ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 382 หวนคืนแผ่นดินใหญ่
ตอนที่ 382 หวนคืนแผ่นดินใหญ่
สิ่งที่ทำให้เย่เชียนรู้สึกแปลกประหลาดที่สุดก็คือหลีจื้อเทียนที่ร่วมมือกับเขาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจการพนันในมณฑลเหอหนานได้เซ็นสัญญากับทางรัฐบาลแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหลีจื้อเทียนไม่เคยขอความช่วยเหลือใดๆ จากตัวเขาเองเลยจนเย่เชียนลำบากใจและเกรงใจหลีจื้อเทียนอย่างมากและเย่เชียนเองก็คิดไม่ออกและไม่เข้าใจว่าทำไมหลีจื้อเทียนถึงได้เลือกที่จะร่วมมือกับตัวเองกันแน่
เงื่อนไขในการร่วมมือนั้นก็น่าสนใจอย่างมากเพราะไม่เพียงแค่เย่เชียนไม่ได้สูญเสียเงินเพียงเท่านั้นแต่เขายังสามารถทำกำไรได้ถึง 30% ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งมันไม่ใช่จำนวนเล็กๆ น้อยๆ เลยเพราะในอุตสาหกรรมการพนันประเภทนี้ถึงแม้ว่าหลีจื้อเทียนจะมีคนในรัฐบาลกลางหนุนหลังอยู่บ้างแต่ถึงยังไงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ก็ยังเข้มงวดอยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตามถึงยังไงก็ยังคงมีสิ่งที่เย่เชียนไม่สามารถรู้ได้อีกตั้งหลายอย่าง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถท้าทายรัฐบาลกลางได้นั่นเอง
หลีจื้อเทียนนั้นอาจจะมีหุ้นอยู่ประมาณ 40-50% จากอุตสาหกรรมการพนันนี้และนับตั้งแต่วันที่เย่เชียนตกลงร่วมมือกับหลีจื้อเทียนแล้วก็ยังไม่มีอะไรที่ต้องให้เย่เชียนทำเลย เย่เชียนจึงสงสัยว่าที่หลีจื้อเทียนอยากร่วมมือกับเขานั่นคือเป็นเพราะความสามารถของเขาเองจริงๆ หรือ? ซึ่งเย่เชียนไม่คิดอย่างนั้นเลย
ซึ่งเอกสารของรัฐบาลกลางนั้นก็ยังไม่ได้รับการออกอนุมัติอย่างเป็นทางการและถึงแม้ว่าโรงแรมและคาสิโนที่ลงทุนในมณฑลเหอหนานจะถูกสร้างขึ้นแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เพราะถ้าหากเอกสารของรัฐบาลกลางยังไม่ออกมาอย่างเป็นทางการล่ะก็การเปิดคาสิโนก็จะมีปัญหาอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นไม่เพียงแค่มาเฟียและเหล่าคนใหญ่คนโตในท้องถิ่นเพียงเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงบุคคลที่ทรงอำนาจที่ชอบเล่นการพนันต่างก็จะเข้าสู่มณฑลเหอหนานในเวลานั้นกล่าวได้ว่าดอกไม้หนึ่งร้อยบานและจะต้องมีปัญหามากมายแน่นอน
ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้เปลี่ยนดินแดนแห่งทะเลทรายให้กลายเป็นพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองด้วยอุตสาหกรรมการพนันอย่างเมืองลาสเวกัสและไม่ต้องพูดถึงมณฑลเหอหนานเลยเพราะสถานที่แห่งนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและนี่ก็คืออุตสาหกรรมที่สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลตราบใดที่มีคนจำนวนมากที่ใฝ่ฝันที่จะเสี่ยงโชคทุกวันและเล่นสล็อตกัน เพราะพวกเขาเหล่านั้นล้วนแสวงหาโชคและทำกำไรชีวิตโดยการพนันนั่นเอง
เมื่อเย่เชียนมาถึงสนามบินนานาชาติผู่ตงของเมืองเซี่ยงไฮ้ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน และเมื่อเขาเดินออกมาจากสนามบินเขาก็บังเอิญเห็นร่างที่คุ้นเคยและนั่นก็คืออู่หยางเฉิง ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะหยุดนิ่งไปชั่วขณะและมองดูด้วยความประหลาดใจเพราะเขาเห็นว่าอู่หยางเฉิงยืนจับมือทักทายกับชายร่างเตี้ยในชุดสูทด้วยความนอบน้อมซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าคนคนนี้เป็นคนระดับอาวุโสขององค์กรบางอย่างเป็นแน่
การปรากฏตัวของชายร่างเตี้ยนั้นแปลกประหลาดอย่างมากเพราะดวงตาของเขาดูเย็นชามากและดูเหมือนเขาจะระวังตัวมากอย่างมากเพราะเขายืนจับมือกับอู่หยางเฉิงแล้วเข้าไปในรถด้วยกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาแล้วเขาดูเหมือนจะไม่ใช่คนจีนแต่เป็นชาวญี่ปุ่น เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ตกตะลึงและในทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าเหว่ยตกเซียงแห่งตงเซียงกรุ๊ปนั้นเป็นสมาชิกของแก๊งยากูซ่ายามากุจิและอู่หยางเฉิงก็มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเหว่ยตงเซียงเช่นนี้หรือมันจะเกี่ยวข้องกับการสมรู้ร่วมคิดบางอย่างกับประเทศญี่ปุ่นหรือไม่? หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืออู๋หยางเฉิงเป็นกบฏที่ถูกประเทศญี่ปุ่นซื้อชีวิต?
เมื่อมองอู๋หยางเฉิงขับรถออกไปพร้อมกับชายร่างเตี้ยในชุดสูทแล้วเย่เชียนก็ขมวดคิ้วแน่นเพราะเย่เชียนนั้นคิดว่าชายร่างเตี้ยเป็นสายลับที่ประเทศญี่ปุ่นส่งมาใช่ไหม? แต่เย่เชียนก็ไม่รู้ว่าชายร่างเตี้ยคนนั้นมาจากแก๊งยามากูจิหรือจากรัฐบาลญี่ปุ่น แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามถึงยังไงอู่หยางเฉิงก็ไม่สามารถหลีกหนีและลบล้างความสงสัยว่าทรยศต่อประเทศชาติไปได้
การที่เย่เชียนลงมือฆ่าอู๋หยางเทียนหมิงลูกชายของอู๋หยางเฉิงนั้นถึงแม้ว่าอู๋หยางเฉิงคิดจะแก้แค้นมากแค่ไหนแต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราะตั้งแต่นั้นมาอู๋หยางเฉิงก็ไม่กล้าสร้างปัญหาให้กับเย่เชียนอีกเลย ซึ่งเย่เชียนก็ไม่เคยกังวลเกี่ยวกับอู๋หยางเฉิงเลย แต่ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าอู๋หยางเฉิงยังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะแก้แค้นไปและเย่เชียนก็คิดว่าอู๋หยางเฉิงยังคงพยายามอย่างเต็มที่จะแก้แค้นเขา
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ดวงตาของเย่เชียนก็ระเบิดเจตนาฆ่าออกมาอย่างรุนแรงเพราะเย่เชียนนั้นเป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครมาคุกคามตัวเองก่อนได้เพราะถ้าหากอู๋หยางเฉิงคิดที่จะคุกคามเขาล่ะก็เย่เชียนก็ต้องฆ่าเท่านั้นแต่ถ้าอู๋หยางเฉิงไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นเย่เชียนก็จะไม่ฆ่าอู๋หยางเฉิง
สิ่งที่ทำให้ฌญ๋ฌ๙ญฯ รู้สึกหดหู่ก็คือปู่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนแห่งสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติที่ไม่รู้เลยว่าอู๋หยางเฉิงพยายามทรยศประเทศเช่นนี้และขายความลับของรัฐบาลเช่นนี้
เย่เชียนยังคงจำได้อย่างคลุมเครือว่าเขาได้ส่งอู๋หยางเฉิงไปยังคณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลางแต่อู๋หยางเฉิงก็สามารถเดินออกมาจากคณะกรรมการตรวจสอบวินัยกลางได้อย่างง่ายดายซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าอู๋หยางเฉิงมีใครบางคนหนุนหลังอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นการพบปะของอู๋หยางเฉิงกับชาวญี่ปุ่นในครั้งนี้คงจะเป็นคำสั่งของบุคคลที่อยู่เหนือเขาใช่หรือไม่? หรือคนที่มีอำนาจเหนืออู๋หยางเฉิงจะทรยศต่อความลับของรัฐและประเทศชาติและสมรู้ร่วมคิดกับชาวญี่ปุ่น?
“นายกำลังคิดอะไรอยู่?” ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จู่ๆ ซ่งหลันก็เดินมาที่ด้านข้างของเย่เชียนและจับมือของเขาต่อหน้าเขาและถามด้วยความสงสัย
เมื่อเป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ตื่นขึ้นจากการครุ่งคิดเห็นซ่งหลันที่กำลังยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่และเย่เชียนก็พูดว่า “ไม่มีอะไรๆ ..แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าผมกลับมา..แล้วโรวโร่วเธอไม่มาหรอ?”
เมื่อคืนที่ผ่านมาเย่เชียนได้โทรหาหลินโรวโร่วและบอกเธอว่าเช้านี้เขาจะมาถึงที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ดังนั้นเย่เชียนจึงคิดว่าหลินโรวโร่วจะมารับเขา แต่เมื่อเขาเห็นซ่งหลันเขาจึงประหลาดใจเล็กน้อย
ซ่งหลันก็มองเย่เชียนด้วยหางตาและพูดว่า “โรวโร่วมาที่สนามบินไม่ได้..เธอจึงขอให้ฉันมารับนายแทน..ทำไมนายผิดหวังหรอ?”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง..พี่หลันมารับผมแบบนี้ผมมีความสุขมากเลย..เราไปกันเถอะ!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็จับมือซ่งหลันแล้วเดินไปที่รถ
ซ่งหรันมองเย่เฉียนและพูดว่า “ดูเธอสิน่ารักจัง” แต่ในใจของเขามันช่างหอมหวานหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เห็นเขามาพักหนึ่งแล้วซ่งหรันยังคงคิดถึงเย่เฉียน
หลังจากขึ้นรถแล้วเย่เชียนก็หันมองไปที่อู๋หวนเฟิงที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับและยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “หวนเฟิงร่างกายของนายเป็นยังไงบ้าง? ..ยังมีอาการเจ็บค้างอยู่บ้างมั้ย?”
โชคดีที่รถนั้นเป็นเกียร์อัตโนมัติไม่เช่นนั้นเย่เชียนก็กังวลว่าอู๋หวนเฟิงคงจะลำบากไปกับการเปลี่ยนเกียร์เป็นแน่ “ผมไม่เป็นอะไรแล้วบอส..ผมหายดีแล้ว..ผมรู้สึกดีกว่าเมื่อก่อนเลยด้วยซ้ำ” อู๋หวนเฟิงพูด
“บางทีนายอาจจะเป็นอมตะก็ได้นะ” เย่เชียนพูดอย่างติดตลก
“เห้อ..ผมไม่อยากนอนอยู่ที่โรงพยาบาลอีกแล้ว” อู๋หวนเฟิงพูดขณะที่เขาขับรถออกไปจากสนามบิน
“หือ? ..แจ็คไม่ได้หานางพยาบาลสวยๆ มาดูแลนายเหรอ?” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจ เพราะอย่างน้อยๆ แจ็คก็ควรที่จะหานางพยาบาลสวยๆ ให้อู๋หวนเฟิงเพื่อคอยดูแลเขา
“ไม่นะบอส..มันอาย” อู๋หวนเฟิงยิ้มอย่างเชื่องช้าราวกับเขาจำฉากบางอย่างในโรงพยาบาลได้
“นี่นายไม่รู้เหรอ..ฉันเคยเห็นนางพยาบาลตัวเล็กๆ คนนั้นเธอน่ารักมาก..ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นนักศึกษาฝึกงานของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง..เด็กคนนั้นน่ะน่ารักมากเลย” ซ่งหลันพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนี้อู๋หวนเฟิงก็ยิ้มเขินๆ และรอยยิ้มที่มีความสุขก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาจนเย่เชียนอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็ยิ้มและพูด “เอาหน่าไอ้น้องชาย..นายทำหน้าที่มาเยอะพอแล้ว..นายไปติดต่อเธอเถอะ..แล้วจะแต่งงานเมื่อไหร่..ฉันจะได้ให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับนาย”
“มันยังเร็วไป..ตอนนี้เธอยังเรียนอยู่..เธอเพิ่งจะมาฝึกงานที่โรงพยาบาลเอง” อู๋หวนเฟิงพูด
“จะไปคิดมากทำไม..สมัยนี้นักศึกษาก็สามารถแต่งงานกันได้แล้ว” เย่เชียนพูด “ถ้าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีนายก็รีบแต่งงานกันสิ..เดี๋ยวฉันจะต้อนรับน้องสะใภ้อย่างดีด้วยของขวัญชิ้นใหญ่และอั่งเปา”
“ขอบคุณมากครับบอส! ..แต่อั่งเปากับของขวัญน่ะไม่ต้องก็ได้” อู๋หวนเฟิงพูดต่อ “ถ้าบอสมีเวลาผมจะพาเธอไปหานะครับ”
“ได้!” เย่เชียนก็พยักหน้าและพูด เพราะเย่เชียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่าทุกคนจะต้องมีบ้านและมีครอบครั้วที่ดีของตัวเองเพราะสำหรับผู้ชายนั้นไม่เพียงแต่อาชีพการงานเท่านั้นแต่ครอบครัวก็สำคัญมากเช่นกันสำหรับพวกเขาเพราะอย่างน้อยๆ การมีภรรยาที่ดีก็ย่อมดีกว่าอยู่คนเดียวไม่ใช่หรือ?
ตอนเที่ยงพวกเขาก็แวะรับประทานอาหารที่ร้านอาหารและขณะที่รับประทานอาหารเย่เชียนก็ถามว่าหลินโรวโร่วไปไหนในช่วงเวลานี้ ซึ่งซ่งหลันเองก็คอยดูแลหลินโรวโร่วเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของเธอเสมอและซ่งหลันเองก็รู้สึกว่าหลินโรวโร่วเป็นเด็กดีและเป็นผู้หญิงที่ดีคู่ควรกับความรักและการปกป้องของเย่เชียนที่เย่เชียนมอบให้อย่างมาก ดังนั้นสำหรับซ่งหลันแล้วเธอจึงเห็นหลินโรวโร่วเป็นน้องสาวของเธอมาเสมอและคอยดูแลหลินโรวโร่วมาเสมอ
“ก็กองทุนแห่งอนาคตได้รับการสนับสนุนและได้ระดมทุนสนับสนุนเธอจึงรีบไปติดต่อกับผู้สนับสนุนทันทีและเธอก็เพิ่งจะไปเมื่อเช้านี้เอง” ซ่งหลันพูด
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจและเย่เชียนก็ยังรู้สึกขอบคุณพวกเธอ เพราะการที่พวกเธอทำงานหนักมาตลอดตั้งแต่เริ่มนั้นก็เพียงเพื่อมนุษย์ร่วมชาติและช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ
“นายรู้สึกภาคภูมิใจมากเลยเหรอ..ฉันไม่รู้ว่าพวกเราเป็นหนี้นายในชาติที่แล้วหรือเปล่าจนเราต้องมาจ่ายหนี้ในชีวิตนี้แบบนี้” ซ่งหลันเหลือบมองเย่เชียนด้วยหางตาและพูด
ในขณะที่ซ่งหลันพูดจู่ๆ โทรศัพท์มือถือของอู๋หวนเฟิงก็ดังขึ้นและหลังจากที่เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูแล้วจู่ๆ รอยยิ้มที่มีความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอู๋หวนเฟิง แต่ทว่าหลังจากที่รับสายแล้วจู่ๆ การแสดงออกของเขาก็มืดลงในทันทีและคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันอย่างแน่นซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างมาก
.
.
.
.
.
.