ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 375 ทางเลือกที่ชาญฉลาด
ตอนที่ 375 ทางเลือกที่ชาญฉลาด
เย่เชียนนั้นไม่เคยคิดอยากที่จะรังแกอันธพาลรุ่นเยาว์เหล่านี้เลย แต่ดูเหมือนว่าคนประเภทนี่มักจะมาหาเรื่องเขาอยู่บ่อยครั้ง
เย่เชียนเองก็รู้ดีว่าคนเหล่านี้นั้นไม่ได้อยากที่จะเป็นเด็กอันธพาลแต่อย่างใดแต่มันเป็นเพราะพวกเขาจะไม่มีการศึกษาและไม่สามารถหางานทำได้ ดังนั้นดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเติบโตและการก้าวไปข้างหน้าของพวกเขา
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างโง่เขลาเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เพราะคนอย่างเย่เชียนนั้นชอบที่จะต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งในวงการใต้ดินเท่านั้น ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่สนใจที่จะสู้กับเด็กๆ เหล่านี้เลย
แน่นอนว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเย่เชียนจะยอมพวกอันธพาลตัวเล็กๆ เหล่านี้เพราะในเมื่อพวกอันธพาลเหล่านี้วิ่งมาหาเขาเย่เชียนและยั่วยุเย่เชียนซึ่งแน่นอนว่าเย่เชียนจะไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ อย่างแน่นอน หลังจากที่คีบบุหรี่ออกจากปากแล้วเย่เชียนก็หมุนตัวเตะอันธพาลทั้งสองด้วยการเตะเพียงครั้งเดียวแล้วตามด้วยพุ่งเข้าไปต่อยและเตะซ้ำและหลังจากนั้นอันธพาลทั้งสองก็โวยวายว่า “เอ็งเข้าไปก่อนสิวะเดี๋ยวฉันตามไป!”
หลังจากนั้นไม่นานเด็กหนุ่มอันธพาลทั้งสองก็เริ่มเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ และใบหน้าของพวกเขาก็บวมไปหมดจนดูเหมือนหัวหมู แต่เดิมนั้นอันธพาลคนหนึ่งเห็นว่าชิงเฟิงนั้นแข็งแกร่งเกินไปเขาจึงกำลังจะมุ่งเป้าไปที่เย่เชียนแทนแต่ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นฉากนี้พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะคิดเช่นนี้อีก
เมื่อเห็นว่าเย่เชียนนั้นแข็งแกร่งเกินไปเหล่าอันธพาลก็สิ้นหวังและหดหู่อย่างมากจนคิดกันว่าหรือพวกเขาจะแสร้งทำเป็นล้มลงไปกับพื้นและร้องโอดครวญดี
ด้วยความคิดนี้จึงทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเหล่าอันธพาลลดลงไปอย่างมากจนชิงเฟิงนั้นรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคนเหล่านี้สูญเสียความมั่นใจในขณะที่พวกเขาต่อสู้? เพราะยิ่งพวกเขาต่อสู้มากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งสิ้นหวังมากเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าอันธพาลเหล่านี้ดูถูกตัวเองอย่างมากและสูญเสียความมั่นใจไปอย่างสมบูรณ์
ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีพวกอันธพาลกว่าห้าสิบคนทั้งหมดล้มลงกับพื้นพร้อมกับร่ำไห้โอดครวญอย่างต่อเนื่องและแน่นอนว่ามีหลายคนที่แกล้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บและแกล้งร้องโอดครวญอยู่กับพื้นซึ่งเย่เชียนเองก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนจากด้านข้างและฉีกยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ
เย่เชียนก็จุดบุหรี่และหลังจากนั้นค่อยๆ เดินไปหาหัวโจกแล้วนั่งยองๆ พร้อมรอยยิ้มและตบหน้าเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “ไงไอ้หนู?”
เด็กหนุ่มมองไปที่รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรของเย่เชียนและเขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเพราะเขารู้สึกได้เลยว่าเย่เชียนนั้นเป็นเสือยิ้มและกลัวว่าเขาจะยิ้มก็ต่อเมื่อเขากำลังจะฆ่าคน “พี่ชาย..พี่ชายจะทำอะไร” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“ประโยคนี้ควรจะเป็นฉันที่ถามพวกเอ็งสิวะ..เอ็งพาพวกมาทำอะไรเยอะแยะจนเกือบจะทำให้ฉันกลัวอยู่แล้ว..อย่าบอกนะว่าแค่มาเล่นกับฉันเฉยๆ น่ะ” เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อย
เด็กคนนั้นรู้สึกตกตะลึงอย่างมากเพราะเขาพาคนมาตั้งเยอะแต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับที่จะรับมือกับเย่เชียนและชิงเฟิงเลย “ผม..พวกเราแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น..หัวหน้าสั่งให้เรามาจัดการพวกคุณ” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“หัวหน้าของพวกเอ็งเป็นใคร?” เย่เชียนถาม
“เหลยลี่! ..ทุกคนเรียกเขาว่าราชาแห่งองค์กรเทียนเต๋า” เด็กหนุ่มตอบ
“เทียนเต๋าเหลยลี่?” เย่เชียนก็พึมพำอยู่สองสามครั้งและพูดว่า “ฉันไม่รู้จักเขา..แต่พวกเอ็งรู้จักเฉาฮงหลีใช่มั้ย?”
“ใช่ๆ!” เด็กหนุ่มพูดต่อ “เฉาฮงหลีกับเหลยลี่หัวหน้าของเราพวกเขาเป็นเหมือนพี่น้องกัน..ซึ่งหลังจากหัวหน้าได้รับโทรศัพท์จากเฉาฮงหลีแล้วเขาก็ส่งเรามาหาคุณทันที” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้น้ำเสียงของเขาก็หดหู่โดยไม่สมัครใจและเขาก็ต้องการจะออกไปจากที่นี่โดยเร็ว
“องค์กรเทียนเต๋า..เทียนเต๋า..เทียนเต๋า!” เย่เชียนพึมพำสองสามครั้งและรอยยิ้มที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาเพราะเขาไม่คาดคิดเลยว่าเฉาฮงหลีจะมีความสัมพันธ์เช่นนี้ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะมั่นใจได้ถึงขนาดนี้ แต่เย่เชียนก็พึงพอใจอยู่เช่นกันเพราะเนื่องจากเหลยลี่ส่งคนมาจัดการกับเขานั่นก็หมายความว่าเหลยลี่ยังไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเย่เชียน
อย่างไรก็ตามการไม่รู้ตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ในอนาคต ดังนั้นเย่เชียนจึงตัดสินใจที่จะจัดการเหลยลี่และเฉาฮงหลีก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา มิฉะนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อแผนของเขาอย่างร้ายแรงเพราะเมื่อองค์กรเทียนเต๋ารู้ว่าเย่เชียนกลับมาที่ไต้หวันแล้วล่ะก็คนเหล่านั้นก็จะคอยติดตามทุกการเคลื่อนไหวของเย่เชียนอย่างแน่นอนและเย่เชียนก็เชื่อว่าตอนนี้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปและสโมสรโรงยิมศิลปะการต่อสู้ก็อยู่ภายใต้การเฝ้าระวังของสามยักษ์ใหญ่เช่นกัน ดังนั้นต้องแสดงให้พวกเขาเชื่อว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นไม่ได้มีความตั้งใจที่จะก้าวเข้าสู่วงการใต้ดินและกลืนกินดินแดนของพวกเขาเพราะท้ายที่สุดแล้วเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่จีนเช่นกันนั่นเอง
“ตอนนี้หัวหน้าของเอ็งอยู่ที่ไหน?” เย่เชียนถาม
เด็กหนุ่มก็ตัวสั่นไปหมดและเขาก็ลังเลอย่างมากที่จะพูดเพราะถ้าหากเหลยลี่รู้ล่ะก็เขาจะไม่ตายเหรอ? แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลยเขาก็อาจจะต้องตายตอนนี้เช่นกัน “ทำไมไม่พูดวะ..ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปถามคนอื่นก็ได้” เย่เชียนหันไปหาชิงเฟิงและพูดว่า “ชิงเฟิงฆ่ามันซะ..มันไร้ประโยชน์จริงๆ”
เมื่อเห็นเย่เชียนกำลังจะลุกขึ้นและจากไปเด็กหนุ่มก็รีบตะโกนออกมาว่า “ก็ได้ๆ ..ผมจะพูด!”
“ดี! ..แค่นี้ก็สิ้นเรื่องทำไมต้องให้ฉันขู่ด้วย” เย่เชียนย่อตัวลงและพูดว่า “มีอะไรก็พูดมา”
“พี่ชายบอกผมก่อนได้มั้ยว่าพี่ชายต้องการทำอะไร” เด็กหนุ่มพูดต่อ “ถ้าหัวหน้ารู้ผมตายแน่”
“ก็ถ้าเอ็งไม่พูดอะไรเลยเอ็งก็จะต้องตายตอนนี้แหละ” เย่เชียนพูด “อย่ามาต่อรองกับฉัน..แกไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น”
เด็กหนุ่มคนนั้นก็ถึงกับตกตะลึงและกัดฟันและบอกกับเย่เชียนเกี่ยวกับที่อยู่ของเหลยลี่ ซึ่งเย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยตบหัวเด็กหนุ่มและพูดว่า “เอาล่ะ..พวกเอ็งรีบไสหัวไปซะ” หลังจากพูดจบแล้วเย่เชียนก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และพูดกับชิงเฟิงว่า “ไปกันเถอะ..คืนนี้มันวุ่นวายจริงๆ”
ขณะที่เขากำลังจะเดินไปที่รถเมื่อผ่านไปครึ่งทางเย่เชียนก็หยุดและหันกลับมาอย่างช้าๆ และเดินกลับไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง ซึ่งเด็กหนุ่มกลัวมากจนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นอีกครั้งเพราะคิดว่าเย่เชียนนั้นจะต้องฆ่าปิดปากตัวเองอย่างแน่นอน “เอ็งชื่ออะไร?” เย่เชียนถาม
“หวัง..หวังหมิงซู” เด็กหนุ่มตอบอย่างประหม่า
เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดว่า “ชื่อเอ็งไม่เลวเลยนี่หว่า..มันค่อนข้างเจ้าเล่ห์ใช้ได้เลย” หลังจากนั้นเย่เชียนก็โน้มตัวไปที่หูของเขาและกระซิบว่า “ตามฉันมาสิ..ในอนาคตพวกเอ็งจะเป็นใหญ่ได้”
หวังหมิงซูถึงกับผงะไปชั่วขณะและมองไปที่เย่เชียนด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจว่าเย่เชียนนั้นหมายถึงอะไรกันแน่? ชวนให้ตัวเองไปอยู่กับเขาหรือ? หวังหมิงซูนั้นอายุ 22 ปีและไม่ค่อยได้ต่อสู้มากนักเพราะเขาเพียงแค่กินและดื่มและเที่ยวเล่นอย่างเดียวและเขาก็เล่นสนุกตลอดทั้งวันในผับบาร์ แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้มีเงินและไม่ได้มีตัวตนที่ยิ่งใหญ่และยังเป็นแค่เด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ซึ่งเมื่อมองไปที่เย่เชียนแล้วหวังหมิงซูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจอย่างมากเพราะเย่เชียนถึงกับมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทรงพลังเช่นชิงเฟิงเช่นนี้แล้วเขาก็คาดว่าคนตรงหน้านั้นจะไม่ธรรมดาๆ หรอกใช่ไหม? และบางทีมันอาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับตัวเองสู่เส้นทางที่ยอดเยี่ยมก็เป็นได้
“บอกเบอร์โทรศัพท์ของเอ็งมาซิ..เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วฉันจะติดต่อเอ็งไป” เย่เชียนพูด “มีโอกาสเดียวเท่านั้นนะ..เอ็งตัดสินใจด้วยตัวเองก็แล้วกัน!”
หวังหมิงซูก็ถึงกับตกตะลึงและกัดฟันแน่นหลังจากนั้นก็พูดว่า “ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับลูกพี่” หลังจากพูดจบเขาก็บอกเบอร์โทรศัพท์มือถือให้เย่เชียนไป
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยที่มุมปากและตบไหล่หวังหมิงซูเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉลาดมาก..ฉันชอบคนฉลาดๆ แบบนี้จริงๆ!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่รถ ซึ่งหวังหมิงซูก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่าการตัดสินใจในวันนี้จะทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในไต้หวันในอนาคตภายภาคหน้าและเข้าสู่สังคมชนชั้นสูงได้สำเร็จและกลายเป็นคนที่ใครๆ ต่างก็ต้องหวั่นเกรง
ขณะที่เขาเข้าไปในรถชิงเฟิงก็ถามอย่างสงสัยว่า “บอส! ..ทำไมบอสถึงดีกับเด็กคนนั้นล่ะ?”
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “เอาหน่าๆ ..ขับรถไปเถอะ!” หลังจากสตาร์ทรถและขับออกไปแล้วเย่เชียนก็พูดว่า “เราต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของเราด้วย..ซึ่งเขี้ยวหมาป่านั้นไม่เหมาะกับเรื่องนี้เพราะวงการใต้ดินนั้นมันไม่ได้ดีสำหรับเราถ้าเราอยากใช้ชีวิตที่เงียบสงบหลังเกษียณในอนาคตแบบนั้น..เพราะถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะยังเด็กแต่ตราบเท่าที่เขาได้รับการปลูกฝังล่ะก็ในอนาคตพวกเขาจะช่วยเราดูแลเขี้ยวหมาป่าของเราในไต้หวันในอนาคตได้อย่างแน่นอน..และถ้าเรื่องต่างๆ ในไต้หวันได้รับการจัดการโดยพวกเขาเราก็จะสบายใจได้ใช่มั้ย?”
“แต่ถ้าเขาไม่ใช่ของตัวเองและลับหลังเราเมื่อเขามีทุกอย่างแล้วล่ะ?” ชิงเฟิงถาม
“มันก็ไม่มีความจริงใจใดๆ ในโลกนี้หรอก..ถ้าพวกเขาทรยศเราเมื่อไหร่เราก็แค่กวาดล้างพวกนั้น..แต่ถึงยังไงฉันก็เชื่อว่าพวกเขาเป็นคนฉลาดและรู้ว่าควรเลือกทางไหน” เย่เชียนพูดช้าๆ
ชิงเฟิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “นั่นสิเราไม่จำเป็นต้องไปกลัวว่าพวกเขาจะทรยศหรือเปล่า” หลังจากหยุดไปชั่วขณะชิงเฟิงก็ถามต่อ “บอส! ..เราจะไปที่ไหนกันต่อ?”
“บ้านของเหลยลี่..ฉันล่ะอยากเจอราชาแห่งองค์กรเทียนเต๋าจริงๆ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
.
.
.
.
.
.
.