ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 384 โชคชะตา
ตอนที่ 384 โชคชะตา
เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงเล็กน้อยเพราะดูเหมือนว่าเด็กผู้หญิงคนนี้นั้นไม่ง่ายเลยเพราะอย่างน้อยๆ เธอก็พูดเก่งมาก ซึ่งเย่เชียนเองก็เชื่อเลยว่าเธอจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีและคอยช่วยเหลืออู๋หวนเฟิงได้ในอนาคตและเป็นภรรยาที่ใจดีอย่างมาก
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “ฉันรู้จักหวนเฟิงมาหลายปีแล้ว..ฉันไม่เคยเห็นเขาเป็นห่วงผู้หญิงคนไหนขนาดนี้เลย..หวนเฟิงน่ะเป็นคนดีเขาต้องเสียแขนไปก็เพราะฉันเอง..ฉันรู้สึกเสียใจกับเขามาตลอดและหลายปีที่ผ่านมาเขาก็คอยช่วยเหลือฉันอยู่อย่างเงียบๆ เสมอมา..เขาไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย..ฉันมีความสุขมากที่ได้เห็นเขามีความสุขในตอนนี้..ฉันหวังว่าเธอจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปนะ.
“บอส!” อู๋หวนเฟิงถึงกับสำลักคำพูดออกมาอย่างตื้นตัน เพราะทั้งอู๋หวนเฟิงและเย่เชียนนั้นต่างก็เป็นคนที่แสดงความรู้สึกไม่ค่อยเก่งโดยเฉพาะความรู้สึกระหว่างพี่น้องนั้นเมื่อคิดว่าทั้งคู่คือผู้ชายและเป็นพี่น้องที่ผ่านความตายด้วยกันมาแล้วพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมายและเย่เชียนเองก็ไม่เคยพูดแบบนี้กับอู๋หวนเฟิงเลย ซึ่งบางครั้งอารมณ์ของผู้ชายนั้นก็ยอดเยี่ยมอย่างหายากยิ่งจริงๆ
หลังจากได้ยินคำพูดของเย่เชียนแล้วอู๋หวนเฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและตบไหล่ของอู๋หวนเฟิงเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก
“อ่า..ในเมื่อคุณเป็นพี่ใหญ่ของหวนเฟิง..งั้นฉันก็จะเรียกคุณว่าพี่ใหญ่เหมือนกันนะ” ฉินเฉินซีพูด “พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวลไป..ฉันจะรักหวนเฟิงตลอดไปและจะไม่มีวันทอดทิ้งเขา..เขาคือคนที่คู่ควรกับฉัน”
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ ซึ่งจากมุมมองของฉินเฉินซีนั้นเย่เชียนสามารถเห็นได้ว่าเธอจริงใจโดยไม่คำนึงถึงอนาคตเพราะงั้นอย่างน้อยๆ ฉินเฉินซีในตอนนี้ก็ขอบคุณในความไว้ใจของเย่เชียนและจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง แต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตได้อยู่ดี “เราพบกันครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการแบบนี้ฉันก็ไม่ได้เตรียมอะไรเอาไว้ให้เลย..ถ้างั้นเธอก็รับบัตรเครดิตใบนี้เอาไว้ก็แล้วกัน” เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและหยิบบัตรธนาคารออกมาจากกระเป๋าเงินของเขาและยื่นให้โดยพูดว่า “รหัสผ่านคือ123456!”
ฉินเฉินซีถึงกับตกตะลึงเพราะเธอไม่เคยเห็นใครที่ให้บัตรเครดิตเป็นของขวัญมาก่อนเลย ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าในบัตรนี้ต้องมีเงินมากกว่าสองสามพันหยวนในนั้น ไม่เช่นนั้นมันคงจะไม่ใช่บัตรเครดิตเป็นแน่ “ไม่ค่ะ…พี่ใหญ่..ฉันไม่สามารถรับมันเอาไว้ได้!” ฉินเฉินซีพูดอย่างรีบร้อน
“พี่ใหญ่ให้แล้วเธอก็รับเอาไว้เถอะ..มันจะเสียมารยาทเอานะ” อู๋หวนเฟิงพูดติดตลกเล็กน้อย
เย่เชียนก็ตกตะลึงเล็กน้อยเพราะในที่สุดเด็กคนนี้ก็สามารถพูดคำที่มีไหวพริบติดตลกเช่นนี้ออกมาได้แล้ว “ใช่ๆ ..รับมันเอาไว้เถอะ..ไม่งั้นฉันคงเสียใจแย่!” เย่เชียนพูด
“ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่!” ฉินเฉินซีหยิบบัตรเครดิตมาและพูด ซึ่งหลังจากนั้นฉินเฉินซีก็ได้ไปที่ธนาคารเพื่อตรวจสอบและเธอก็ถึงกับตกใจเพราะในบัตรนั้นมันมีเงินอยู่ใบบัญชีถึงหนึ่งล้านหยวนจนเธอคิดว่านี่เย่เชียนรวยถึงขนาดนี้เลยงั้ยหรือ? มันเป็นเพียงแค่การพบปะกันง่ายๆ แต่กลับกลายเป็นเงินหนึ่งล้านหยวน ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและต่อให้เธอไปหางานทำดีๆ แต่เธอก็คงจะได้ไม่ถึงหนึ่งหมื่นหยวนต่อเดือนหรอกใช่ไหม? ซึ่งเงินหนึ่งล้านหยวนนี้ปกติแล้วควรใช้เวลาแปดหรือเก้าปีโดยประหยัดอย่างยิ่ง
เย่เชียนนั้นเคยพบเจอเรื่องแบบนี้มาเยอะแล้วเพราะเรื่องแบบนี้หลีเหว่ยก็มักสมัครบัตรเครดิตเอาไว้จำนวนมากเวลาไล่จีบผู้หญิงและหลีเหว่ยก็มักจะนัดหญิงสาวคนนั้นเพื่อดินเนอร์ในตอนกลางคืนและหลังจากนั้นก็ไปที่โรงแรมเพื่อเปิดห้องกันและท้ายที่สุดก็มอบบัตรเครดิตเช่นนี้ให้กับพวกเธอ
เย่เชียนก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลเพราะในเมื่อเขาได้พบกับฉินเฉินซีแล้วทำไมเขาถึงต้องอยู่ที่นี่ต่อเพื่อเป็นก้างขวางคือของพวกเขากันล่ะ เมื่อคิดเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มและทักทายอู๋หวนเฟิงและเดินจากไปทันที
เย่เชียนก็ออกจากมหาวิทยาลัยการแพทย์และโบกรถแท็กซี่ไปที่บ้านของซ่งหลัน เนื่องจากเย่เชียนเพิ่งจะลงมาจากเครื่องบินเขาจึงยังไม่ได้พักผ่อนเลยจนตอนนี้เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าอย่างมาก
หลังจากที่รถแท๊กซี่ออกจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ได้ไม่นานทันใดนั้นเย่เชียนก็เหลือบมองไปเห็นหลินโรวโร่วที่ยืนอยู่ตรงนั้นและต่อหน้าเธอก็มีชายชราหัวโล้นพร้อมกับดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความหลงใหลและเขาก็พูดอะไรบางอย่างกับหลินโรวโร่วด้วยรอยยิ้มที่ประจบประแจง
เมื่อรถแท็กซี่ผ่านมาถึงหน้าสโมสรเจิดจรัสแล้วเย่เชียนก็ตะโกนอย่างเร่งรีบว่า “จอดก่อน!” จนคนขับรีบเหยียบเบรคอย่างกะทันหันและเย่เชียนก็ยื่นเงินให้เขาหนึ่งร้อยหยวนและออกจากรถไป ซึ่งในขณะนี้สีหน้าของหลินโรวโร่วดูเบื่อหน่ายอย่างมากแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ซึ่งเย่เชียนนั้นนึกขึ้นได้ว่าหลินโรวโร่วไปพบผู้สนับสนุนกองทุนและชายชราหัวโล้นคนนี้เป็นผู้สนับสนุนหรือไม่ อย่างไรก็ตามเย่เชียนคิดว่าชายชราหัวโล้นที่น่าสมเพชคนนี้นั้นไม่ใช่คนดีเพราะด้วยรูปลักษณ์ที่เจ้าเล่ห์นั้นเห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ได้ต้องการจะบริจาคแต่เขาต้องการใช้เงินบริจาคเพื่อใกล้ชิดและล่อลวงหลินโรวโร่ว
เมื่อเย่เชียนเดินไปถึงด้านข้างของหลินโรวโร่วเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “มันบังเอิญมากเลย..ที่ได้เจอเธอแบบนี้..มันคงเป็นโชคชะตาสินะ”
ก่อนที่หลินโรวโร่วจะได้พูดจู่ๆ ชายชราหัวโล้นผู้น่าสมเพชที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดอย่างหยิ่งผยองว่า “แกเป็นใคร..มายุ่งวุ่นวายอะไรที่นี่? ”
ปากของเย่เชียนก็ฉีกยิ้มอย่างชั่วร้ายและเขาก็กอดหลินโรวโร่วและพูดว่า “ผมเป็นแฟนของเธอ..คุณจะทำไม?”
หลินโรวโร่วก็มองเย่เชียนด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเธอและฝังศีรษะของเธอไว้ในอ้อมแขนของเย่เชียนอย่างเป็นธรรมชาติแล้วพูดว่า “ประธานเฟิง..ฉันขอแนะนำคุณให้รู้จักนี่คือแฟนของฉันเย่เชียนค่ะ!” จากนั้นเธอก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “เย่เชียน..นี่คือเฟิงกั๋วฟู่ประธานบริษัทกั๋วซินกรุ๊ป!”
เฟิงกั๋วฟู่เหลือบมองไปที่เย่เชียนด้วยใบหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามเพราะในความคิดของเขานั้นเย่เชียนไม่ใช่ลูกหลานเศรษฐีที่ร่ำรวยแล้วเขาจะคว้าผู้หญิงอย่างหลินโรวโร่วไปได้อย่างไร ดังนั้นทัศนคติที่เฟิงกั๋วฟู่มีต่อเย่เชียนจึงเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูกรวมไปถึงการเหยียดหยามและเกลียดชัง
รอยยิ้มที่ชั่วร้ายก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเย่เชียนอีกครั้งและเย่เชียนก็ยื่นมือออกไปและพูดว่า “อ้าวคุณเฟิงเองหรอ..ผมชื่นชมชื่อเสียงเรียงนามของคุณมานานแล้ว..ผมไม่คิดเลยว่าผมจะโชคดีพอที่ได้พบเจอกับผู้ที่น่าเคารพแบบนี้”
ถึงแม้ว่าเฟิงกั๋วฟู่จะดูถูกเย่เชียนก็ตามและไม่ว่าเย่เชียนจะแสร้งเยินยอตังเองต่อหน้าหลินโรวโร่วมากแค่ไหนก็ตาม แต่การที่เย่เชียนพูดเช่นนี้เขาก็พึงพอใจและภาคภูมิใจอย่างมากจนเขายื่นมือออกไปอย่างสุภาพและจับเย่เชียนอย่างเป็นธรรมชาติและมีเสียง “อืม” เบาๆ ราวกับว่าเขาไม่ต้องการเสวนากับเย่เชียนมากเกินไป
เขาจะแย่งผู้หญิงจากมือของคนอื่นได้ยังไง? ซึ่งจากประสบการณ์หลายปีของเฟิงกั๋วฟู่นั้นเขามักจะทำให้ผู้ชายอับอายต่อหน้าแฟนสาวและทำให้เขาร้าวฉานและหดหู่อย่างรุนแรงเพราะมันไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่รักเงินนั่นก็เพราะว่าต่อหน้าของเงินและยศถาบรรดาศักดิ์แล้วทุกอย่างก็เบาบางเหมือนก้อนเมฆ
อย่างไรก็ตามเขากลับมองข้ามจุดสำคัญไปเพราะผู้ชายคนนี้คือเย่เชียนที่เป็นคนที่น่าสมเพชและเจ้าเล่ห์มากกว่าเขาหลายเท่านั่นเอง ซึ่งเมื่อเฟิงกั๋วฟู่ต้องการถอนการจับมือออกเขาก็พบว่าเย่เชียนกำลังบีบมันไว้แน่นและไม่สามารถขยับได้เลย และยิ่งกว่านั้นฝ่ามือของเย่เชียนก็เหมือนห่วงเหล็กที่รัดแน่นและแน่นขึ้นไปอีกจนความรู้สึกที่เจ็บปวดก็ค่อยๆ แพร่กระจายจากฝ่ามือไปยังเส้นประสาทส่วนกลางของสมองของเขาและในทันใดนั้นใบหน้าของเฟิงกั๋วฟู่ก็มืดมนลงจนน่าเกลียดมาก แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะกรีดร้องเขาเพียงตกตะลึงและเหงื่อออกอย่างไม่หยุดไม่หย่อน
หลินโรวโร่วหญิงสาวผู้ปราชเปรื่องจะมองไม่เห็นสิ่งนี้ได้อย่างไรซึ่งเธอเพียงยิ้มเล็กยิ้มน้อยและหันไปมองไปที่เย่เชียน เพราะไม่ว่าในกรณีใดถึงยังไงเฟิงกั๋วฟู่ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของเธอและในตอนนี้ถึงแม้ว่าหลินโรวโร่วจะรู้ว่าชายชราคนนี้เจ้าเล่ห์และน่ารังเกียจแค่ไหนก็ตามแต่เธอก็สามารถเพิกเฉยได้ถ้าหากว่าเฟิงกั๋วฟู่บริจาคเงินจำนวนมากให้กับกองทุน ซึ่งด้วยเหตุผลนี้ก็ไม่ควรที่จะทำให้เฟิงกั๋วฟู่ขุ่นเคืองจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นหลินโรวโร่วเองก็ยังรู้ดีว่าเฟิงกั๋วฟู่เป็นคนที่มีอิทธิพลและถ้าหากเย่เชียนไปทำให้เขาเสียหน้าล่ะก็เขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้แค้นเย่เชียน และถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่กลัวก็ตามแต่หลินโรวโร่วก็ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้เย่เชียนมากนักโดยไม่มีเหตุผลใดๆ เช่นนี้
เมื่อเห็นแววตาของหลินโรวโร่วแล้วเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและปล่อยมือแล้วพูดว่า “คุณเฟิง..ไหนๆ เราก็พบกันแล้วทำไมเราไม่ไปกินมื้อเที่ยงกันหน่อยล่ะครับ..ผมได้ยินมาว่ามีเชฟชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมงานด้วย..มีอาหารทุกประเภท และผมก็อยากกินมานานแล้วด้วย..ถ้าพลาดก็น่าเสียดายนะ..ฮ่าๆ!” เย่เชียนนั้นเสแสร้งยิ้มอย่างเป็นมิตรแต่สำหรับเฟิงกั๋วฟู่นั้นเขาเข้าใจความหมายในรอยยิ้มของเย่เชียนอย่างชัดเจน
เฟิงกั๋วฟู่ก็พูดด้วยความโกรธเกรี้ยวเพราะเขาเกลียดเย่เชียนอย่างมากและเพื่อแย่งชิงหลินโรวโร่วมาเฟิงกั๋วฟู่ก็ต้องการใช้โอกาสนี้ในการทำให้เย่เชียนอับอายเพื่อให้หลินโรวโร่วได้เห็นชัดว่าใครร่ำรวยและใครที่คู่ควรกับเธอกันแน่
มีคนจำนวนมากในโลกใบนี้ที่คิดว่าถ้าพวกเขามีเงินพวกเขาก็สามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่ถ้าหากหลินโรวโร่วโลภในเงินตราล่ะก็เธอก็คงจะไม่เลือกเย่เชียนที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
เฟิงกั๋วฟู่นั้นไม่รู้เลยว่าเย่เชียนกำลังคิดหากลเม็ดที่จะจัดการกับตัวเองอยู่ อย่างไรก็ตามหลินโรวโร่วก็ไม่ได้โกรธเย่เชียนเลยเธอกลับมีความสุขมากกว่าเพราะท้ายที่สุดแล้วความหึงหวงของเย่เชียนก็แสดงให้เห็นว่าเขายังคงห่วงใยและรักตัวเองอยู่เช่นนี้
ผู้ชายทุกคนนั้นมีความปรารถนาที่จะครอบครองและหวังเพียงให้ผู้หญิงเป็นของตัวเองเสมอ ซึ่งเมื่อเย่เชียนเห็นเธอคุยกับผู้ชายคนอื่นเย่เชียนก็จะหึงเป็นธรรมดาอยู่แล้วและแน่นอนความเป็นเจ้าของเป็นสิ่งหนึ่งแต่ความเข้าใจและความไว้วางใจนั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ความอิจฉาเพราะความรักความเข้าใจและความไว้วางใจนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของความรักเช่นกัน ซึ่งความแตกต่างก็คือผู้ชายบางคนจะไม่เชื่อในตัวแฟนสาวและไม่เชื่อมั่นในตัวเองผู้ชายคนอื่นๆ ซึ่งบางครั้งความหึงหวงก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
แต่ทว่าเย่เชียนก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลหรือหึงหวงจนเกินไปเพราะไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ปล่อยให้หลินโรวโร่วเป็นผู้ดูแลกองทุนแห่งอนาคตอย่างแน่นอน
.
.
.
.
.
.
.