ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 366 ซูเหว๋ยผู้อ่อนแอ
ตอนที่ 366 ซูเหว๋ยผู้อ่อนแอ
“ใจเย็นๆ ..ดูข้อมูลข้างในก่อนสิ!” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม ซึ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูมั่นใจของเย่เชียนซูเหว๋ยก็อดไม่ได้ที่จะสับสนอย่างมากและจ้องมองเย่เชียนด้วยความสงสัย
ยิ่งซูเหว๋ยจ้องมองเย่เชียนมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้นและคิ้วที่ขมวดของซูเหว๋ยก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงและรอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าอย่างมีความสุขและหลังจากนั้นไม่นานซูเหว๋ยก็หันหน้าไปดูไฟล์ทั้งหมดจนจบและเธอก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนอย่างขอโทษแล้วพูดว่า “ฉันขอโทษนะ..เมื่อกี้ฉันอารมณ์ไม่ดี..นายคงไม่โกรธฉันใช่มั้ย?”
“ไม่โกรธหรอก..แต่แค่เสียใจนิดหน่อยน่ะ” เย่เชียนพูด
“ฉันจะขอโทษนายได้ยังไงบ้าง?” ซูเหว๋ยถาม
“หอมแก้มผมสิ..ผมจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เย่เชียนชี้ไปที่แก้มของเขาขณะพูด
ซูเหว๋ยก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นเย่เชียนขยับใบหน้าของเขาเข้าหาเธอจนทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวอย่างมากและเธอก็กระสับกระส่ายเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็เหลือบมองไปรอบๆ ห้องด้วยความสับสนและหวั่นไหวและเมื่อเธอเห็นว่าไม่มีใครนอกจากเย่เชียนเธอก็อยากจะหอมแก้มเย่เชียนแต่เธอก็อดเขินไม่ได้เพราะตั้งแต่ที่เธอเติบโตขึ้นมาเธอก็ไม่เคยแม้แต่จับมือกับผู้ชายเลยนับประสาอะไรกับการหอมแก้มผู้ชายเช่นนี้
เมื่อเห็นความลังเลใจของซูเหว๋ยเช่นนี้เย่เชียนก็กำลังจะจูบเธอแทนแต่ทว่าในขณะนี้จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกและในทันใดนั้นเลขาก็ตกตะลึงอย่างมากและหลังจากนั้นไม่นานเธอก็พูดอย่างเร่งรีบว่า “ฉันขอโทษค่ะ..ฉันขอโทษ!” จากนั้นเธอก็รีบเดินออกไปและค่อยๆ ปิดประตูอย่างสุภาพ
ใบหน้าของซูเหว๋ยก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงทันทีและเธอก็รีบผลักเย่เชียนออกไป ซึ่งเย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “ผมคิดว่าผมเป็นทาสรับใช้ที่โชคดีมาก..ที่ได้จุมพิตราชินีอย่างคุณ”
ซูเหว๋ยก็เหลือบมองเย่เชียนด้วยหางตาและโทรศัพท์ไปหาเลขาแล้วพูดว่า “เข้ามาได้!”
ครู่หนึ่งเลขาก็เดินเข้ามาแต่สีหน้าของเธอดูประหม่าอย่างมากเพราะเธอได้ไปทำลายบรรยากาศที่ดีของเย่เชียนกับซูเหว๋ยดังนั้นเธอจึงกลัวเล็กน้อยแต่ซูเหว๋ยก็ไม่ได้ตำหนิเธอเลยซึ่งอาจเป็นเพราะเย่เชียนได้ช่วยเธอแก้ปัญหาใหญ่ๆ เช่นนี้เธอจึงอารมณ์ดี เธอจึงหายเครียดและหมดกังวลไปอย่างมาก
“ไปแจ้งให้ทุกคนทราบว่าคืนนี้ไม่ต้องทำงานล่วงเวลากันแล้ว!” ซูเหว๋ยพูด
“เราไม่ต้องทำงานล่วงเวลากันแล้วหรอคะ..แล้วโปรเจคระหว่างเดอะมัวร์กรุ๊ปล่ะ?” เลขาถามด้วยความประหลาดใจ
“ผู้ช่วยเย่ทำสำเร็จแล้วน่ะ” ซูเหว๋ยพูดต่อ “เอาล่ะ..เธอไปแจ้งทุกคนรอได้เลยว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เราได้เซ็นสัญญากับเดอะมัวร์กรุ๊ปฉันจะพาทุกคนไปเลี้ยงมือค่ะ!”
เลขาถึงกับประหลาดใจอย่างมากเพราะเย่เชียนเพิ่งจะใช้คอมพิวเตอร์ของเธอเมื่อไม่นานมานี้แต่เขากลับสามารถเจาะลึกสิ่งต่างๆ รวดเร็วถึงขนาดนี้ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างมาก และเธอก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเย่เชียนและดูเหมือนว่าเย่เชียนจะไม่ใช่แค่ผู้ชายที่หล่อเหลาแต่ยังเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถอย่างมากอีกด้วย ซึ่งหลังจากตอบกลับแล้วเลขาก็ยิ้มให้กับเย่เชียนแล้วเธอก็หันหลังเดินออกไป
หลังจากเห็นเลขาออกไปแล้วซูเหว๋ยก็มองไปที่เย่เชียนด้วยความสงสัยและถามว่า “นี่นายเป็นใครกันแน่?”
“ผมคือเย่เชียนไง! ..ผมเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ” เย่เชียนแสร้งทำเป็นสับสนราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าซูเหว๋ยต้องการจะถามตัวเองว่าอะไร
“นายคิดว่าฉันจะเชื่อหรอ..พนักงานรักษาความปลอดภัยจะสามารถแก้ปัญหาที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากในบริษัทของเรายังแก้ไม่ได้เป็นเดือนๆ เลยเนี่ยนะ?” เห็นได้ชัดเลยว่าซูเหว๋ยนั้นไม่เชื่อคำพูดของเย่เชียนซึ่งมันก็ชัดเจนมากเช่นกันเพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะรู้ถึงการออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้ได้อย่างไร
เย่เชียนก็ยักไหล่เล็กน้อยและพูดว่า “มีความเป็นไปได้สองอย่างก็คือ..หนึ่งคือนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในบริษัทของคุณไร้ความสามารถเกินไปและอีกอย่างก็คือพวกเขาไม่ตั้งใจทำ”
สิ่งที่เย่เชียนพูดออกมานั้นซูเหว๋ยก็ไม่อยากจะเชื่อเลยเพราะเธอรู้ว่าเย่เชียนนั้นไม่เต็มใจที่จะพูดและเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “ถ้างั้นก็มาคุยกันสิว่าฉันจะตอบแทนนายได้ยังไง?” แต่ทว่าเมื่อเธอเห็นว่าเย่เชียนกำลังจะอ้าปากพูดซูเหว๋ยก็รีบพูดว่า “ยกเว้นหอมแก้มนายนะ..ฉันจะไม่ทำ!”
“มันก็แค่หอมแก้มเฉยๆ น่ะ..ไม่ใช่จูบกันสักหน่อย” เย่เชียนยิ้มอย่างมีความสุขและพูด
“ไม่!” ซูเหว๋ยพูดต่อ “ฉันจะให้โอกาสนายอีกครั้งถ้านายไม่บอกฉันล่ะก็..นายก็หมดสิทธิ์เรียกร้องแล้วนะ”
“เดี๋ยวก่อนสิ!” เย่เชียนพูดอย่างเร่งรีบว่า “ตอนนี้ผมรู้สึกปวดเมื่อยมากคุณช่วยนวดให้ผมหน่อยได้มั้ย?”
ซูเหว๋ยก็มองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจและถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วทำไมนายถึงไม่ขอยกเลิกข้อตกลงในการเป็นทาสรับใช้ของฉันล่ะ? ..เพราะถ้านายขอฉันก็จะไม่คัดค้านอย่างแน่นอน”
“ผมรู้สึกชอบการเป็นทาสไปแล้วน่ะ..ฮ่าๆ” เย่เชียนยิ้มและพูดว่า “ได้มั้ยล่ะ? ..ผมปวดเมื่อยมาก” เย่เชียนพูดในขณะที่เขาแสร้งทำเป็นอ่อนล้าราวกับว่าเขาทำงานหนักเกินไปในตอนนี้
“อย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน” ซูเหว๋ยพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าเย่เชียนและเธอก็พูดว่า “ไปตรงนั้นแล้วนั่งลงซะ..ฉันจะนวดให้”
เย่เชียนก็เดินไปที่โซฟาและนั่งลงส่วนซูเหว๋ยก็เดินตามหลังเขาและเริ่มนวดให้เขา ซึ่งเย่เชียนก็เพลิดเพลินไปกับการนวดพร้อมหลับตาและส่งเสียงที่น่ารังเกียจออกมาซึ่งทำให้ซูเหว๋ยเขินอายอย่างมาก ซึ่งถ้าหากว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องส่วนตัวล่ะก็เสียงก็คงจะแพร่กระจายออกไปและไม่รู้เลยว่าคนภายนอกจะคิดอย่างไรกัน
ตกตอนเย็นซูเหว๋ยก็พาเย่เชียนไปช้อปปิ้งกับเธอแต่เธอก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลยเธอก็แค่ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะแต่เธอกลับเงียบมากจนเย่เชียนรู้สึกประหลาดใจอย่างมากและเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเขาจึงต้องเดินไปกับเธออย่างเงียบๆ
“เย่เชียน..จิตใจของมนุษย์น่ะมันเปราะบางจริงๆ หรอ? ..มันสามารถเปลี่ยนได้ด้วยเงินอย่างงั้นหรอ?” ซูเหว๋ยยืนอยู่ข้างสระบัวในสวนสาธารณะและสายตาของเธอก็ดูเหงาและโศกเศร้าอย่างมากและพูดอย่างช้าๆ
“ก็เพราะว่าความปรารถนาของมนุษย์น่ะมันไม่มีที่สิ้นสุด..และต่อหน้าความปรารถนาทุกอย่างล้วนเปราะบางไปหมด” เย่เชียนพูด
“บางครั้งฉันก็อยากจะออกจากบริษัทให้มันจบๆ ไป..แต่ฉันก็ไม่อยากปล่อยให้สิ่งที่พ่อแม่ของฉันสร้างกันมาอย่างยากลำบากต้องมาพังลงในมือของพวกเขา..คือแม่ของฉันน่ะท่านเสียไปตั้งแต่ฉันยังเด็กมากและความจำของฉันเกี่ยวกับท่านก็เลือนรางไปแล้วด้วยซ้ำ..และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาพ่อของฉันท่านก็จากไปและบริษัททะเลสี่ทิศก็ถูกส่งมอบให้ฉัน..บางครั้งฉันก็เหนื่อยและท้อมากจนอยากจะทิ้งมันไปทุกอย่างและหาที่เงียบๆ สงบๆ ไม่สนใจเรื่องแบบนี้อีกต่อไปและใช้ชีวิตไปตามที่ฉันต้องการ” ซูเหว๋ยพูดอย่างโศกเศร้า
“ทำสิ่งที่ใจคุณต้องการเถอะ..อย่าไปแบกรับอะไรเอาไว้ถ้าเราไม่ไหวจริงๆ” เย่เชียนพูด เพราะบางครั้งเขาก็รู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ กับความรับผิดชอบที่เขาต้องรับมันเอาไว้นั้นมันมากเกินไปและบางครั้งเขาก็แทบจะหายใจไม่ออก แต่เมื่อเขาเลือกเส้นทางนี้เขาก็ต้องมีความมุ่งมั่นและไม่ว่าเขาจะเหนื่อยหรือขมขื่นมากแค่ไหนเขาก็ทำได้แค่เก็บมันเอาไว้ในใจและเลือกที่จะฝ่าฟันมันเพราะอย่างน้อยๆ เขาก็จะสามารถสบายใจได้ไม่มากก็น้อย
“แล้วนายล่ะ? ..พ่อแม่ครอบครัวหรือเครือญาติและเพื่อนๆ ของนายเป็นเหมือนของฉันมั้ย?” ซูเหว๋ยหันหน้าไปมองเย่เชียนแล้วถาม
เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และมองออกไปไกลๆ และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดอย่างช้าๆ ว่า “ในความทรงจำของผมไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับพ่อแม่เลย..พูดก็คือผมเป็นเด็กกำพร้าผมถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนหนูที่กำลังเดินข้ามถนนผมถูกคนอื่นขับไล่และทุบตีนับมาตลอดและนับประสาอะไรกับความอบอุ่นล่ะ..หลังจากนั้นก็มีชายชราเก็บขยะมารับเลี้ยงผมตั้งแต่นั้นมาผมก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่ของครอบครัวจริงๆ ชายชราคนนั้นเขาไม่ได้แต่งงานมาทั้งชีวิตแต่มีลูกที่อุปถัมมา 4 คนรวมทั้งผมด้วย..พวกเราทุกคนต่างเรียกเขากันว่าพ่อ..ถึงแม้ว่าชีวิตในตอนนั้นจะย่ำแย่และลำบากสักแค่ไหนแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวได้อย่างที่ไม่เคยมีมา…บางครั้งผมก็อยากรู้ว่าพ่อแม่ของผมเป็นใครทำไมพวกเขาถึงทิ้งผมไป..เขาไม่รักผมหรือว่าพวกเขามีเหตุผลอื่นผมก็ไม่รู้เลย”
ซูเหว๋ยอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเขาและหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งซูเหว๋ยก็พูดอย่างช้าๆ ว่า “อย่างน้อยๆ ตอนนี้นายก็ดีกว่าฉันแล้ว..เพราะอย่างน้อยๆ นายก็มีความอบอุ่นของครอบครัวพี่น้องและพ่อ..แต่ฉันน่ะไม่เหลืออะไรเลย”
“แต่ตอนนี้คุณก็สามารถหาคนที่สำคัญสำหรับคุณ..หาคนที่รักคุณจริงๆ ในอนาคตแล้วใช้ชีวิตให้มีความสุข..เขาคนนั้นจะคอยช่วยคุณสนับสนุนคุณในทุกๆ เรื่องและเป็นห่วงคุณและคอยดูแลคุณตลอดไป” เย่เชียนพูด
ซูเหว๋ยก็ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วหันหน้าไปมองเย่เชียนอย่างซุกซนและถามว่า “แล้วคนคนนั้นจะเป็นนายหรือเปล่า?”
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะเบาๆ ในใจหลังจากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างขอโทษและพูดว่า “ผมเป็นแค่พนักงานรักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ ..คุณไม่กลัวหรอว่าคนอื่นเขาจะนินทาคุณกันน่ะ?”
“ฉันถามนาย..นายก็ต้องตอบฉันสิ” ซูเหว๋ยมองไปที่เย่เชียนอย่างคาดหวังและถาม
เย่เชียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และก็ลูบริมฝีปากของตัวเองและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ค่อยๆ พูดว่า “ผมไม่ใช่ผู้ชายที่ดีหรอกนะ..ผมมีแฟนแล้ว..และก็ไม่ใช่คนเดียวด้วย..พวกเธอทั้งหมดน่ะเป็นผู้หญิงที่ดีมากและผมก็ไม่อยากทำร้ายใคร..ผมเองก็ไม่รู้ว่านั่นคือความรักหรือความหลง..บางครั้งผมก็อยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ สักทีเหมือนกัน”
“อืม” ซูเหว๋ยถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและเธอก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่เฉื่อยชาและดวงตาของเธอก็หันกลับไปที่สระบัวตรงหน้าเธอ อย่างไรก็ตามดอกบัวในสระก็ยังไม่พ้นน้ำและมีเพียงใบบัวสีเขียวเท่านั้นที่ลอยอยู่บนพื้นผิวของสระน้ำ
เย่เชียนเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปแล้วและทั้งสองคนก็ยืนอยู่กันอย่างเงียบๆ จนบรรยากาศรอบตัวค่อนข้างเงียบและวังเวงเงียบเหงาอย่างมาก
เวลาผ่านไปนานสักพักหนึ่งเย่เชียนก็หันหน้าไปมองซูเหว๋ยและเขาก็เห็นตัวของเธอกำลังสั่นเทาอยู่และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารในใจพลางคิดว่าเธอคือหญิงสาวขี้เหงาและน่าสงสารที่ต้องการใครสักคนมาคอยดูแลเธอ
.
.
.
.
.
.
.