ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 374 ผู้ถือหุ้น
ตอนที่ 374 ผู้ถือหุ้น
ถ้ามันเป็นอย่างที่เย่เชียนพูดจริงๆ ล่ะก็ซูฟู่ไห่ก็ต้องพิจารณาว่าเย่เชียนนั้นกล้าที่จะลงมือกับตัวเองจริงๆ หรือไม่ แต่ถ้าเขาทำตามเย่เชียนเพื่อช่วยซูเหวยล่ะก็เฉาฮงหลีจะตอบโต้ตัวเองด้วยหรือไม่? ซูฟู่ไห่ก็ถึงกับรู้สึกเสียใจว่าทำไมเขาถึงต้องเป็นคนถือหุ้น 10% ของบริษัททะเลสี่ทิศด้วยเพราะถ้าหากไม่มีหุ้น 10% นี้เขาก็คงจะไม่เดือดร้อนถึงขนาดนี้เป็นแน่
คำว่าครอบครัวนั้นถูกลบล้างหายไปแล้วสำหรับซูฟู่ไห่นั้น ซึ่งเฉาฮงหลีก็เป็นพี่เขยคนโตของเขาและเขาก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเฉาฮงหลีจะต้องฆ่าเขาจริงๆ และพี่สาวแท้ๆ ของตัวเองจะช่วยไหม?
ซูฟู่ไห่ก็จ้องมองเย่เชียนอย่างว่างเปล่าและค่อนข้างลำบากในการตัดสินใจเลือกอยู่พักหนึ่งโดยไม่รู้ว่าเขาควรจะเลือกอะไรดี
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ดูเหมือนว่าหัวหน้าซูจะไม่เชื่อผมสินะ..ชิงเฟิงจัดการซะ..ถึงยังไงเฉาฮงหลีก็จะฆ่าเขาอยู่ดี”
เมื่อเย่เชียนพูดจบชิงเฟิงก็ชักปืนออกมาจากเสื้อของเขาและค่อยๆ จ่อไปที่ซูฟู่ไห่ ซึ่งการเคลื่อนไหวนั้นช้ามากราวกับว่าเขาจงใจข่มขู่และกดดันซูฟู่ไห่กับจ้าวฟ้างจนพวกเขาเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากโดยไม่รู้ตัว
ที่ไต้หวันนี้ถึงแม้ว่าจะมีคนจำนวนมากที่มีปืนแต่ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าพกปืนไปไหนมาไหนเช่นนี้เลย ซูฟู่ไห่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นตัวตนที่แท้จริงของเย่เชียนอย่างมาก เพราะเย่เชียนนั้นไม่ใช่ชายหนุ่มในมาดของนักธุรกิจอย่างเห็นได้ชัดและมันเป็นสังคมอันธพาลและโลกใต้ดินเสียมากกว่า หรืออาจจะเป็นไปได้ไหมที่ซูเหวยจะว่าจ้างคนจากโลกใต้ดินเช่นนี้มาทำงานด้วย?
ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะไม่แยแสอะไรเลยเขาเพียงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟและค่อยๆ สูบมันพร้อมกับสีหน้าที่เฉยเมยและภายในดวงตาของเขาก็ไม่มีความกลัวในการนองเลือดเลยแม้แต่น้อยจนซูฟู่ไห่ตกใจอย่างมากและคิดอย่างลับๆ ว่า เย่เชียนคนนี้ต้องเคยฆ่าคนอย่างเลือดเย็นมาหลายศพแล้วเป็นแน่
“ก็ได้ๆ ..ฉันจะทำ..ฉันจะทำ!” ซูฟู่ไห่รีบตะโกนขณะที่เขามองดูชิงเฟิงที่กำลังเล็งปืนไปที่จ้าวฟ้างภรรยาของเขาและค่อยๆ เหนี่ยวไกลงไป
เย่เชียนก็โบกมือให้ชิงเฟิงหยุดซึ่งชิงเฟิงก็ชักปืนกลับมาไว้ในอ้อมแขนของเขาและเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ยินดีด้วยหัวหน้าซู..คุณคิดถูกแล้ว”
ซูฟู่ไห่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “ฉันจะโอนหุ้นให้คุณ..แต่ฉันกลัวว่าฉันอาจจะอยู่ที่ไต้หวันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว..เพราะงั้นฉันจะบินไปฝรั่งเศสพรุ่งนี้เช้า” จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่จ้าวฟ้างและพูดว่า “ไปหยิบเอกสารในตู้เซฟมา!”
จ้าวฟ้างถึงกับผงะไปชั่วขณะและเธอก็พยักหน้าเบาๆ แล้วหันหลังเดินขึ้นไปชั้นบนและหลังจากนั้นครู่หนึ่งเธอก็เดินกลับมาโดยถือซองเอกสารเอาไว้ในมือและส่งไปที่มือของซูฟู่ไห่ ซึ่งซูฟู่ไห่ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ และยื่นซองเอกสารให้เย่เชียนและพูดว่า “ของทั้งหมดที่คุณต้องการอยู่ในนี้..ฝากบอกเสี่ยวเหวยด้วยนะว่าพวกฉันขอโทษจริงๆ”
เย่เชียนก็หยิบมันขึ้นมาดูแล้วยัดมันเก็บเข้าไปอีกครั้งและยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “อย่ากังวลไปเลย..คุณไปพักผ่อนที่ฝรั่งเศสก่อนสักสองสามวันก็แล้วกัน..เดี๋ยวพอผมจัดการกับเฉาฮงหลีเสร็จคุณก็กลับกันมาได้”
ซูฟู่ไห่ก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจและถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เชียนถึงได้มีความมั่นใจสูงเช่นนี้ก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็รู้สึกได้เบาๆ ว่าเย่เชียนจะทำเช่นนั้นได้จริงๆ
เย่เชียนก็ยืนขึ้นอย่างช้าๆ และพูดว่า “ขอบคุณหัวหน้าซูสำหรับความร่วมมือนะครับ..ผมจะไม่รบกวนเวลาสามีและภรรยาของพวกคุณแล้ว” เย่เชียนพูดจบก็เดินจากไปส่วนชิงเฟิงก็เดินตามหลังเย่เชียนไปแต่เมื่อเขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็หันกลับมาหยิบกล้วยยัดเข้าปากแล้วรีบวิ่งตามไปอีกครั้ง
หลังจากออกจากหมู่บ้านชิงเฟิงก็พูดขึ้นมาว่า “บอส! ..เฉาฮงหลีคือใคร..ดูจากสีหน้าของซูฟู่ไห่แล้วดูเหมือนว่าเฉาฮงหลีจะข่มขู่เขาเอาไว้เยอะเลยนะ”
หลังจากเข้าไปในรถแล้วเย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “เฉาฮงหลีน่าจะผัวพันอยู่กับโลกใต้ดินเพราะไม่งั้นซูฟู่ไห่ก็คงจะไม่กลัวเขาถึงขนาดนี้หรอก”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “ซูเหวยมีหุ้นอยู่ 40% ส่วนซูฟู่ไห่มีอยู่ 10% ส่วนเฉาฮงหลีมีอยู่ 20% และผู้ถือหุ้นที่เหลืออีก 10% เพราะงั้นถึงแม้จะไม่มีหุ้นอื่นๆ ก็ตามแต่ถึงยังไงซูเหวยก็จะเป็นผู้ถือหุ้น 50% และมันก็ยากมากที่เฉาฮงหลีจะยึดบริษัทไป”
“แล้วแค่นี้มันจะมั่นคงหรอ” ชิงเฟิงถาม
“แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว” เย่เชียนพูด “เรายังไม่ได้นับหุ้น 20% ที่หมุนเวียนอยู่ภายนอกอีก..ถ้าเฉาฮงหลีและผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ อีก 30% ขายหุ้นทิ้งล่ะก็คนอื่นๆ ที่เหลือก็คงจะขายทิ้งเช่นกันและเมื่อถึงตอนนั้นฉันคิดว่าบริษัทจะทรงตัวได้”
ชิงเฟิงก็พยักหน้าและขับรถไปที่บ้านของผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ อีกสามรายที่เหลือซึ่งพวกเขาล้วนเป็นบุคลากรรุ่นบุกเบิกของบริษัททะเลสี่ทิศทั้งนั้นและเดิมทีพวกเขาก็เป็นผู้บริหารของบริษัทอีกด้วยและมีผลงานที่ยอดเยี่ยมจนพ่อของซูเหวยให้หุ้นพวกเขาถึง 10%
เป็นเพราะเหตุนี้ซูเหวยจึงรู้สึกว่าครอบครัวและมิตรภาพนั้นกลายเป็นความเปราะบางเมื่อต้องเผชิญกับเงินทองและยศถาบรรดาศักดิ์และยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เป็นลุงของเธอก็ต้องการที่จะกลืนทรัพย์สินของเธอเองและอาของเธอก็ไม่ได้ช่วยเธอแต่เลือกที่จะยืนอยู่ข้างลุงของเธอจนเธอไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย
หลังจากที่เย่เชียนรู้สาเหตุที่ซูฟู่ไห่เลือกที่จะต่อต้านซูเหวยแล้วเขาก็คาดว่าผู้ถือหุ้นทั้งสามคนที่เหลือนั้นจะต้องถูกเฉาฮงหลีคุกคามและข่มขู่เป็นแน่เพื่อช่วยเฉาฮงหลีจัดการกับซูเหวย อย่างไรก็ตามถ้าหากไม่มีพ่อของซูเหวยล่ะก็คนพวกนี้จะได้ดีเหมือนทุกวันนี้ไหม?
เป็นเวลาสองทุ่มแล้วหลังจากที่เขาออกจากบ้านของซูฟู่ไห่และเขาก็ไปหาผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ จนได้หุ้นอีก 10% มา และด้วยวิธีนี้หุ้นในมือของซูเหวยจึงเท่ากับ 60% ของบริษัทและตราบใดที่ซูเหวยยังคงมั่นคงอยู่มันก็จะเป็นเรื่องยากที่เฉาฮงหลีจะยึดครองบริษัททะเลสี่ทิศไปได้
อย่างไรก็ตามเมื่อเย่เชียนและชิงเฟิงเดินออกจากบ้านของผู้ถือหุ้นคนสุดท้ายทันใดนั้นก็มีรถมากกว่าสิบคันขับเข้ามาล้อมพวกเขาอย่างรวดเร็วและทั้งสองก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นและไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยเพราะเย่เชียนนั้นรู้ดีว่านี่ต้องเป็นคนที่เฉาฮงหลีเรียกมาเพื่อจัดการกับพวกเขาเพราะเย่เชียนใช้ลูกชายของเขาไปข่มขู่เขาจนทำให้เขาพลาดโอกาสดีๆ ในการยึดครองบริษัทและในวันนี้เขาก็คาดเดาว่าเย่เชียนจะมาหาผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ เช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเฉาฮงหลีที่สามารถข่มขู่ซูฟู่ไห่และผู้ถือหุ้นอีกสามคนได้เช่นนี้จึงเห็นได้ชัดเลยว่าเฉาฮงหลีก็มีอิทธิพลอยู่ในระดับหนึ่งเช่นกัน
หลังจากที่รถหยุดลงก็มีกลุ่มคนหนุ่มสาวเดินออกมาจากข้างในและคาดว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่กลุ่มนักเลงบนท้องถนนธรรมดาๆ อย่างไรก็ตามพวกเขากลับสามารถมีรถเช่นนี้ขับได้ซึ่งมันจะต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนเป็นแน่
คนกลุ่มหนึ่งก็ล้อมรอบเย่เชียนและชิงเฟิงเอาไว้อย่างรวดเร็วและชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดที่คาบไม้จิ้มฟันก็เดินมาหาเย่เชียนและเมื่อเห็นการแต่งตัวของเขาเย่เชียนและชิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เพราะเขาทนไม่ได้ที่เห็นคนที่สวมแว่นกันแดดสีดำในตอนกลางคืนแบบนี้ราวกับเด็กอายุ 13 หัดแต่งตัว
ชายหนุ่มคนนี้ก็ถึงกับผงะไปเพราะเขาไม่คาดคิดเลยว่าเย่เชียนกับชิงเฟิงจะกล้าหัวเราะออะมาเช่นนี้ในขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับผู้คนมากมายขนาดนี้ หลังจากนั้นไม่นานชายหนุ่มก็ตะโกนว่า “หัวเราะอะไรกันวะ!”
“ก็หัวเราะแกไงล่ะ..แกเป็นโรคต้อกระจกเหรอวะ..ใครเขาสวมแว่นกันแดดในตอนกลางคืนกัน..แกไม่กลัวเดินตกหลุมเหรอ?” เย่เชียนพูด สำหรับเย่เชียนและชิงเฟิงนั้นสถานการณ์ตรงหน้านั้นง่ายเกินไปเพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่กลุ่มอันธพาลตัวเล็กๆ และไม่ทำให้พวกเขากลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะขนาดได้เผชิญหน้ากับกองทัพที่มีอาวุธครบมือตั้งแต่หัวจรดเท้าพวกเขาก็ไม่เคยกลัวแล้วนับประสาอะไรกับคนกลุ่มนี้กัน
สีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปและหลังจากนั้นเขาก็ถามว่า “คนไหนคือเย่เชียน?”
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดกับชิงเฟิงว่า “จัดการซะ..แต่จำไว้ว่าอย่าฆ่าพวกมันล่ะ..ฉันมีบางอย่างจะถามพวกมัน”
“รับทราบครับบอส!” ชิงเฟิงยิ้มพร้อมลูบมือของเขาและพูด
จากนั้นชิงเฟิงก็พุ่งเข้าไปหากลุ่มอันธพาลเหล่านั้นและยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “เดี๋ยวจัดให้เลยบอส..ผมก็ไม่ได้สู้มานานแล้ว..ออกกำลังกายสักหน่อยก็ดี” ขณะที่เขาพูดเขาก็หยิบปืนพกออกมาจากเสื้อของเขาและยื่นให้เย่เชียนและพูดว่า “ผมฝากหน่อยนะบอส..เดี๋ยวมันจะไม่สนุกเอา”
เมื่อเห็นปืนแล้วเหล่าอันธพาลก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดและมีคลื่นแห่งความกลัวเผยออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะพวกเขาเคยต่อสู้มากก็จริงแต่พวกเขาก็ไม่เคยใช้ปืนมาก่อนเลย ดังนั้งผู้ใดที่มีปืนก็ล้วนเป็นคนที่มีภูมิหลังที่ดีอย่างแน่นอนแต่ทว่านี่ก็เป็นคำสั่งของเจ้านายของพวกเขาและพวกเขาก็ต้องจัดการให้ได้
ชิงเฟิงก็ยิ้มอย่างมีความสุขและรีบวิ่งเข้าไปพร้อมกำปั้นของเขา ซึ่งกลุ่มอันธพาลก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและรีบวิ่งเข้าไปหาชิงเฟิงทีละคนๆ และในทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนจนเย่เชียนขมวดคิ้วและมองไปที่เหล่าอันธพาลเหล่านั้นที่โอดครวญกันอยู่
หลังจากนั้นเย่เชียนก็เอนกายลงบนรถอย่างสบายๆ และหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟราวกับกำลังดูหนังตลกอยู่
.
.
.
.
.
.