ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 401 เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์
ตอนที่ 401 เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์
หมินเว่ยเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อยและเงียบไปครู่หนึ่งเพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากเขาไม่ช่วยเย่เชียนล่ะก็เย่เชียนก็จะเผยแพร่เรื่องราวของตัวเขาเองและแม่บ้านอย่างแน่นอนและเขาก็จะต้องพังพินาศไปทั้งชื่อเสียงและหน้าที่การงาน แต่ถ้าหากเขาทำตามความโปรดปรานนี้ล่ะก็และถ้าหากมีการเปิดเผยเรื่องนี้ทีหลังทั้งชื่อเสียงและหน้าที่การงานของเขาก็จะพังพินาศเช่นกันและมันก็จะผิดวิสัยทัศน์ของเขา
“จะให้ฉันเรียกเอ็งว่าไง?” หมินเว่ยเหวินถาม
“แซสกุลของผมคือเย่..เย่เชียน..ที่แปลว่าอ่อนน้อมถ่อมตน!” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม สิ่งนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นวิธีการแนะนำที่เป็นเอกลักษณ์ของเย่เชียนไปแล้วเพราะทุกครั้งที่เขาพูดถึงความเจียมตัวและอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นมันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย อย่างไรก็ตามมันก็ไม่สำคัญที่จะต้องถ่อมตัวและเย่เชียนก็ไม่เคยคิดที่จะให้คนอื่นมองตัวเองว่าต่ำต้อยด้วย
หมินเว่ยเหวินนั้นก็ถึงกับตกใจอย่างมากเพราะเขานั้นเกิดและเติบโตมาในเมืองเซี่ยงไฮ่และอาศัยอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจสถานการณ์ในเมืองเป็นเซี่ยงไฮ้เป็นอย่างดี เพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเย่เชียนนั้นได้ทำให้แก๊งชิงและหงเหมินกรุ๊ปผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองเซี่ยงไฮ้สยบแก่เขาและสามารถโค่นล้มตงเซียงกรุ๊ปไปได้จนทำให้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปมีจุดยืนที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งในเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งสำหรับหมินเว่ยเหวินที่อาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้มานานเช่นนี้จะไม่รู้จักบุคคลเช่นนี้ได้อย่างไร ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่าบุคคลระดับนี้จะมาหาเขาด้วยตัวเอง สิ่งที่ทำให้เขางงงวยมากที่สุดก็คือคนอย่างเย่เชียนก็สามารถใช้เงินเพื่อแก้ปัญญาได้ไม่ใช่หรือ? เพราะไม่ว่ากริชดาวตกนั้นจะมีมูลค่ามากแค่ไหนก็ตามแต่เมื่อเทียบกับรายได้ต่อปีของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้วมูลค่าของกริชดาวตกมันก็เทียบไม่ได้เลยแล้วทำไมเขาถึงไม่ใช้เงินเพื่อชนะการประมูลกันล่ะ?
“โอ้..ฉันได้ยินชื่อเสียงของคุณเย่มานานแล้ว..ยินดีที่ได้พบ..แต่ฉันไม่คิดเลยว่าคุณเย่จะใช้วิธีสกปรกและกลอุบายแบบนี้เลย” หมินเว่ยเหวินยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูด
เย่เชียนก็ผงะไปชั่วขณะและเดาว่าหมินเว่ยเหวินต้องเข้าใจผิดแล้วเขาก็ยิ้ม “ผมคิดว่าคุณหมินเข้าใจผิดอยู่นะครับ..เพราะตอนนี้กริชดาวตกน่ะอยู่ในมือของผมเอง..ผมก็แค่อยากให้คุณหมินช่วยยืนยันในการประมูลว่ากริชดาวตกที่ผมทำเลียนแบบขึ้นมานั้นเป็นของจริง..และแน่นอนว่าผมจะประมูลมันในราคาที่สูงและจะไม่ทำให้ชื่อเสียงของคุณต้องเสียหายแน่นอน”
ในความเป็นจริงแล้วเย่เชียนก็รู้ดีว่าถึงแม้ว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้แล้วแต่ถึงยังไงก็ยังมีคนจำนวนมากที่จับตามองกริชดาวตกอยู่ ดังนั้นเขาก็แค่ต้องการใช้กริชดาวตกของปลอมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้น เพราะเมื่อถึงเวลาเราก็จะสามารถใช้อุบายนี้เพื่อให้ใครบางคนขโมยและแย่งชิงกริชดาวตกของปลอมไปและเบี่ยงเบนไปที่ฝ่ายที่ทำการขโมยไปและหลังจากนั้นก็จะไม่มีใครที่สนใจกริชดาวตกของจริงเลย
หมินเว่ยเหวินก็ยิ่งสับสนเพราะเขาคิดไม่ออกว่าเย่เชียนหมายถึงอะไรจากการทำเช่นนี้จนเขาจ้องมองไปที่เย่เชียนอย่างว่างเปล่าและถามว่า “เนื่องจากคุณเย่ก็โปรดปรานและอยากได้กริชดาวตกแล้วทำไมถึงต้องใช้ของปลอมด้วยล่ะ? ..มันจะไม่เหมือนกันเหรอถ้าของจริงถูกนำมาประมูลโดยตรงน่ะ”
“เรื่องมันซับซ้อนน่ะ..ผมมีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ก็แล้วกัน” เย่เชียนพูดต่อ “ผมแค่อยากให้คุณหมินช่วย..ผมหวังว่าคุณจะไม่ทำให้ผมผิดหวังนะ”
มุมปากของหมินเว่ยเหวินก็กระตุกสองสามครั้งและเขาก็พูดว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะช่วยคุณ..แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มีปัญหาหรอกนะ..เพราะฉันไม่ได้เป็นผู้ประเมินเพียงคนเดียวในการประมูลครั้งนี้..และยิ่งไปกว่านั้นคนที่มีความรู้ความเข้าใจในตัวกริชดาวตกเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจจะมองออกได้เลยว่านั่นมันเป็นของปลอม”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก..ผมเชื่อว่าคุณหมินอยู่ในวงการโบราณวัตถุมานานแล้ว..เพราะงั้นคุณก็น่าจะรู้สิว่ามันไม่มีอะไรในโลกใบ้นี้ที่ปลอมแปลงมันออกมาไม่ได้”
หมินเว่ยเหวินก็ถึงกับตกตะลึงเพราะอันที่จริงแล้วในอุตสาหกรรมโบราณวัตถุนั้นก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถปลอมแปลงได้และผู้ที่เชี่ยวชาญที่สุดในวงการนี้ก็คือกงห่าวนั่นเอง “นอกจากกงห่าวก็ไม่มีใครแล้ว..ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ผู้ประเมินราคาโบราณวัตถุคนอื่นๆ ก็จะสามารถมองออกได้ว่ามันเป็นของปลอม” หมินเว่ยเหวินพูด
“งั้นก็หมายความว่าคุณหมินตกลงที่จะช่วยแล้วสินะ..ถ้างั้นผมก็ขอขอบคุณล่วงหน้าเลยก็แล้วกัน” เย่เชียนพูดต่อ “คุณหมินสามารถมั่นใจได้เลย..เพราะผมจะไปหานักประเมินราคาโบราณวัตถุคนอื่นๆ เหมือนกัน” เย่เชียนยังคงต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่เพราะถ้าหากยังไม่มีความชัดเจนว่ากริชดาวตกของปลอมที่ถูกสร้างโดยก่งห่าวนั้นยังไม่สมบูรณ์มากพอจริงๆ ล่ะก็ก่อนอื่นเขาก็ต้องไปพบกับนักประเมินราคาโบราณวัตถุคนอื่นๆ อีกสักสองสามคนในเวลานั้นส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปพบเพราะใครที่ไม่เคยเห็นกริชดาวตกจริงๆ กับตาตัวเองแล้วเขาก็จะไม่รู้ว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร เพราะนักประเมินราคาโบราณวัตถุนั้นอาศัยเพียงแค่ความรู้ทางวิชาชีพของตนเองในการตรวจสอบอายุความเก่าแก่ของวัตถุเพื่อระบุความจริงและเท็จเท่านั้น
“คุณเย่ก็คงจะเป็นคนที่มีศักดิ์และศรี..เพราะงั้นฉันก็เชื่อว่าคุณเย่จะเป็นคนที่ยึดมั่นในคำสัญญา..เพราะถ้าหากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็..ก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน” หมินเว่ยเหวินพูด
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเขาเป็นคนที่คุกคามผู้อื่นมาโดยตลอดและยังไม่มีใครสามารถคุกคามเขาได้เลยและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะรักษาสัญญาก็ตามแต่เขาก็ไม่สามารถทนต่อการคุกคามจากผู้อื่นได้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจตนาฆ่าของเขาก็ปรากฏขึ้นภายในดวงตาของเขาและยิ้มอย่างเย็นยะเยือกและพูดว่า “คุณปู่หมิน..ดูเหมือนว่าคุณจะสูงส่งเกินไปหน่อยนะ..ในความเป็นจริงก็มีวิธีที่ง่ายกว่านี้อยู่..เพราะถ้าหากคุณปู่หมินหายตัวไปมันก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ แล้ว”
“หึ! ..คุณขู่ฉันงั้นเหรอ..ก็ในเมื่อคุณเย่พูดแบบนี้แล้วฉันก็อยากจะเห็นจริงๆ ว่าคุณเย่จะทำให้ฉันหายไปจากโลกนี้ได้ยังไง!” หมินเว่ยเหวินพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว อู๋หยางเทียนฉิงนั้นพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าหมินเว่ยเหวินนั้นทั้งแก่และหัวรั้นเพราะเขารับปากแล้วว่าจะช่วยแล้วแต่ทำไมต้องกังวลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้และวางท่างใส่เย่เชียนอีกก็ไม่ทราบ
“ผมรู้ว่าคุณผ่านอะไรมาเยอะ..และผมก็เชื่อว่าคุณหมินน่ะไม่กลัวความตาย..แต่ความตายน่ะมันก็มีอยู่หลายรูปแบบนะ” เย่เชียนพูดด้วยความเยาะเย้ย “ความตายน่ะอาจเกิดขึ้นได้เสมอ..และผู้คนก็ตายกันอย่างสงบสุข..แต่มันอาจไม่ใช่สำหรับคุณหมินก็ได้..เพราะหลังจากที่คุณตายไปแล้วถึงยังไงคุณก็จะยังคงถูกเหยียบย่ำ..ลูกๆ หลานๆ ของคุณก็จะอับอายไปทั้งชีวิต..และแม้หลุมศพของคุณก็จะถูกทำลายและถูกขุดออกมาให้ผู้คนเหยียบย่ำ”
“ฉันขอบอกเลยนะว่ามีคนตั้งมากมายที่มาข่มขู่ฉัน..แล้วมันยังไง? ..ฉันก็ยังมีชีวิตนั่งอยู่ที่นี่..มันไม่มีใครในเซี่ยงไฮ้ที่กล้าแตะต้องฉันหรอก..เพราะสถานะและความสัมพันธ์ของฉันกับคนใหญ่คนโต” หมินเว่ยเหวินพูดอย่างโออ่าและเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ซึ่งสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นก็เป็นความจริงเพราะด้วยสถานะและความสัมพันธ์ของเขาจึงไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา
“คุณหมินมั่นใจมากเลยสินะ..ดี! ..ผมชอบคนที่มีความมั่นใจแบบนี้!” เย่เชียนพูดและฉีกยิ้มแล้วพูดต่อ “แต่สำหรับผมแล้วการฆ่ามันก็เป็นเพียงแค่เกมสนุกๆ ..คุณเชื่อมั้ยว่าถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าคนที่ฆ่าคุณเป็นผมก็ตามแต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรผมอยู่ดี”
หมินเว่ยเหวินก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจเพราะดวงตาที่มั่นใจของเย่เชียนนั้นดูเหมือนจะไม่ได้โกหกเลยแม้แต่น้อยจนเขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายไปอย่างลับๆ ซึ่งเย่เชียนในขณะนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ เขาเพียงแค่มองไปที่หมินเว่ยเหวินอย่างเงียบๆ พร้อมกับดวงตาที่เหมือนคมมีดที่ฉีกกระชากร่างของหมินเว่ยเหวินไปทีละนิดราวกับว่าเขาถูกใบมีดกัดเซาะร่างกาย
เย่เชียนนั้นไม่ได้ต้องการคุกคามเขาเช่นนี้เพราะชายชราคนนี้ไม่ใช่คนเลวแต่ปัญญาก็คืออารมณ์และทัศนคติส่วนตัวของเขาเท่านั้นที่ทำให้เป็นเช่นนี้เพราะถ้าไม่ใช่เพราะหมินเว่ยเหวินพูดอย่างนั้นแล้วเย่เชียนก็จะไม่จะทำเช่นนี้ เพราะถ้าหากทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย
อย่างไรก็ตามหมินเว่ยเหวินก็รู้เกี่ยวกับตัวตนของเย่เชียนน้อยเกินไปเพราะเขารู้ในแง่ของสงครามธุรกิจเพียงเท่านั้น แต่ทว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนที่สามารถรวมแก๊งชิงและหงเหมินกรุ๊ปเป็นหนึ่งเดียวกันได้และจริงอยู่ที่หมินเว่ยเหวินมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใหญ่คนโตของทางการแต่ทว่าก็มีผู้ทรงอำนาจหลายคนที่ต้องจบชีวิตลงและการที่ถูกเด็กหนุ่มอย่างเย่เชียนฆ่าในวัยชราเช่นนี้มันก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับเขาเลยแต่ทว่าตอนนี้เขาก็ไม่อยากที่จะตายจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นเขาก็มีลูกและเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะทำให้ลูกๆ ของเขาต้องอับอายไปตลอดชีวิต
การเป็นพ่อและแม่นั้นช่างน่าสงสารที่สุดในโลก!
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วและรอยยิ้มที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นและเขาก็ควักมีโลหิตหมาป่าออกมาจากเสื้อของเขาแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณหมินอยากตายผมก็จะช่วยให้ความปรารถนาของคุณเป็นจริง!”
“เดี๋ยวก่อน!” หมินเว่ยเหวินก็รีบโบกมือเพื่อหยุดเย่เชียนและในทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ลุกเป็นไฟราวกับว่าเขาได้เห็นกองทองคำจนมือทั้งสองข้างของเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นและคว้ามือของเย่เชียนเอาไว้และจ้องมองไปที่มีดโลหิตหมาป่าในมือของเย่เชียนและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “นี่! …นี่คือ…คุณไปเอากริชเล่มนี้มาจากไหน?”
การแสดงออกของหมินเว่ยเหวินนั้นทำให้เย่เชียนตกตะลึงอย่างมากเพราะเขาเป็นคนแปลกๆ ที่มีอารมณ์แปลกๆ และในตอนนี้เขาก็ยังคงคิดเรื่องของโบราณวัตถุมากกว่าชีวิตของเขาเอง “คุณหมินรู้จักมันเหรอ?” เย่เชียนถามหลังจากหยุดไปชั่วขณะ
“คือ! ..ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็มันน่าจะเป็น..ฉีจือเต๋าหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์!” หมินเว่ยเหวินพูดด้วยความตื่นเต้น
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์คืออะไร? ความภักดีอย่างแท้จริง,ความกตัญญูกตเวที,ความเมตตากรุณา,ความเที่ยงธรรม,ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง,ความมุมานะ,และศรัทธาที่แท้จริง!
เย่เชียนจ้องมองไปที่หมินเว่ยเหวินอย่างว่างเปล่าด้วยความสงสัยเพราะปรากฏว่ามีดโลหิตหมาป่ามีชื่อเช่นนี้ หลังจากนั้นเย่เชียนก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ฉีจือเต๋าหรอ? ..อักขระโบราณในนี้ที่เขียนด้วยเลือดนะเหรอ?”
“ใช่! ..ฉันอ่านไม่ผิดหรอกมันคือฉีจือเต๋า..มันคือความภักดีอย่างแท้จริง..ความกตัญญู..ความเมตตากรุณา..ความเที่ยงธรรม..ความบริสุทธิ์..ความมุมานะ..และศรัทธาที่แท้จริง!” หมินเว่ยเหวินพูดด้วยความสั่นสะท้าน “นี่อาจพูดได้เลยว่ามันเป็นศาสตราวุธวิเศษ..เพราะใบมีดของมันเป็นเหมือนคลื่นของเลือดที่ไหลเวียนอยู่และนั่นก็เป็นเพราะว่ามีดนี้มันต้องคำสาปที่พรากชีวิตผู้คนมามากมายและถูกทำพิธีกรรมโดยเต๋าในโบราณกาลฉีจือเต๋า! ..และสลักอักขระโบราณด้วยเลือดของหมาป่าว่า..คลื่นเลือด..หลังจากนั้นก็ปิดผนึกด้วยเลือดของเขาเองและฆ่าตัวตายในบัดดล”
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไปทั้งตัวเพราะปรากฏว่ามีดโลหิตหมาป่าเล่มนี้ถูกทำขึ้นมาโดยบุคคลระดับตำนานที่บ้าคลั่ง ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็อยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับที่มาของมีดโลหิตหมาป่า เพราะเขาเคยได้สืบค้นและถามจากนักชีวประวัติศาสตร์มานับไม่ถ้วนแต่ก็ไม่มีใครที่สามารถบอกความจริงเกี่ยวกับมีดเล่มนี้ได้เลย ซึ่งเย่เชียนนั้นรู้แค่ว่ามีดเล่มนี้นั้นทรงพลังมากเพราะมันสามารถตัดทองคำและเงินได้อย่างง่ายดายและไม่ทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้เลยแม้แต่น้อย! แต่ทว่าเย่เชียนก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าหมินเว่ยเหวินผู้นี้จะสามารถบอกที่มาที่ไปของมีดโลหิตหมาป่าหรือคลื่นแห่งเลือดได้ด้วยการเห็นเพียงครั้งเดียว ซึ่งเมื่อเห็นท่าทางที่น่าเชื่อถือของเขาแล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นเป็นความจริงและในทันใดนั้นเขาก็สนใจและฟังต่ออย่างใจจดใจจ่อ
“ในเมื่อคุณหมินรู้ที่มาที่ไปของมันแล้วคุณช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับมันทั้งหมดให้ผมฟังหน่อยจะได้ไหม” เย่เชียนพูด
“บอกฉันมาก่อนว่าคุณได้มีดเล่มนี้มาจากไหน” หมินเว่ยเหวินถาม
หลังจากที่หยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “ก็ได้ๆ ..ผมจะบอกคุณก็ได้..น้องชายของผมไปขโมยมันมาจากพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษและเขาก็ต้องจ่ายมันด้วยแขนหนึ่งข้างของเขาเอง!”
“ใช่ๆ ..มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว” หมินเว่ยเหวินพูดด้วยความตื่นเต้น “ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่กองกำลังพันธมิตรทั้งแปดฝ่ายบุกประเทศจีนเพื่อยึดสมบัติในพระราชวังและมีดเล่มนี้ก็ถูกขโมยไปนับตั้งแต่นั้นมา”
.
.
.
.
.
.
.