ว..พอดีว่าคุณเย่ไม่ชอบให้ใครไปปลุกเขาตอนนอนน่ะครับ..ผมเลยไม่กล้าทำนะครับ..คุณอู๋จิ่วลองไปปลุกเขาดูเองก็แล้วกันครับ”
อู๋จิ่วก็ก็หัวเราะแห้งๆ สองครั้งแล้วพูดว่า “ไม่ๆ ..ไม่เป็นไร..ฉันจะรอเขาอยู่ที่นี่แหละ”
“ครับ..ถ้างั้นก็ตามสบายเลยครับ” เจมส์พูดอย่างสุภาพและหลังจากนั้นเขาก็หันและเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นยกเว้นเฟิงหลานและหลิวเทียนเฉินที่นอนหลับสนิทอยู่ในห้องนั่งเล่นและอู๋จิ่วกับไท่เหอที่นั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น
บรรยากาศก็เงียบสงบอย่างเห็นได้ชัดและถึงแม้ว่าอู๋จิ่วกับไท่เหอจะนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็ตามแต่เขาก็รู้สึกกระวนกระวายและกังวลอย่างมากจนบางครั้งเขาก็เงินหน้ามองขึ้นไปชั้นบนโดยหวังว่าจะได้เห็นร่างของเย่เชียนที่ตื่นขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขาก็ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
“พ่อไม่ต้องกังวลไปหรอก..ผมเชื่อว่าพี่เย่จะมีทางออก” ไท่เหอรีบพูดปลอบใจเมื่อเห็นว่าพ่อของเขามีการแสดงออกที่กังวลอย่างมาก
“หวังว่าเรื่องต่างๆ คงจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีกนะ..พ่อไม่รู้จะทำยังไงดีถ้าผู้สนับสนุนนายิบก่อจลาจลขึ้นมาอีก..ไม่งั้นมันก็มีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ” อู๋จิ่วพูด
“แต่ว่านะพ่อ..คือต่อให้พวกเขาจะต่อต้านหรือไม่ต่อต้านก็ตาม..ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าเราไม่ได้ทำ” ไท่เหอพูด
“ใช่..มันคงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก..เพราะตอนนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นกับนายิบเลยทำให้การเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไปชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด..เพราะงั้นถ้าหากเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างราบรื่นและสงบล่ะก็..ทุกคนจะต้องกล่าวหาว่าฉันฆ่านายิบอย่างแน่นอน..ตอนนี้ปัญหาต่างๆ ก็ถาโถมมาหาฉันเยอะเหลือเกินและถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ไม่ใช่แค่รัฐสภาจะเพิกถอนคุณสมบัติของฉันในการลงสมัครเลือกตั้งเพียงเท่านั้นแต่พรรคประชาธิปไตยก็คงจะลงชื่อเพิกถอนฉันออกจากตำแหน่งและเปลี่ยนตัวผู้สมัครเป็นแน่” อู๋จิ่วพูดแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ
ไท่เหอก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะเพราะเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเรื่องต่างๆ มันจะร้ายแรงอย่างที่พ่อของเขาพูด เมื่อได้ยินเช่นนั้นไท่เหอก็ถอนหายใจอย่างลับๆ และพูดว่า “อย่ากังวลไปเลยพ่อ..เพราะถึงยังไงตอนนี้มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปกังวล..รอให้พี่เย่ตื่นก่อนดีกว่าแล้วค่อยคุยกับเขา”
“เฮ้อ..เอาล่ะ..พ่อจะขึ้นไปหาเขา!” ในที่สุดอู๋จิ่วก็ทนไม่ไหวและรีบลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นบน
“เดี๋ยวครับพ่อ!” ไท่เหอคว้าแขนของอู๋จิ่วเอาไว้แล้วพูดว่า “ผมอยู่ที่ประเทศจีนมาสองสามปีแล้วเพราะงั้นผมก็รู้นิสัยของคนจีนนิดหน่อยน่ะ..และยิ่งคนใหญ่คนโตล่ะก็พวกเขายิ่งไม่ชอบให้ใครไปรบกวนเขาในเวลานอนจริงๆ ..ถ้าพ่อขึ้นไปตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้เรื่องมันแย่ลงนะ”
“คนใหญ่คนโตอย่างงั้นเหรอ? ..ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นCEOของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ตามแต่ถึงยังไงฉันก็เป็นถึงหัวหน้าพรรคประชาธิปไตย..ซึ่งจะเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตของประเทศเมียนมาร์..เพราะงั้นเขาก็ดูถูกเกียรติของฉันมากเกินไปหน่อย” อู๋จิ่วพูดด้วยความโกรธเคืองเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามเย่เชียนคาดการณ์เอาไว้เพราะอู๋จิ่วนั้นยังไม่ได้ให้ความเคารพและให้ความสำคัญกับเขามากสักเท่าไหร่หลังจากที่อู๋จิ่วใช้ประโยชน์จากแผนการต่างๆ ของเขาเช่นนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเย่เชียนถึงต้องการฆ่านายิบเพื่อสร้างความเดือดร้อนให้อู๋จิ่ว นั่นด็เพราะว่ามันเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อให้อู๋จิ่วตระหนักว่าใครที่ยิ่งใหญ่และอู๋จิ่วจะไม่มีวันกล้ามาเผชิญหน้ากับตัวเองได้ ซึ่งในตอนนี้อู๋จิ่วก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างมากดังนั้นอู๋จิ่วจึงต้องมองเย่เชียนใหม่และตระหนักให้ดีเกี่ยวกับสถานะของเย่เชียนนั่นเอง
เย่เชียนนั้นจงใจโจมตีเขาเพื่อให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่แล้วร้ายเพราะนี่เป็นสงครามจิตวิทยาแบบหนึ่งและการเล่นสงครามทางจิตวิทยานั้นเย่เชียนก็เปรียบได้ดั่งปรมาจารย์ที่สมบูรณ์แบบเช่นกัน
“อย่านะพ่อ!” ไท่เหอรีบคว้าตัวอู๋จิ่วเอาไว้อีกครั้งและรีบพูดอย่างร้อนรนว่า “วันนี้ผมได้ลองตรวจสอบภูมิหลังของพี่เย่เป็นพิเศษแล้วซึ่งทำให้ผมประหลาดใจมาก..พ่อรู้มั้ยว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปน่ะไปอยู่ในตะวันออกกลางได้ยังไง? ..และรู้มั้ยว่าทุกๆ ประเทศในแถบตะวันออกกลางน่ะถือเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเป็นเหมือนเทพเจ้าเลยนะ..และเครือน่านฟ้ากรุ๊ปน่ะมีอิสระทุกอย่างในแถบตะวันออกกลางทั้งทวีปและไม่มีข้อจำกัดใดๆ เลยแม้แต่น้อย..หลังจากนั้นเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ได้เข้าสู่ประเทศจีนเมื่อปีที่แล้วและได้ตั้งสำนักงานใหญ่อย่างมั่นคงในเวลาในนาน..และยิ่งไปกว่านั้นพี่เย่ยังได้รวมองค์กรยักษ์ใหญ่ทั้งสามของเมืองเซี่ยงไฮ้เข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว..แล้วพ่อรู้ที่มาขององค์กรยักษ์ใหญ่ทั้งสามมั้ย? ..ทั้งสามองค์กรนี้น่ะเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขององค์กรใต้ดินอันยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงอันยาวนานของจีน..ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปและพี่เย่น่ะไม่ง่ายเหมือนองค์กรทั่วๆ และไปยิ่งไปกว่านั้นเครือน่านฟ้ากรุ๊ปกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนก็ยังมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันอีก..เพราะงั้นเราต้องอดทนเอาไว้..ตราบใดที่เราสามารถร่วมมือกับพี่เย่ได้ล่ะก็..เขาจะมีบทบาทที่สำคัญกับเราในอนาคตอย่างแน่นอน”
“นี่เอ็งพูดจริงเหรอ?” อู๋จิ่วถามด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
“จริงสิพ่อ..ผมจะกล้าโกหกเรื่องแบบนี้หรอ” ไท่เหอพูด
อู๋จิ่วถึงกับสั่นสะท้านไปโดยไม่รู้ตัวเพราะถ้าหากสิ่งที่ลูกชายของเขาพูดเป็นความจริงล่ะก็เย่เชียนคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่อย่างธรรมดาๆ แน่นอน และเขาก็ไม่ใช่คนที่สมควรจะไปทำให้ขุ่นเคืองเลย เมื่อตระหนักเช่นนั้นอู๋จิ่วก็อดไม่ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ และนั่งลงอีกครั้งอย่างใจเย็น
ทั้งสองก็นั่งกันอยู่ในห้องนั่งเล่นและรอเวลาผ่านพ้นไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของเย่เชียนเลยแม้แต่น้อย “เอ่อ..คุณอู๋จิ่วคุณอยากกินอะไรหน่อยมั้ยครับ?” เจมส์ถามขณะที่เขาเดินเข้ามาพร้อมกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งชามและกินอย่างเอร็ดอร่อย
“เอ่อ..ไม่เป็นไรๆ” อู๋จิ่วก็ผงะไปชั่วขณะและตอบด้วยรอยยิ้มแห้งๆ อย่างไรก็ตามในตอนนี้ท้องของเขาก็ร้องโครกครากสองสามครั้งอย่างไม่น่าเชื่อเพราะเขานั้นยุ่งตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงตอนนี้และเขาก็ไม่มีเวลาที่จะกินข้าวเลย
“อ่อครับ!” เจมส์ได้ยินเสียงท้องร้องของอู๋จิ่วอย่างชัดเจนแต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรเลยและสิ่งที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคืออู๋จิ่วนั้นแต่เดิมเขาต้องการที่จะปฏิเสธเป็นมารยาทเพียงเท่านั้นแต่ทว่าเขาก็ไม่คิดว่าเจมส์จะเป็นคนตรงๆ ถึงขนาดนี้ไม่เช่นนั้นอู๋จิ่วก็คงจะไม่ปฏิเสธและพูดออกไปตรงๆ อย่างแน่นอน
อู๋จิ่วจ้องมองดูเจมส์เดินออกไปอย่างหมดหนทางและทนกับความหิวโหยอย่างมาก
เวลาประมาณสี่ทุ่มในที่สุดเย่เชียนก็เดินลงมาชั้นล่าง ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเย่เชียนไม่ได้นอนแต่อย่างใดเขาแค่เล่นเกมคอนโซลแก้เบื่ออยู่ที่ชั้นบนเท่านั้นและเมื่อเห็นอู๋จิ่วกับไท่เหอนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วเย่เชียนก็แสร้งทำเป็นแปลกใจขณะที่เขาเดินลงมาและถามว่า “อ้าว..คุณอู๋จิ่วคุณมาเมื่อไหร่ครับเนี่ย..ทำไมคนของผมถึงไม่ไปเรียกผมล่ะ..ขอโทษนะครับที่เสียมารยาท..อย่าไปขุ่นเคืองพวกเขาเลย”
หลังจากนั้นเจมส์ก็เดินเข้ามาจากข้างนอกและเย่เชียนก็จงใจทำหน้าบึ้งและแสร้งพูดอย่างจริงจังว่า “เจมส์! ..ทำไมคุณถึงได้เสียมารยาทแบบนี้! ..คุณอู๋จิ่วมาที่นี่แล้วทำไมคุณถึงไม่ขึ้นไปเรียกผมล่ะ..ทำไมคุณถึงปล่อยให้แขกรอ!”
เจมส์แกล้งทำเป็นขอโทษอย่างสำนึกผิดและพูดอย่างรีบร้อนว่า “ผมขอโทษครับคุณเย่..ผมเห็นว่าคุณเย่นอนอยู่เลยไม่อยากให้ใครไปรบกวนนะครับ!”
เย่เชียนก็หันหน้าไปหาอู๋จิ่วและยิ้มอย่างขอโทษและพูดว่า “ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับคุณอู๋จิ่ว..ผมดื่มมากเกินไปหน่อย” หลังจากนั้นเย่เชียนก็เดินไปที่โซฟาและนั่งลงซึ่งเมื่อเขาเห็นเฟิงหลานและหลิวเทียนเฉินยังคงนอนหลับอยู่อย่างน่าสมเพชเย่เชียนก็ทำเสียงดังเพื่อปลุกพวกเขาและหลังจากนั้นพวกขาก็สะดุ้งขึ้นมาพร้อมกับอุทานว่า “เกิดอะไรขึ้น!”
“ไปหาที่นอนกันดีๆ ซะ!” เย่เชียนจ้องมองพวกเขาอย่างขมขื่นและพูด
ทั้งสองคนก็หัวเราะแห้งๆ และรีบขึ้นไปที่ชั้นบน หลังจากนั้นเย่เชียนก็หันมายิ้มอย่างขอโทษและพูดว่า “เอ่อ..คนพวกนี้เสียมารยาทไปหน่อยผมต้องขอโทษคุณอู๋จิ่วด้วยนะครับ..เอ่อแล้วมีอะไรถึงได้มาหาผมดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ครับ”
“เอ่อคือ…” อู๋จิ่วกำลังจะพูด
ทันทีที่อู๋จิ่วกำลังจะอ้าปากพูดจู่ๆ เย่เชียนก็ขัดจังหวะเขาและพูดว่า “เอ่อคุณอู๋จิ่วยังไม่ได้กินข้าวเลยใช่มั้ยครับ?”
อู๋จิ่วก็ถึงกับผงะไปชั่วครู่และรีบพูดว่า “ใช่ๆ! ..แต่ว่าคุณเย่…”
“อ้อดีเลย..ผมเองก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน…มาๆ ..เรามากินด้วยกันเถอะ” เย่เชียนขัดจังหวะเขาอีกครั้งและยืนขึ้นขณะที่เขาพูด “เชิญครับคุณอู๋จิ่ว..ลองกินอาหารจีนของเราดูว่าคุณชอบมั้ย”
อู๋จิ่วก็หัวเราะแห้งๆ และจำใจเดินตามเย่เชียนไปที่ห้องครัว ซึ่งปรากฏว่าในห้องครัวนั้นมีเชฟยอดฝีมือชาวจีนอาวุโสที่ได้รับการว่าจ้างเป็นพิเศษในคฤหาสน์ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานอาหารก็พร้อมเสิร์ฟหลายอย่าง
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “เชิญเลยคุณอู๋จิ่ว..ลองดูว่าอาหารจีนกับอาหารของเมียนมาร์แตกต่างกันยังไง”
“คือคุณเย่ครับ” อู๋จิ่วพูด
“คุณอู๋จิ่วครับที่จีนของเรามีวัฒนธรรมว่าเวลากินเราจะไม่พูดและเวลาพูดเราจะไม่กินน่ะครับ” เย่เชียนพูด ซึ่งอู๋จิ่วก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะและไท่เหอก็ตกตะลึงเช่นกันเพราะเขาอยู่ในประเทศจีนมาสองสามปีแล้วแต่เขาก็ไม่เคยได้ยินประโยคนี้มาก่อนซึ่งกลับกันดูเหมือนว่าชาวจีนชอบจะใช้เวลาอาหารค่ำเพื่อพูดคุยกันเสียมากกว่า แต่หลังจากที่ตระหนักอย่างถี่ถ้วนแล้วก็อาจเป็นไปได้ที่ชนชั้นสูงของประเทศจะไม่พูดคุยกันระหว่างมื้อค่ำก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามในเมื่อเย่เชียนได้พูดออกมาขนาดนี้แล้วมันก็ยากที่จะพูดอะไรออกมาในขณะนี้และถึงแม้ว่าอู๋จิ่วจะหิวมากขนาดไหนก็ตามแต่เขาก็กินอะไรไม่ลงอยู่ดี
เย่เชียนก็จ้องมองไปที่ท่าทางและการแสดงออกของอู๋จิ่วและรู้ว่าเขากำลังร้อนใจอยู่แต่เย่เชียนก็ยังแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอะไรเลยแม้แต่น้อยและยังคงเพลิดเพลินไปกับการกินและแสร้งทำเป็นว่ามีอัธยาศัยดีและต้อนรับอู๋จิ่วเพื่อรับประทานอาหารร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ
.
.
.
.
.
.
.