ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 383 แฟนของอู๋หวนเฟิง
ตอนที่ 383 แฟนของอู๋หวนเฟิง
“เดี๋ยวฉันจะรีบไปที่นั่น..รอฉันก่อนนะ!” อู๋หวนเฟิงพูดจบและวางสายโทรศัพท์ไปและหลังจากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและซ่งหลันอย่างขอโทษแล้วพูดว่า “บอส..พี่หลัน..ผมมีบางอย่างที่ต้องไปทำ”
“เกิดอะไรขึ้น?” เย่เชียนถาม
“เฉินซีมีปัญหาที่โรงพยาบาล..ผมจะไปหาเธอ” อู๋หวนเฟิงพูด
“เฉินซี?” เย่เชียนก็ผงะไปชั่วขณะและถาม “เด็กสาวมหาวิทยาลัยคนนั้นน่ะเหรอ?”
“ครับ!” อู๋หวนเฟิงพยักหน้าและตอบกลับ
“เอาเถอะฉันอิ่มแล้ว..ฉันจะไปกับนายด้วยฉันเองก็อยากไปเจอน้องสะใภ้ในอนาคตเหมือนกัน” เย่เชียนพูดขณะที่เขายืนขึ้น “พี่หลันพี่ขับรถกลับเองนะ..ผมจะไปกับหวนเฟิง”
“ไปเถอะ!” ซ่งหลันพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากออกจากร้านอาหารแล้วเย่เชียนกับอู๋หวนเฟิงก็โบกรถแท็กซี่และตรงไปที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ “หือ..เธอฝึกงานที่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ” เย่เชียนถามด้วยความประหลาดใจ
“เธอต้องเรียนไปด้วยและทำวิทยานิพนธ์ให้สำเร็จการศึกษาในปีนี้ไปด้วย..ดังนั้นเธอจึงใช้เวลาอยู่ที่มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาล” อู๋หวนเฟิงพูด
“โอ้โห..ดูเหมือนว่าพวกเราพี่น้องเขี้ยวหมาป่าต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจากนายเรื่องนี้เลยนะ..เพราะเวลาที่พวกอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นและต้องได้ดื่มด่ำไปกับความน่ารักของเหล่านางพยาบาลในโรงพยาบาลเหมือนนาย..ในอนาคตนายสามารถจัดตั้งศูนย์แพทย์สำหรับสุภาพสตรีได้เลย” เย่เชียนมองไปที่การแสดงออกที่ค่อนข้างประหม่าของอู๋หวนเฟิงและพูดอย่างติดตลก
“ฮึ่ม!” อู๋หวนเฟิงถอนหายใจเบาๆ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าสติของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะจิตใจของเขานั้นไปอยู่ที่ฉินเฉินซีหมดแล้ว
เย่เชียนก็เข้าใจอารมณ์ของอู๋หวนเฟิงดังนั้นเขาจึงไม่โกรธอู๋หวนเฟิงที่ไม่สนใจเขา ซึ่งเย่เชียนก็ตบบ่าอู๋หวนเฟิงเบาๆ และพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป..ไม่เป็นอะไปหรอก”
หลังจากที่หายใจเข้าลึกๆ และในที่สุดอู๋หวนเฟิงก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงจนเย่เชียนมองเขาด้วยความประหลาดใจและยิ้มเล็กยิ้มน้อยในใจเพราะดูเหมือนว่าอู๋หวนเฟิงจะตกหลุมรักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากมากเพราะอู๋หวนเฟิงนั้นเป็นคนเลือดเย็นจนคนนอกนั้นสามารถรู้สึกได้เลยว่าอู๋หวนเฟิงนั้นเป็นคนเย็นชา อย่างไรก็ตามผู้หญิงคนนั้นคงจะยอดเยี่ยมจริงๆ ที่สามารถทำให้คนอย่างอู๋หวนเฟิงตกหลุมรักได้
หลังจากนั้นไม่นานรถแท๊กซี่ก็มาหยุดที่หน้าประตูทางเข้าของมหาวิทยาลัยการแพทย์และเมื่อมองจากระยะไกลๆ ก็มีกลุ่มเด็กผู้ชายก็ล้อมรอบเด็กหญิงทั้งสองเอาไว้ซึ่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมีรูปลักษณ์ที่สวยงามราวกับนางฟ้าและเมื่อเธอยู่ในชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ก็ยิ่งทำให้เธอดูดีไม่เหมือนใครและดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเป็นแฟนของอู๋หวนเฟิงที่ชื่อฉินเฉินซีใช่หรือไม่? เย่เชียนคิดอย่างลับๆ
ทันทีที่รถแท็กซี่จอดอู๋หวนเฟิงก็แทบอดใจรอไม่ไหวจนเปิดประตูรถและเดินลงไปและรีบเดินไปหาฉินเฉินซีอย่างรวดเร็ว ส่วนเย่เชียนก็หยิบเงินสองร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้คนขับโดยพูดว่า “ไม่ต้องทอน” และเย่เชียนก็ลงจากรถแล้วเดินไปหาฝูงชน ซึ่งคนขับก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัดเพราะค่าโดยสารในครั้งนี้นั้นมันเยอะมากจนเขาคิดว่าวันนี้เขาได้เจอลูกหลานผู้มีอิทธิพลและนักธุรกิจเช่นนั้น
“เธอเป็นอะไรมั้ย?” อู๋หวนเฟิงเดินไปหาฉินเฉินซีและถามอย่างอ่อนโยน ซึ่งถ้าเย่เชียนไม่ได้เห็นมันกับตาและไม่ได้ยินมันกับหูของเขาเองเย่เชียนก็ไม่มีทางเชื่อเลยว่าอู๋หวนเฟิงจะอ่อนโยนกับผู้หญิงได้มากขนาดนี้เพราะที่ผ่านมาอู๋หวนเฟิงแทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนใดเลยและไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงเลยเพราะแม้แต่พี่น้องเขี้ยวหมาป่าเองอู๋หวนเฟิงก็ไม่ค่อยจะมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มมากนักเวลาอยู่กับพวกเขา
“ฉันไม่เป็นอะไร!” ฉินเฉินซียิ้มอย่างมีความสุขและพูด หลังจากนั้นเธอก็มองไปที่เด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าและพูดว่า “อู๋หยางเทียนฉิง..นายเห็นรึยัง..เขาคือแฟนของฉัน..ฉันหวังว่านายจะเลิกยุ่งและไม่มารบกวนฉันอีกนะในอนาคต”
‘อู๋หยางเทียนฉิง?’ เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะผงะไปเมื่อได้ยินชื่อนี้เพราะคนคนนี้อาจจะเป็นน้องชายของอู๋หยางเทียนหมิงใช่หรือไม่? แต่เท่าที่เย่เชียนรู้มาอู๋หยางเฉิงนั้นมีลูกชายเพียงคนเดียวและนั่นก็คืออู๋หยางเทียนหมิง แต่เมื่อเย่เชียนจ้องมองดูใกล้ๆ แล้วเด็กผู้ชายคนนี้ก็ค่อนข้างคล้ายกับอู๋หยางเทียนหมิงจริงๆ หรืออาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของอู๋หยางเทียนหมิงกันแน่?
หลังจากที่ตระหนักถึงเรื่องนี้เย่เชียนก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันก็เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งการคาดเดาของเย่เชียนนั้นก็ถูกต้องจริงๆ เพราะอู๋หยางเทียนฉิงนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของอู๋หยางเทียนหมิงจริงๆ เพราะอู๋หยางเทียนฉิงเป็นลูกของน้องชายของอู๋หยางเฉิงและนับตั้งแต่การเสียชีวิตของอู๋หยางเทียนหมิงนั้นอู๋หยางเฉิงก็ได้รับอู๋หยางเทียนฉิงเป็นบุตรชายของเขา แต่สิ่งที่ทำให้อู๋หยางเฉิงพอใจก็คืออู๋หยางเทียนฉิงนั้นทำตัวดีกว่าอู๋หยางเทียนหมิงมากและอู๋หยางเทียนฉิงเองก็ดูแลอู๋หยางเฉิงเหมือนพ่อผู้ให้กำเนิดของเขาจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นอู๋หยางเทียนฉิงก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวข้างนอกและมั่วผู้หญิงเหมือนอู๋หยางเทียนหมิงเพราะเขายังเป็นนักศึกษาที่มีความสำเร็จสูงในมหาวิทยาลัยการแพทย์อีกด้วย
ที่จริงแล้วนับตั้งแต่ที่อู๋หยางเฉิงรับเลี้ยงบุตรชายของเขามาอู๋หยางเทียนหมิงนั้นอาจพูดได้ว่าเขามักจะทำสิ่งมี่เลวร้ายเสมอและเขาก็เกือบจะเป็นทรราชของสังคมเพราะไม่รู้ว่ามีผู้หญิงดีๆ ตั้งกี่คนที่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของอู๋หยางเทียนหมิง และหลายคนก็อดทนต่อความร้าวฉานที่อู๋หยางเทียนหมิงสร้างเอาไว้ไม่ได้เพราะภูมิหลังครอบครัวของอู๋หยางเทียนหมิงนั้นเป็นทั้งนักธุรกิจและนักการเมืองที่มีเงินอยู่ในมืออย่างล้นหลามและสามารถใช้พ่อแม่มาเป็นข้ออ้างได้เสมอและใช้อำนาจในทางที่ผิดเสมอมา
พ่อแม่ของฉินเฉินซีนั้นเป็นคนที่ทำงานธรรมดาๆ ในมหาวิทยาลัยดังนั้นฉินเฉินซีจึงเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความสำคัญต่อสายตาคนอื่นๆ มากนักเพราะถึงแม้ว่าเธอจะมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีก็ตามแต่เพราะเธอไม่เปิดเผยในที่สาธารณะเธอจึงไม่ได้โด่งดังเท่าเด็กสาวจากครอบครัวไฮโซชนชั้นสูงคนอื่นๆ ที่แต่งตัวและอวดรวยไปวันๆ ถ้าหากถามว่าฉินเฉินซีนั้นถูกอู๋หยางเทียนฉิงสนใจได้อย่างไรก็เป็นเพราะว่าวันหนึ่งที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยฉินเฉินซีเดินชนอู๋หยางเทียนฉิงและตั้งแต่วันนั้นมาอู๋หยางเทียนฉิงก็คอยตามจีบและตามก่อกวนฉินเฉินซีมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามถึงยังไงอู๋หยางเทียนฉิงก็ไม่ได้ใช้วิธีการใดๆ ที่น่ารังเกียจเพราะในมุมมองของอู๋หยางเทียนฉิงแล้วเขาจะใช้แผนการที่เลวร้ายพวกนั้นเมื่อเขาไม่มีวิธีอื่นริงๆ
แต่หลังจากไล่ตามจีบมาเป็นเวลานานความพยายามทั้งหมดมันก็ยังไร้ประโยชน์จริงๆ เพราะฉินเฉินซีนั้นไม่สนใจเขาเลยซึ่งมันทำให้ความมั่นใจในตัวเองของอู๋หยางเทียนฉิงนั้นหมดลงและวันนี้เขาก็พาเพื่อนๆ มาล้อมรอบฉินเฉินซีที่หน้าประตูเพื่อบังคับให้เธอยอมจำนน แต่ใครจะรู้ว่าฉินเฉินซีนั้นมีแฟนแล้ว ซึ่งอู๋หยางเทียนฉิงนั้นก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครดีไปกว่าตัวเองได้ ซึ่งการที่ฉินเฉินซีไปมองคนอื่นนั้นมันก็เหมือนกับการดูถูกตัวเขาเองอย่างยิ่ง
ฉินเฉินซีก็รู้สึกหงุดหงิดไปกับอู๋หยางเทียนฉิงมากและเมื่อเห็นการกระทำของอู๋หยางเทียนฉิงในวันนี้และถ้าเธอไม่โทรหาอู๋หวนเฟิงล่ะก็เธอก็กลัวว่ามันคงจะไม่ง่ายเลยที่เธอจะหลุดพ้นไปจากตรงนี้ ในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนี้แต่ถึงยังไงฉินเฉินซีก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้กับอู๋หวนเฟิงเลย เพราะเธอไม่ต้องการให้อู๋หวนเฟิงมาลำบากเพราะเรื่องแบบนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องของวันนี้ถ้าเธอไม่โทรเรียกอู๋หวนเฟิงมาล่ะก็เรื่องต่างๆ ก็คงจะไม่จบลงเป็นแน่
อู๋หยางเทียนฉิงก็จ้องมองไปที่อู๋หวนเฟิงอย่างดูถูกเหยียดหยามและหัวเราะเสียงดังแล้วพูดว่า “นี่แฟนของเธอเหรอ..เธอล้อเล่นฉันเหรอเนี่ย..เฮ้พวก..นายเป็นบุตรของเทพเจ้าที่มีแขนเพียงข้างเดียวเป็นอาวุธน่ะเหรอ?”
อู๋หวนเฟิงก็จ้องมองอู๋หยางเทียนฉิงจากหัวจรดเท้าและพูดว่า “นายอยากตายขนาดนั้นเลยเหรอ?” อู๋หวนเฟิงจ้องมองไปที่ร่างของอู๋หยางเทียนฉิงด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกจนอู๋หยางเทียนฉิงสั่นไปทั้งตัว
หลังจากหยุดไปชั่วขณะอู๋หยางเทียนฉิงก็ฟื้นคืนสติมาและยิ้มอย่างเหยียดหยามพร้อมกับพูดว่า “แกเนี่ยนะ? ..แกเชื่อมั้ยว่าฉันสามารถบีบแกให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียว?”
“ปากเก่งจริงๆ!” เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและเดินไปที่ฝั่งตรงข้ามของอู๋หยางเทียนฉิงและเหลือบมองไปที่อู๋หยางเทียนฉิงและพูดว่า “อู๋หยางเทียนหมิงเป็นพี่ของแกเหรอ? ”
อู๋หยางเทียนฉิงก็ถึงกับผงะไปและถามด้วยความประหลาดใจว่า “แกรู้ได้ยังไง?”
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและดูเหมือนว่าเขาจะเดาถูกจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยักคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “ขนาดคนเป็นพี่ยังตายได้..นับประสาอะไรกับน้องชายล่ะ!”
อู๋หยางเทียนฉิงถึงกับสั่นไปทั้งตัวและจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจและถามว่า “แก..แกหมายถึงแกเป็นคนฆ่าอู๋หยางเทียนหมิงงั้นเหรอ?”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มอย่างคลุมเครือและพูดว่า “ก็ลองกลับไปถามอู๋หยางเฉิงดูสิ..เขารู้ดี..และก็จำเอาไว้ด้วยว่าสองคนนี้เป็นน้องชายและน้องสาวของฉัน..ถ้าแกกล้ามายุ่งวุ่นวายกับพวกเขาอีกฉันจะปล่อยแกไปแน่..ฉันจะส่งแกไปพบเจ้าแห่งยมโลกและแกก็จะได้ไปอยู่กับพี่ชายของแก!” ประโยคสุดท้ายเย่เชียนตะโกนอย่างรุนแรงจนอู๋หยางเทียนฉิงสั่นไปทั้งตัว
อู๋หยางเทียนฉิงเองก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกันเพราะความหมายของเย่เชียนนั้นชัดเจนมากว่าเขาเป็นคนลงมือฆ่าอู๋หยางเทียนหมิงและยิ่งไปกว่านั้นมันก็ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใดเพราะแม้แต่อู๋หยางเฉิงก็รู้เรื่องนี้แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งอู๋หยางเทียนฉิงพึ่งพาอำนาจและอิทธิพลของอู๋หยางเฉิงมาตลอดแต่ทว่าในตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าแม้แต่อู๋หยางเฉิงก็ยังต้องหวั่นเกรงเย่เชียนและเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจะไปทำให้เย่เชียนขุ่นเคืองได้อย่างไร? หลังจากที่ฟังคำพูดของเย่เชียนแล้วอู๋หยางเทียนฉิงก็รีบหนีไปโดยไม่กล้าอยู่ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียวและเหล่าเพื่อนของเขาเมื่อเห็นอู๋หยางเทียนฉิงวิ่งหนีไปพวกเขาจึงรีบวิ่งหนีตามไปทันที
เมื่อเห็นอู๋หยางเทียนฉิงหนีไปแล้วอู๋หวนเฟิงก็พูดกับฉินเฉินซีว่า “เอาล่ะเฉินซี..ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันไปก่อนนะ”
“ได้..เอาไว้เจอกันเย็นนี้นะ” ฉินเฉินซีพูด
“ฉันไม่คิดว่าเย็นนี้เธอจะว่างหรอกนะ” เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ตะโกนออกมาขณะที่เธอวิ่งไปจนฉินเฉินซีตกตะลึงและเขินอายอย่างมาก
“เฉินซี..ให้ฉันแนะนำนะ..นี่คือพี่ใหญ่ของฉันเย่เชียน!” อู๋หวนเฟิงชี้ไปที่เย่เชียนและพูดกับฉินเฉินซี
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เอ่อ..ฉันไม่ใช่นักเลงหรืออันธพาลหรอกนะ..หวงเฟิงชอบเรียกฉันแบบนั้นเฉยๆ น่ะ..เธอคือเฉินซีหรอ..ฮ่าๆ ..ฉันเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศและได้ยินว่าหวนเฟิงกำลังมีความรัก..ฉันก็เลยอดใจรอไม่ไหวที่จะได้เจอน้องสะใภ้ในอนาคต..และพอฉันได้เห็นแล้วเธอนี่เหมือนนางฟ้าบนดินชัดๆ ..ฉันไม่คิดเลยว่าหวนเฟิงจะชอบเด็กมหาวิทยาลัยแบบนี้ฮ่าๆ”
เย่เชียนนั้นควรจะถูกมองว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ของอู๋หวนเฟิงและนี่ก็ถือเป็นการพบผู้หลักผู้ใหญ่เช่นกัน ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการให้บรรยากาศดูเข้มงวดและตึงเครียดมากเกินไปเหมือนที่เย่เชียนพบกับผู้หลักผู้ใหญ่ของหลินโรวโร่ว ดังนั้นเขาจึงพูดติดตลกเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กสาวหวาดกลัวและประหม่าจนเกินไป
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเย่เชียนนั้นจะกังวลมากไปเองเพราะเห็นได้ชัดเลยว่าฉินเฉินซีกำลังยิ้มอย่างสบายใจและพูดว่า “ฉันมักจะได้ยินหวนเฟิงพูดถึงพี่ใหญ่บ่อยๆ น่ะ..พอฉันได้เจอพี่ใหญ่ในวันนี้แล้วฉันก็คิดว่าพี่ใหญ่ดูยอดเยี่ยมมากกว่าที่หวนเฟิงพูดอีก”
.
.
.
.
.
.
.