ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 369 ศึกระหว่างผู้หญิงทั้งสอง
ตอนที่ 369 ศึกระหว่างผู้หญิงทั้งสอง
หลังจากที่หยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “แต่ฉันน่ะรู้นิสัยของเธอดีว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เธอตัดสินใจได้..เพราะงั้นฉันจึงหักห้ามใจเอาไว้..แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง..หกเดือนที่ผ่านมานี้เธอเป็นยังไงบ้าง?”
ใบหน้าของซูเหว๋ยก็กลายเป็นผิดหวังและหัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความสูญเสีย ซึ่งบางครั้งผู้หญิงนั้นก็เหมือนกับผู้ชายเพราะพวกเธอก็มีความรักและถึงแม้ว่าซูเหว๋ยจะไม่ได้รักเย่เชียนก็ตามแต่ถึงยังไงเธอก็ยังคงผิดหวังและเสียใจอย่างมากเมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชียนเช่นนั้น
ใบหน้าของจ้าวหยาก็เปลี่ยนไปเช่นกันซึ่งดวงตาของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายและมีความสุขอย่างมากและเธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อย “นายยังเก็บจดหมายของฉันเอาไว้อยู่หรือเปล่า?” จ้าวหยาถาม
“แน่นอนสิ!” เย่เชียนพูด “ฉันเก็บมันเอาไว้และฉันก็มักจะหยิบมันออกมาอ่านอยู่เสมอ”
“แล้วนายเขียนอะไรถึงฉันบ้างนายจำได้มั้ย?” จ้าวหยาถามต่อ
“จำได้สิ!” เย่เชียนพยักหน้าและพูด
“งั้นก็อ่านให้ฉันฟังหน่อยสิ” จ้าวหยาพูด
“ตอนนี้เลยหรอ” เย่เชียนถามพลางเกาหัวด้วยความลำบากใจเพราะเขาไม่ใช่วรรณกรรมและนักกวีเพราะถ้าเขาอ่านออกมาจริงๆ มันก็ยังคงอึดอัดอยู่บ้าง
“ฉันต้องการฟังตอนนี้เลย!” จ้าวหยาพูดและมองไปที่ซูเหว๋ยและดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความยั่วยุและเย้ยหยันเล็กน้อย
สงครามระหว่างผู้หญิงนั้นทำให้ผู้ชายหดหู่มากจริงๆ เพราะการต่อสู้นอกเครื่องแบบที่ไร้ดินปืนและระเบิดนั้นมันน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดสำหรับผู้ชาย หลังจากที่ยิ้มอย่างละอายใจตัวเองเย่เชียนก็ค่อยๆ เริ่มอ่านมัน
หมู่เมฆที่ลอยอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์จะได้ยินเสียงใครที่ไหน?
ในความฝันฉันพิงราวบันไดหลายครั้งและพิงตึกสูงเพียงลำพังและมองดูดวงดาวอยู่เพียงลำพังเสมอมา
กระแสลมหวนที่ถาโถมและผัดผ่านมาเนิ่นนานอย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีเธอ
ฟากฟ้าที่กว้างไกลจะมองไปทำไมถ้าไม่มีเธอ
ความงดงามของเธอนั้นเหนือสิ่งอื่นใดจนหาที่เปรียบมิเคยได้
ชีวิตนี้ต้องฝ่าฟันสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อจะคงอยู่กับความเศร้าโศกที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่ไร้เธอ
ทะยานผ่านท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ด้วยชีวิตที่ไม่มีใครร่วมทางนั้นทั้งเหงาและเศร้าโศกยิ่ง
เงาที่อ้างว้างกับโลกที่ไร้จุดสิ้นสุดนั้นเธออยู่แห่งหนใด?
ไม่เพียงแค่จ้าวหยาเท่านั้นแต่ยังรวมถึงซูเหว๋ยด้วยที่ตกตะลึงเพราะนี่คือสิ่งที่เย่เชียนคิดและเขียนขึ้นมาจริงๆ อย่างงั้นหรือ? จ้าวหยานั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเย่เชียนจะสามารถเขียนบทกวีที่ซึ้งกินใจได้เช่นนี้จนผู้คนที่ได้ยินมันจะสามารถสัมผัสความโหยหาและเศร้าโศกได้
น้ำตาก็ได้ไหลลงมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งจ้าวหยาและซูเหว๋ยนั้นไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนจะสามารถคิดบทกวีที่ซึ้งกินใจเช่นนี้ได้และมีเพียงผู้ที่ได้รับความเจ็บปวดแบบนี้เท่านั้นที่สามารถคิดและสัมผัสมันได้ถึงความรักที่แท้จริงในบทกวีนี้
จ้าวหยาไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไปเธอจึงเหวี่ยงตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเย่เชียนและเริ่มสะอึกสะอื้นและตัวสั่นอย่างมากเพราะมันเป็นความสุขและความปลื้มปีติที่พิสูจน์ได้แล้วว่าการที่เธอตั้งใจทำสิ่งต่างๆ มาตลอดหกเดือนที่ผ่านมานี้และความลำบากยากแค้นที่เกิดขึ้นตลอดหกเดือนที่ผ่านมามันไม่ได้ไร้ผลเพราะในที่สุดผู้ชายตรงหน้าเธอก็สามารถละทิ้งทุกสิ่งและยอมรับตัวเธอได้ในที่สุด
จ้าวหยานั้นไม่สนใจว่าเย่เชียนจะมีผู้หญิงคนอื่นหรือไม่ตราบใดที่เธอสามารถอยู่เคียงข้างเย่เชียนนั้นได้ก็เพียงพอสำหรับเธอแล้วจริงๆ
การแสดงออกของซูเหว๋ยก็เริ่มหดหู่และผิดปกติไปเพราะบางทีคำพูดของเย่เชียนก็คงจะไม่ผิดเพราะเขามีแฟนหลายคนแต่หลังจากได้ยินบทกวีนี้ซูเหว๋ยก็รู้สึกได้ถึงความจริงใจที่เย่เชียนนั้นมีให้กับผู้หญิงเหล่านั้นจนความรู้สึกและหัวใจของเธอเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ เช่นกันและเมื่อเห็นจ้าวหยาอยู่ในอ้อมแขนของเย่เชียนแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าคนๆ นั้นจะเป็นตัวเธอเองได้หรือเปล่า? ซึ่งในขณะนี้เธอก็ทำอะไรไม่ถูกและเธอก็ลังเลจนเธอคิดด้วยซ้ำว่าถ้าเธอมีไหล่ให้พึ่งพาแบบนี้ได้บ้างก็คงจะดีจริงๆ
อย่างไรก็ตามเย่เชียนนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของจ้าวหยานั้นแตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิงด้วยความเย็นชาและมือของเธอก็เย็นเช่นกัน ซึ่งหลังจากคิดแล้วเขาก็คิดไม่ออกจนเย่เชียนแอบเดาว่าจ้าวหยาอาจจะไม่ได้สุขสบายที่นั่นและนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้เป็นแบบนี้
บรรยากาศของการทานอาหารมื้อนี้นั้นค่อนข้างผิดปกติไปและถึงแม้ว่าจ้าวหยาจะเป็นคนที่ซุกซนเสมอแต่เธอก็ประณีตในการตักอาหารให้เย่เชียนโดยนึกถึงบรรยากาศของการเป็นภรรยาที่แสนดีของเย่เชียนจนซูเหว๋ยที่อยู่ข้างๆ ถึงกับมีสีหน้าที่มืดมนและหดหู่อย่างมาก
แน่นอนว่าซูเหว๋ยนั้นเป็นคนจ่ายค่าอาหารและหลังจากออกจากร้านอาหารจ้าวหยาก็ควงแขนของเย่เชียนและถามว่า “ตอนนี้นายพักอยู่ที่ไหนหรอ..อาเจ๊หยูกับเค่อเอ๋อได้มาที่ไต้หวันด้วยหรือเปล่า?”
“ฉินหยูไปสอนนักเรียนในแถบชนบทน่ะ..และฉันเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับมา..ส่วนหูวเค่อน่ะอยู่ที่ไต้หวันนี่แหละแต่…” เย่เชียนก็หยุดไปชั่วขณะและพูดกับจ้าวหยาอีกครั้งว่า “แต่ว่าตอนนี้ฉันไม่อยากให้หูวเค่อรู้ว่าฉันอยู่ที่ไต้หวันและไม่อยากให้คนอื่นรู้ด้วยว่าฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องมาเยือนไต้หวันในครั้งนี้”
จ้าวหยาก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและหลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าและพูดว่า “ถ้างั้นฉันก็จะไปบ้านของนายเดี๋ยวนี้แหละ..ฉันอยากเห็นที่พักของนาย”
“ไม่!” ในที่สุดซูเหว๋ยก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
เย่เชียนและจ้าวหยาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพวกเขาก็จ้องมองไปที่ซูเหว๋ยด้วยความประหลาดใจ ซึ่งเย่เชียนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมซูเหว๋ยถึงพูดเช่นนั้น แต่จ้าวหยารู้ว่าซูเหว๋ยนั้นหึงและอิจฉา “ทำไมฉันจะไปบ้านแฟนของฉันไม่ได้ล่ะ”
“เขาเป็นทาสรับใช้ของฉัน! ..ตอนนี้ฉันต้องการให้เขาไปซื้อของกับฉัน!” ซูเหว๋ยพูด
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างหดหู่ ส่วนจ้าวหยาก็เหลือบมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจและสงสัยอย่างมากเพราะปรากฏว่าเย่เชียนกลายเป็นทาสรับใช้ของซูเหว๋ยและเย่เชียนก็ไม่ใช่ผู้ช่วยของเธอแต่เป็นทาสรับใช้? จ้าวหยาก็พูดด้วยรอยยิ้มที่เย้ยหยันว่า “ทาสเหรอ? ..หืม! ..นี่เธอรู้มั้ยว่าตัวตนของเขาคือใคร”
“เอ่อ..หยาเอ๋อ..คือนี่เป็นการพนันฉันเล่นสนุกเกอร์กับเธอแล้วฉันก็แพ้..เพราะงั้นฉันก็ต้องเป็นทาสของเธอเป็นเวลาหนึ่งเดือนน่ะ” เย่เชียนพูดอย่างเขินอายซึ่งมันก็ยากจริงๆ ที่จะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้
“นายแพ้พนันสนุกเกอร์กับเธอหรอ?” จ้าวหยาพูดด้วยความประหลาดใจ “ฉันเคยเห็นนายเล่นสนุกเกอร์แล้วหนิ..ทักษะของนายน่ะไม่ได้น้อยไปกว่ามืออาชีพเลยนะ..นายจะแพ้เธอได้ยังไง?”
“คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ..ก็เพราะว่าเขาชอบฉันยังไงล่ะเขาก็เลยจงใจที่จะแพ้ฉัน!” ซูเหว๋ยพูดอย่างท้าทาย
จ้าวหยาก็หันหน้าไปมองเย่เชียนที่กำลังหัวเราะอย่างเชื่องช้าอยู่และพูดว่า “เรื่องนี้เดี๋ยวเราต้องคุยกันนะ!”
จ้าวหยาและซูเหว๋ยก็มองหน้ากันและไม่สบอารมณ์ใส่กันและทั้งสองก็หันหน้าหนีกันไปจนทำให้เย่เชียนตกตะลึงอย่างมาก “ไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้..ไปซื้อของกับฉัน+” ซูเหว๋ยพูดพร้อมกับดึงแขนของเย่เชียนไป
“ไม่! ..วันนี้เขาต้องไปกับฉัน!” จ้าวหยาก็ดึงแขนอีกข้างของเย่เชียนและพูด
ในขณะนี้เย่เชียนก็ถูกหญิงสาวทั้งสองคนดึงและกระชากเขาไปรอบๆ จนเขารู้สึกเหมือนอยากจะล้มอยู่ตรงนี้เขาจึงพูดออกมาว่า “นั่นมีร้านขายมีดทำครัวอยู่ข้างๆ ..พวกเธอรีบไปซื้อมาแล้วหันแขนฉันไปเลยซะสิ!”
หญิงสาวทั้งสองก็ดูเหมือนกำลังทำสงครามกันเพราะไม่มีใครยอมหลีกทางให้กันเลยจนเย่เชียนรู้สึกราวกับว่าเขากำลังจะถูกฉีกออกจากและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความขมขื่น
“อ้าวลุงอู๋หรอ..คุณมาทำอะไรที่นี่?” ในขณะนี้รถแท็กซี่คนหนึ่งก็ขับมาจอดอยู่ตรงหน้าทั้งสามคนและคนขับก็กำลังเดินออกมาจากรถและจะเดินเข้าไปในโรงแรม ซึ่งเย่เชียนก็รีบปลีกตัวจากสองสาวและวิ่งไปและเขาก็กะพริบตาตลอดขณะที่พูดจนทำให้คนขับคิดว่าเย่เชียนเป็นโรคประสาทและเขาก็งุนงงอย่างมาก
จ้าวหยาและซูเหว๋ยก็ตกตะลึงเช่นกันแต่พวกเธอก็มองไม่เห็นการกระทำของเย่เชียน
“ลุงอู๋ไม่ได้เจอกันนานเลยเป็นยังไงบ้าง” เย่เชียนพูดขณะที่เขาเอาแขนโอบไหล่คนขับรถแท๊กซี่แล้วกระซิบว่า “ลุงช่วยผมหน่อยสิ..เดี๋ยวผมจะให้เงินคุณ”
คนขับรถแท็กซี่ก็หันหน้าไปทางซูเหว๋ยและจ้าวหยาที่อยู่ข้างหลังเย่เชียนราวกับว่าเขาเข้าใจแล้วยิ้มจากนั้นเขาก็รีบพูดว่า “อ้อมันก็ยุ่งๆ นิดหน่อยน่ะ..แล้วเอ็งล่ะ?”
“ช่วงนี้ผมก็ไม่มีอะไรทำเลย..ไหนๆ ก็เจอกันทั้งทีเราไปหาร้านนั่งคุยกันสักหน่อยดีกว่า” เย่เชียนพูด
ถึงแม้ว่าจ้าวหยาและซูเหว๋ยจะสูญเสียอาการแต่พวกเธอก็ไม่ได้มีข้อสงสัยใดๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเธอก็รู้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนประเภทที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายและก็ไม่แปลกใจเลยที่เย่เชียนจะรู้จักกับคนขับรถแท็กซี่
“นั่นสิ..ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน..ฮ่าๆ” คนขับรถแท๊กซี่ก็หัวเราะเบาๆ จากนั้นเขาก็มองไปที่จ้าวหยาและซูเหว๋ยแล้วพูดว่า “แล้วน้องๆ สะใภ้ล่ะ..พวกเธออยากไปด้วยกันมั้ย?”
“ไม่เป็นไรพวกเธอมีธุระที่ต้องไปทำ” หลังจากที่เย่เชียนพูดจบเขาก็หันกลับไปมองที่จ้าวหยาและซูเหว๋ยแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้เจอลุงอู๋มานานแล้ว..ฉันจะไปคุยกันสักหน่อยนะ..พวกเธอกลับกันไปก่อนเถอะ..เดี๋ยวฉันจะไปหาทีหลัง” หลังจากพูดจบก่อนที่จ้าวหยาและซูเหว๋ยจะตอบสนองเย่เชียนก็รีบบอกคนขับรถให้ขึ้นรถและเร่งให้เขารีบออกรถไปอย่างเร่งรีบ
จ้าวหยาและซูเหว๋ยก็ยังคงไม่ตอบสนองเพียงจ้องมองเย่เชียนขึ้นรถแท็กซี่แล้วจากไปและหลังจากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็มองหน้ากันอย่างเหม่อลอยและทำอะไรไม่ถูก “เอ่อ..คุณคิดว่ามีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า?” ซูเหว่ยถาม
“ก็นิดหน่อยนะ..ดูเหมือนว่ามันมีบางอย่างผิดปกติจริงๆ นั่นแหละ” หลังจากนั้นไม่นานจ้าวหยาก็พูดว่า “อ๋อ..ฉันเห็นแล้ว..สีหน้าของคนขับรถแท๊กซี่น่ะบ่งบอกชัดเจนเลยว่าเขาโกหกและเขาก็ไม่รู้จักเย่เชียนเลย..หืม..ไอ้หมอนี่คิดจะใช้อุบายนี้เพื่อที่จะหนีเราอย่างงั้นเหรอ!”
“ฉันเห็นด้วย..แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?” ซูเหว๋ยพูด
จ้าวหยาเหลือบมองซูเหว๋ยและพูดว่า “ยังไงดีล่ะ?”
“ฉันรู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน..แต่ฉันขอเตือนคุณก่อนนะว่าอย่าตามฉันมา!” ซูเหว๋ยพูดอย่างมีชัยเพราะเธอรู้ว่าเย่เชียนนั้นอาศัยอยู่ที่ไหนดังนั้นเธอจึงมีข้อได้เปรียบมากกว่า
“หือ..แล้วคุณคิดว่าฉันต้องพึ่งพาคุณเหรอ? ..เย่เชียนกับฉันน่ะเรารู้จักกันมาตั้งนานแล้ว..ถ้าฉันต้องการจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนมันก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆ” จ้าวหยาพูดต่อ “แต่คุณรู้บ้างมั้ยว่าเขาชอบทำอะไร..เขาชอบกินอะไร..และเขาชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรน่ะ?”
“ละ..แล้วไง? ..ก็ตอนนี้เขาชอบฉัน!” ซูเหว๋ยพูดอย่างประหม่า
“ฮ่าๆ ..เขาชอบคุณเหรอ? ..แล้วทำไมเขาถึงทำแบบนั้นกับฉันล่ะเมื่อกี้นี้..ก็เห็นแล้วหนิถึงแม้ว่าเขาจะชอบคุณแต่เขาก็อาจจะแค่หยอกล้อคุณเล่น..แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเขาชอบคุณจริงๆ หรือเปล่า?” จ้าวหยาพูดอย่างเย้ยหยัน
.
.
.
.
.
.
.