ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 400 แก่และแกร่ง
ตอนที่ 400 แก่และแกร่ง
หมินเว่ยเหวินนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินราคาโบราณวัตถุที่มีชื่อเสียงในประเทศจีนและในปัจจุบันเขาก็ยังเป็นศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยและมีชื่อเสียงอย่างสูงในประเทศจีน ซึ่งเหล่านักศึกษาด้านประวัติศาสตร์หลายคนก็ภูมิใจที่ได้เล่าเรียนกับหมินเว่ยเหวินและในฐานะศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนั้นหมินเว่ยเหวินก็ได้สอนนักเรียนและนักศึกษามามากมายหลายคนและใบปัจจุบันเขาก็เป็นผู้นำด้านประวัติศาสตร์จีนอย่างแท้จริง
นักศึกษาวิชาประวัติศาสตร์มักถูกนักศึกษาสาขาวิชาอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยเรียกว่าพวกคนบ้า ซึ่งเย่เชียนก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนที่ศึกษาด้านประวัติศาสตร์นั้นพวกเขาคิดจะไปทำอะไรหรือไปค้นหาอะไรและทำไปเพื่ออะไรแต่ถึงยังไงก็ยังมีคนที่ศึกษาด้านประวัติศาสตร์อยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นตำนานเรื่องเรือนหอสีชาดที่มีนักศึกษาด้านประวัติศาสตร์หลายคนคอยศึกษาเกี่ยวกับมัน
บางทีเย่เชียนอาจจะไม่เข้าใจจริงๆ เพราะตำนานเรื่องเรือนหอสีชาดนั้นก็น่าศึกษาและบางทีนักประวัติศาสตร์เหล่านั้นก็อาจจะได้รู้อะไรมากมายจากมัน
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้สำคัญสำหรับเย่เชียนเพราะสิ่งที่สำคัญคือตำแหน่งปัจจุบันของหมินเว่ยเหวิน ซึ่งเมื่อเย่เชียนกำลังจะเดินขึ้นไปจู่ๆ เขาก็เหลือบมองไปเห็นอู๋หยางเทียนฉิงเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับถือของขวัญมากมายและกำลังดูเขินอายอย่างมาก ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะได้พบกับอู๋หยางเทียนฉิงที่นี่ อาจเป็นไปได้ไหมที่เด็กคนนี้มาเพื่อมอบของขวัญให้กับหมินเว่ยเหวินเพื่ออะไรบางอย่าง?
เย่เชียนนั้นไม่รู้จริงๆ แต่ดูเหมือนว่าอู๋หยางเทียนฉิงนั้นจะเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่สำหรับเพลย์บอยอย่างเขาก็ไม่ควรที่จะมาทำอะไรเช่นนี้เพราะไม่ว่าเขาจะอยู่ในแวดวงธุรกิจหรือการเมืองนั้นถึงยังไงเขาก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอ
เมื่อเห็นหน้าเย่เชียนแล้วอู๋หยางเทียนฉิงก็ถึงกับตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งหลังจากที่ได้พบกับเย่เชียนที่ประตูมหาวิทยาลัยเมื่อวานนี้อู๋หยางเทียนฉิงก็ได้ไปถามอู๋หยางเฉิงหลังจากกลับบ้านไปแล้วและเมื่อพิจารณาผ่านการแสดงออกของอู๋หยางเฉิงแล้วเขาก็สามารถเข้าใจได้เลยว่าสิ่งที่เย่เชียนพูดเมื่อวานนี้มันเป็นความจริงเพราะคนที่ฆ่าอู๋หยางเทียนหมิงนั้นคือเย่เชียนคนนี้เอง
อย่างไรก็ตามอู๋หยางเทียนฉิงก็ไม่ได้กลัวเย่เชียนเหมือนเมื่อวานอีกต่อไปแล้วเพราะอู๋หยางเฉิงพ่อของเขามีบอดี้การ์ดและปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้อยู่หลายคนและเขาเองก็ได้เห็นทักษะของปรมาจารย์เหล่านั้นด้วยตาของเขาเองแล้วและพ่อของเขาได้ประกาศกร้าวอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาจะแก้แค้นเย่เชียน ดังนั้นตอนนี้เย่เชียนในสายตาของเขาก็เป็นเพียงแค่คนที่กำลังจะตายเท่านั้น
สำหรับอู๋หยางเทียนฉิงนั้นเย่เชียนก็ไม่ได้มีความขุ่นเคืองใดๆ และอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นภัยต่อเขาดังนั้นแน่นอนว่าเย่เชียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกำจัดเขาเพราะมันเป็นหน้าที่ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติที่จะจัดการกับอู๋หยางเฉิงและไม่จำเป็นต้องจัดการกับอู๋หยางเฉิงโดยใช้อู๋หยางเทียนฉิงเลยแม้แต่น้อย
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “เป็นอะไรไป..ดูเหมือนว่าจะมีคนไม่ชอบของขวัญของแกนะ”
“อย่ามายุ่ง! ..ไม่ใช่เรื่องของแก” อู๋หยางเทียนฉิงรู้สึกหดหู่อย่างมากเพราะเขาไม่ได้มาหาหมินเว่ยเหวินเพื่อติดสินบนในการผ่านวิชาฝึกงานแต่เขาแค่เอาของเก่ามาและต้องการให้หมินเว่ยเหวินประเมินราคาเพราะนี่คือของของอู๋หยางเฉิงเพราะเขาต้องการมอบโบราณวัตถุนี้ให้มอบให้กับชาวญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นจะถูกจัดการโดยแผนการของเย่เชียนเช่นนี้
ในความเป็นจริงอู๋หยางเทียนฉิงจะนำของเก่าเหล่านี้ไปขายและหลังจากนั้นเขาก็จะโกหกอู๋หยางเฉิงว่ามันเป็นของปลอมดังนั้นเขาจึงโยนมันทิ้งไป อย่างไรก็ตามอู๋หยางเทียนฉิงนั้นก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าหมินเว่ยเหวินจะเป็นคนแก่และดื้อรั้นขนาดนี้เพราะก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่เขาเอ่ยชื่อของอู๋หยางเฉิงแล้วเขาก็ถูกหมินเว่ยเหวินขับไล่ออกมาจึงทำให้เขารู้สึกหดหู่อย่างมาก
“ตาแก่ตายยากคนนี้หัวรั้นเกินไป..ฉันไม่แนะนำให้แกเข้าไปตอนนี้หรอก” อู๋หยางเทียนฉิงพูด
หมินเว่ยเหวินอาจจะไม่มีตำแหน่งทางการใดๆ และไม่ได้เป็นข้าราชการแต่อย่างใดแต่เพราะชื่อเสียงของเขานั้นจึงทำให้มีคนใหญ่คนโตหลายคนที่เพ่งเล็งเขา และแน่นอนว่าหมินเว่ยเหวินนั้นจะไม่เกรงกลัวอู๋หยางเฉิงอยู่แล้วและในสายตาของเขานั้นอู๋หยางเทียนฉิงก็เป็นลูกบุญธรรมของอู๋หยางเฉิงดังนั้นหมินเว่ยเหวินจึงขับไล่อู๋หยางเทียนฉิงออกมาอย่างไม่แยแส
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “นั่นมันแก! ..เขาไม่ไล่ฉันออกมาหรอก..ถ้าแกไม่เชื่อฉันก็รอดูสิว่าฉันจะถูกไล่ออกมาหรือเปล่า”
“เอาสิ..ฉันจะรอดูว่าแกทำอะไรได้บ้าง” อู๋หยางเทียนฉิงพูดและวางของในมือลงและยืนมองอยู่ตรงนั้น ในความคิดของอู๋หยางเทียนฉิงนั้นเย่เชียนจะต้องโดนขับไล่เหมือนกับตัวเขาเองอย่างแน่นอนเพราะเขานั้นได้ทำให้หมินเว่ยเหวินโกรธเกรี้ยวไปแล้วและเย่เชียนก็โผล่มาอีกคนดังนั้นหมินเว่ยเหวินก็จะต้องไม่สบอารมณ์จนโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิมและหลังจากนั้นเขาก็จะสามารถหัวเราะเยาะเย่เชียนได้อย่างสง่าผ่าเผย ซึ่งตอนนี้เหล่าปรมาจารย์ของอู๋หยางเฉิงก็เตรียมพร้อมกันแล้วดังนั้นอู๋หยางเทียนฉิงจึงไม่กลัวเย่เชียนอีกต่อไป
เย่เชียนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับอู๋หยางเทียนฉิงมากเขาเพียงแค่ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจมากจากนั้นก็เดินเข้าไปและหลังจากกดกริ่งที่ประตูแล้วไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออกโดผู้หญิงวัยกลางคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเย่เชียนซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนรับใช้ในบ้านของหมินเว่ยเหวิน อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าคนรับใช้คนนี้นั้นแต่งตัวเซ็กซี่และวาบหวิวเกินไป เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยเพราะหลังจากได้อ่านข้อมูลของหมินเว่ยเหวินแล้วเย่เชียนก็มั่นใจได้โดยธรรมชาติว่าสถานการณ์มันเป็นอย่างไรกันแน่
“คุณหมินเว่ยเหวินอยู่บ้านหรือเปล่าครับ” เย่เชียนถามอย่างสุภาพ
ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะพูดจู่ๆ ก็เสียงที่ไม่สบอารมณ์ของหมินเว่ยเหวินดังมาจากข้างในว่า “ฉันบอกเอ็งไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันจะไม่ช่วยเอ็งประเมินราคาของพวกนั้น! ..ไสหัวกลับไปซะ”
“คุณหมินคะ..เขาไม่ใช่เด็กคนเมื่อกี้นี้!” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างเร่งรีบ
หมินเว่ยเหวินก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดแต่แล้วเขาก็พูดว่า “มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ..จะใช่เขาหรือไม่ใช่ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากรับแขกตอนนี้..ไล่เขาไปซะ”
หญิงวัยกลางคนก็ตอบพลางหันหน้าไปมองเย่เชียนและพูดว่า “ต้องขอโทษด้วย..เธอได้ยินแล้วสินะ..งั้นก็กลับไปเถอะ”
อู๋หยางเทียนฉิงซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นก็รู้สึกภูมิใจมากที่ได้เห็นฉากนี้และเขาก็คิดในใจว่า ‘เป็นไงล่ะหน้าแตกล่ะสิ..เมื่อกี้ยังมั่นใจอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?’
เย่เชียนก็ไม่ได้โกรธเกรี้ยวแต่อย่างใดเพราะท่าทีของหมินเว่ยเหวิน ซึ่งเขาเพียงแค่ยิ้มเบาๆ และพูดว่า “คุณปู่หมิน..ดูเหมือนคุณจะอารมณ์เสียมากเลยนะ..หรือว่าผมมาขัดจังหวะช่วงเวลาอันแสนสุขของคุณกันล่ะ?”
คำพูดของเย่เชียนนั้นดูคลุมเครืออย่างมากและทุกคนก็รู้ได้ว่าเย่เชียนนั้นหมายถึงอะไรและเมื่อได้ยินเช่นนี้คนรับใช้ก็หน้าแดงและก้มหน้าลงและเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้เย่เชียนก็รู้ได้โดยธรรมชาติว่าเขานั้นพูดถูก เพราะตามข้อมูลที่แจ็คให้ไว้นั้นภรรยาของหมินเว่ยเหวินเสียชีวิตไปนานมากแล้วและหมินเว่ยเหวินก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ ดังนั้นเย่เชียนจึงตั้งสมมติฐานเช่นนี้เมื่อเขาเห็นคนรับใช้แต่งตัวแบบนี้
เมื่อหมินเว่ยเหวินได้ยินเขาก็เข้าใจความหมายของคำพูดของเย่เชียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งสถานะของหมินเว่ยเหวินนั้นคืออะไร? ซึ่งมันคือความพินาศอย่างยิ่งถ้าหากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนรับใช้ถูกแพร่กระจายออกไปมันจะทำให้ชื่อเสียงทั้งหมดที่เขาสั่งสมมาตลอดชีวิตก็พังพินาศไปอย่างสมบูรณ์ เพราะเดิมทีภรรยาของเขาเสียชีวิตไปนานหลายปีแล้วและไม่สำคัญว่าเขาจะแต่งงานใหม่หรือไม่แต่ตัวตนของเขานั้นก็ไม่ธรรมดาเพราถ้าหากสื่อต่างๆ เขียนข่าวของเขาตามอำเภอใจล่ะก็ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนธรรมดาหรือคนดังก็ตามถึงยังไงมันก็เสียหายและน่าอับอายอย่างมาก
หมินเว่ยเหวินก็เงียบไปชั่วขณะและหลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “เข้ามา!”
หญิงวัยกลางคนก็เปิดประตูออกกว้างและยิ้มอย่างเชื่องช้าและบอกให้เย่เชียนเดินเข้าไป เมื่อเห็นเช่นนี้อู๋หยางเทียนฉิงที่กำลังดูฉากนี้ก็ถึงกับผงะไป ซึ่งการที่เย่เชียนพูดแบบนั้นแล้วได้เข้าไปเช่นนี้? มันไม่งี่เง่าเกินไปหน่อยเหรอ? หลังจากนั้นเย่เชียนก็หันหน้ากลับมาและมองไปที่อู๋หยางเทียนฉิงกำลังตกตะลึงและไม่สบอารมณ์อยู่
เย่เชียนนั้นเดาถูกเพราะหมินเว่ยเหวินกำลังมีอะไรกับแม่บ้านคนรับใช้อยู่และอู๋หยางเทียนฉิงก็มาขัดจังหวะและรบกวนพวกเขาดังนั้นหมินเว่ยเหวินจึงรู้สึกโกรธเกรี้ยวและต้องหยุดทำสิ่งนั้นไปแล้วจะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร? ซึ่งอันที่จริงแล้วถ้าแม่บ้านคนรับใช้คนนี้โสดจริงๆ ล่ะก็หมินเว่ยเหวินก็จะไม่ร้อนใจเช่นนี้ นั่นก็เพราะว่าแม่บ้านคนนี้เป็นผู้หญิงในชนบทที่เข้ามาทำงานในตัวเมืองและเธอก็มีสามีและลูกอยู่ที่บ้านอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำไมหมินเว่ยเหวินถึงกังวลมากเพราะเมื่อมันถูกเผยแพร่ออกไปล่ะก็เขาจะต้องพังพินาศอย่างแน่นอน
“นั่งลงก่อนสิ..ฉันจะไปชงชาให้!” หญิงวัยกลางคนพูดแล้วหันหลังเดินเข้าไปในห้องครัว
ครู่หนึ่งหมินเว่ยเหวินก็เดินลงมาชั้นล่างและสวมชุดนอนแบบไม่เป็นทางการซึ่งเห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้มีกิจกรรมอย่างว่าจริงๆ ซึ่งถ้าหากเย่เชียนไม่ได้เข้ามากดกริ่งหน้าประตูล่ะก็เขาก็เดาได้เลยว่าหมินเว่ยเหวินก็ยังคงต้องการที่จะทำสิ่งนั้นต่อ เมื่อหมินเว่ยเหวินนั่งลงตรงข้ามเขาแล้วเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คุณปู่หมินช่างมีสุขภาพที่แข็งแรงจริงๆ ..ผมชื่นชมจริงๆ ..เพราะแม้แต่พวกเราคนหนุ่มสาวก็ไม่สามารถมีอะไรกันทั้งกลางวันและกลางคืนได้เลย”
ในตอนนี้หญิงวัยกลางคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชาและส่งให้เย่เชียนและเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเขาเธอก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ ดังนั้นหลังจากที่เธอวางถ้วยน้ำชาลงแล้วเธอก็รีบออกไปทันที
การแสดงออกของหมินเว่ยเหวินก็เปลี่ยนไปและเขาก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนแล้วถามว่า “มาคุยกันเถอะ..เอ็งมีเรื่องอะไร?”
“มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก..เพราะทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับคุณหมินเลย” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหมินเป็นคนหลักๆ ของผู้ประเมินราคาโบราณวัตถุของการประมูลในครั้งนี้ใช่มั้ย? ..ผมอยากจะให้คุณเรื่องกริชดาวตกที่กำลังจะขึ้นประมูลน่ะ”
การแสดงออกของหมินเว่ยเหวินก็เปลี่ยนไปและเขาก็มองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจเพราะในการประมูลครั้งนี้เมื่อมีการกล่าวว่ามันจะมีกริชดาวตกมาร่วมงานการประมูลด้วยหมินเว่ยเหวินก็ถึงกับผงะเช่นกันและเขาก็นึกไม่ถึงเลยว่ากริชดูดเลือดในตำนานที่หายไปนานหลายปีเช่นนี้จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้งและตอนที่เย่เชียนพูดแบบนี้หมินเว่ยเหวินก็ดูเหมือนจะเข้าใจว่าเย่เชียนนั้นต้องการให้เขาช่วยให้เย่เชียนได้ครอบครองกริชดาวตกดูดเลือดในตำนานเล่มนั้น
เมื่อเขาตระหนักถึงเรื่องนี้เขาก็มั่นใจได้เลยว่าเย่เชียนนั้นต้องการเป็นเจ้าของกริชดาวตกและต้องการใช้ชื่อเสียงของเขาตัดสินว่ากริชดาวตกของปลอมนั้นเป็นของจริงและหลังจากนั้นเขาก็จะได้รับเงินจำนวนมากมหาศาล เพราะนอกเหนือจากนี้หมินเว่ยเหวินก็ไม่สามารถตระหนักถึงความเป็นไปได้อื่นๆ เลยแม้แต่น้อย
.
.
.
.
.
.
.