ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 404 สาวน้อยนักฆ่า
ตอนที่ 404 สาวน้อยนักฆ่า
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ดูเหมือนจะโกรธจริงๆ เพราะเธอมุ่ยปากเล็กๆ ของเธอแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดไม่ยั้งและเมื่อเธอไปถึงขอทานคนหนึ่งเธอก็โยนเงินสามสิบหยวนให้กับขอทาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเย่หลินนั้นไม่ได้ขาดแคลนเงินเลยแม้แต่น้อยเพราะเย่เชียนกับซ่งหลันนั้นให้อั่งเปากับเธอเป็นเงินจำนวนมากแล้วเธอจะงกเงินสามสิบหยวนเช่นนี้ได้อย่างไร?
เย่เชียนก็เข้าใจดีว่าเย่หลินนั้นไม่ได้พยายามหลอกลวงผู้อื่นด้วยเงินสามสิบหยวนแต่เพียงเพื่อทวงความยุติธรรมของเธอเท่านั้น อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็รู้สึกว่ามันอันตรายมากที่เธอจะคิดแบบนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยและมันจะแย่ถ้าหากเธอไม่ระวังคำพูดของเธอที่ค่อนข้างจะดุร้าย
เย่เชียนก็รีบคว้าตัวเธอเอาไว้และเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ก็สะบัดสะบิ้งอย่างดื้อรั้นและพยายามหนีจากเย่เชียน ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “ทำไมล่ะ..หนูยังโกรธอยู่อีกหรอ?”
“ไม่!” เย่หลินมุ่ยปากด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ยังคงพูดเสียงแข็งว่า “หนูก็แค่อยากจะเดินเล่น”
เย่เชียนก็ตกตะลึงเล็กน้อยและพูดว่า “ถ้างั้นเราก็ไปเดินเล่นด้วยกันเถอะ”
“ไม่หนูจะไปคนเดียว!” เย่หลินพูด
“เอาหน่าๆ ..หยุดดื้อได้แล้ว..พวกพี่สาวเธอรอเรากันอยู่นะ..ถ้าเรากลับไปไม่ทันพวกเธอจะดุเราได้นะ” เย่เชียนพูด
“หึ! ..หนูจะไปฟ้องพี่สาวหลันกับพี่สาวโรวโร่วและหนูก็จะบอกพวกเธอว่าพ่อแอบหนีไปเที่ยวกับสาวๆ อีกแล้ว” เมื่อเย่หลินพูดจบเธอก็หันหลังกลับไปและวิ่งกลับไปที่รถ
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและเดินไปที่รถและในทันใดนั้นเย่เชียนก็รู้สึกได้ถึงออร่าแห่งจิตสังหารและโดยไม่ลังเลใดๆ เขาจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วกอดเย่หลินเอาไว้และกลิ้งหลบไปข้าวหน้าทันที “ปัง!” ทันทีที่เย่เชียนกลิ้งไปกระสุนก็เจาะไปที่พื้นทันที
เย่เชียนก็ไม่กล้าที่จะชักช้าแต่อย่างใดเขาก็รีบแวบไปที่รถพร้อมกับอุ้มเย่หลินเอาไว้และเหลือบมองไปที่เย่หลินและพูดว่า “ไม่ต้องกลัวนะมีพ่ออยู่หนูจะไม่เป็นอะไร”
เย่หลินก็กะพริบตาและพูดว่า “หนูไม่กลัวค่ะ!” ไม่เพียงแค่นั้นแต่เธอยังมีแสงอันเย็นยะเยือกอยู่ภายในดวงตาของเธอซึ่งมันไม่เหมือนกับเด็กๆ ทั่วไปควรจะมี ซึ่งแน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่เห็นเพราะเขามัวแต่ตั้งสมาธิอยู่กับฝ่ายตรงข้ามเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นดวงตาของเย่หลินเช่นนี้
คิ้วของเย่เชียนก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเพราะมีใครบางคนกล้าที่จะท้าทายเขาในเมืองเซี่ยงไฮ้เช่นนี้ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามอาจจะเป็นอู๋หยางเฉิงเพราะถึงแม้ว่าตัวตนของเขาจะไม่สามารถที่จะจัดการกับเย่เชียนในตอนนี้ได้ก็ตาม แต่เพราะเย่เชียนที่ฆ่าลูกชายของเขาไปนั้นแน่นอนว่าเขาก็จะไม่ลืมความเกลียดชังนี้และถึงแม้ว่าเขาจะต้องสูญเสียทุกอย่างไปก็ตาม ซึ่งเย่เชียนก็ตำหนิตัวเองที่ใจดีเกินไปที่ส่งอู๋หยางเฉิงไปแค่หน่วยงานตรวจสอบวินัยกลางแทนที่จะกำจัดเขา ซึ่งคราวนี้เขาก็ไม่ควรคิดที่จะใช้สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติเพื่อกวาดล้างอู๋หยางเฉิงอีกต่อไปแล้วเพราะตอนนี้เย่เชียนนั้นต้องการสังหารเขาโดยตรงด้วยมือของเขาเอง ซึ่งตอนนี้เย่เชียนก็โชคดีอย่างมากที่ไม่มีสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นเพราะถ้าหากเย่หลินเป็นอะไรไปล่ะก็เขาก็จะเสียไปตลอดชีวิต
เย่เชียนก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยและเห็นชายที่ถืออาวุธปืนเดินเข้ามาหาเขาโดยไม่แสดงอาการประหม่าเลยแม้แต่น้อยและเมื่อผู้คนที่อยู่ริมถนนได้ยินเสียงปืนพวกเขาก็กลัวและวิ่งหนีกันไปรอบๆ ทิศทางแล้วหลังจากนั้นสถานการณ์ทั้งหมดก็วุ่นวายทันที อย่างไรก็ตามมือปืนนั้นก็ไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจเพราะเขาเพียงกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาตำแหน่งของเย่เชียน
ซึ่งเย่เชียนก็ค่อยๆ เปิดประตูรถอย่างเงียบๆ และพูดกับเย่หลินว่า “หนูเข้าไปซ่อนในรถก่อนนะ..ถ้าพ่อไม่เรียกหนูก็อย่าออกมาเข้าใจมั้ย?”
เย่หลินก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นและเข้าไปในรถและหลังจากที่เย่เชียนปิดประตูรถแล้วเขาก็กลิ้งไปที่ฝั่งตรงข้ามและซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงด้านหน้าเขา เมื่อมองจากรูปลักษณ์ของนักฆ่าแล้วจะเห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการฝึกฝนอย่างมืออาชีพและไม่เหมือนกับนักเลงข้างถนนทั่วไปหรือมาเฟียเลยและยิ่งไปกว่านั้นเมื่อสังเกตดูดีๆ แล้วเหมือนมือปืนจะเป็นชาวญี่ปุ่น
เย่เชียนก็คิดอย่างโกรธเกรี้ยวว่าดูเหมือนว่าพวกทหารรับจ้างเรดซันไม่ได้ออกมาเพื่อขโมยกริชดาวตกเมื่อคืนนี้และคนเหล่านี้ก็คือคนที่อู๋หยางเทียนฉิงภูมิใจและคิดว่าพวกนี้สามารถจัดการกับเย่เชียนได้ ซึ่งคนเหล่านี้คือทหารรับจ้างเรดซันนั่นก็เพราะว่าอาซูกะนากาจิมะรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนเธอจึงไปหาอู๋หยางเฉิงด้วยตัวเอง ซึ่งเดิมทีเธอนั้นก็ไม่ต้องการที่จะเคลื่อนไหวแต่ในเมื่อผู้ที่รับผิดชอบในการร่วมมือกับอู๋หยางเฉิงนั้นเสียชีวิตไปแล้วเธอจึงต้องออกมาเผชิญหน้าด้วยตัวเอง
หลังจากที่อาซูกะนากาจิมะไปพบกับอู๋หยางเฉิงเขาก็บอกเธอว่าให้เธอไปฆ่าเย่เชียนเพราะไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่ยินยอมที่จะร่วมมือกับพวกเธอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาซูกะนากาจิมะก็เกลียดและเขี้ยวหมาป่าเช่นกัน ซึ่งเธอก็รู้มาจากอู๋หยางเฉิงว่าเย่เชียนนั้นกลับมาที่ประเทศจีนแล้วและเธอก็เดาได้ว่าคนที่แอบดักฟังเธอเมื่อคืนนี้นั้นก็คือเย่เชียนนั่นเอง แต่ทว่าสิ่งที่น่าแค้นใจกว่านั้นก็คือเย่เชียนนั้นหยิบเอาชุดชั้นในของเธอไปด้วยซึ่งมันผิดปกติจริงๆ
ซึ่งเย่เชียนนั้นก็ไม่ได้โรคจิตแต่อย่างใดเพราะเขาแค่แกล้งเธอโดยการซ่อนชุดชั้นในของเธอเอาไว้ใต้เตียงเพราะเย่เชียนนั้นไม่ได้คาดคิดว่าคนของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติจะล้มเหลวไม่เช่นนั้นสถานการณ์ต่างๆ ก็คนจะไม่เป็นเช่นนี้ ซึ่งหลังจากเหลือบมองอย่างเงียบๆ แล้วอีกฝ่ายก็เข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ แต่เย่เชียนก็ไม่รู้เลยว่าคราวนี้มีศัตรูอยู่กี่คน
เมื่อเย่เชียนหยิบเศษแก้วขึ้นมาจากบนพื้นแล้วดวงตาของเย่เชียนก็เปล่งประกายแสงเย็นยะเยือกและเมื่อชายคนนั้นกำลังจะเดินเข้ามาข้างๆ เขาในทันใดนั้นเย่เชียนก็โผล่ออกมาจนฝ่ายตรงข้ามตกใจและใช้ปืนยิงใส่เย่เชียนแต่ก็น่าเสียดายที่เขาตกใจจนกระสุนมันเจาะเข้าไปที่กำแพงและหลังจากนั้นเย่เชียนก็ใช้เศษแก้วในมือของเขาเจาะเข้าไปที่คอของคู่ต่อสู้โดยตรง
การดำเนินการต่างๆ นั้นใช้เวลาเพียงครู่เดียวและหลังจากเสร็จสิ้นเย่เชียนก็พุ่งเข้าไปแอบที่ด้านข้างและซ่อนตัวพร้อมกับมองออกไปรอบๆ เพื่อหาบุคคลที่น่าสงสัย เพราะตอนนี้เย่เชียนก็เดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายคืออาซูกะนากาจิมะและเธอก็คงจะไม่โง่ถึงชั้นส่งคนเพียงคนเดียวมาจัดการกับเขาเพราะมันต้องมีคนอื่นอีกอย่างแน่นอน
ฉากเมื่อครู่นี้เย่หลินก็แอบมองอยู่อย่างชัดเจนและภายในดวงตาของเธอก็ไม่เพียงแค่ไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยแต่กลับรู้สึกตื่นเต้นและกระตือรือร้นอย่างมากและจิตใจของเธอก็เริ่มคิดอย่างลับๆ ว่าในอนาคตเธอจะต้องเป็นเหมือนพ่อของเธอที่มีทักษะการต่อสู้ที่ดีเช่นนี้ด้วย เพราะเย่หลินนั้นรู้ดีว่าถึงแม้ว่าเธอจะเป็นราชินีและเจ้าเหนือหัวในโรงเรียนอนุบาลก็ตามแต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังต้องพึ่งพาพลังของเด็กผู้ชายเหล่านั้นมากเสียกว่า ดังนั้นพลังและความแข็งแกร่งที่แท้จริงก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อยู่ดี
ฝูงชนก็เริ่มแตกตื่นกันและวิ่งไปวิ่งมาและในทันใดนั้นสายตาของเย่เชียนก็จับจ้องไปที่คนๆ หนึ่งและดวงตาของเขาก็หรี่ลงและเขาก็รีบวิ่งไปหาคนคนนั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายเห็นเย่เชียนวิ่งเข้ามาเขาก็รีบยกปืนขึ้นอย่างไรก็ตามมันก็สายเกินไปเสียแล้วเพราะมีดในมือของเย่เชียนนั้นก็พุ่งออกไปและเจาะเข้าไปที่ข้อมือของฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด
เพราะเย่เชียนก็รู้ดีว่าถึงแม้ว่ามีดจะเจาะเข้าไปในหัวใจของฝ่ายตรงข้ามก็ตามแต่ถึงยังไงฝ่ายตรงข้ามก็จะยังไม่ตายในทันทีดังนั้นมันจึงจะดีกว่าถ้าเขากำจัดปืนในมือของฝ่ายตรงข้ามก่อน หลังจากนั้นเย่เชียนก็รีบวิ่งเข้าไปและยื่นมือขวาออกไปจับด้ามมีดคลื่นโลหิตหมาป่าแล้วดึงออกมาและแทงเข้าไปที่หัวใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือดและหมุนตัวไปด้านหลังของฝ่ายตรงข้ามแล้วหักคอของอีกฝ่ายด้วยมือเดียวและจากนั้นเย่เชียนก็ถอยไปด้านหลังเพื่อซ่อนตัวอีกครั้งและร่างร่างนั้นก็ค่อยๆ ล้มลงไปกับพื้นอย่างน่าสังเวช
ซึ่งการมองหานักฆ่าท่ามกลางฝูงชนนั้นก็สามารถมองหาได้อย่างง่ายดายเพราะท้ายที่สุดแล้วคนธรรมดาต่างก็ตื่นตระหนก กันแต่ทว่านักฆ่านั้นจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เสียมากกว่า ซึ่งหลังจากที่ดวงตาของเย่เชียนจับจ้องไปที่คนสองสามคนที่มีพิรุธอย่างรวดเร็วเขาก็กลิ้งไปที่จุดนั้นและหยิบปืนพกขึ้นมาจากบนพื้นและยิงออกไปอย่างรวดเร็วและฆ่าคนสามคนในชั่วพริบตาเดียว
ในขณะนี้ก็มีเสียงไซเรนของรถตำรวจค่อยๆ ดังเข้ามาใกล้และเย่เชียนก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะเมื่อตำรวจมาแล้วก็จะไม่มีการคุกคามใดๆ กับเขาอีกต่อไป ซึ่งด้วยชื่อเสียงและความสัมพันธ์และเครือข่ายของเขาในเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นบวกกับสิ่งต่างๆ ที่ถูกต้องตามกฎหมายดังนั้นเย่เชียนจะไม่กลัวตำรวจอย่างแน่นอน
แต่ทว่าในตอนนี้เย่เชียนก็เหลือบมองไปเห็นใครบางคนที่กำลังดึงเย่หลินออกจากรถ “พ่อ!” เย่หลินตะโกนเสียงดังจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะผงะไปและเขาก็รีบยกปืนขึ้นเพื่อเล็งไปที่คู่ต่อสู้แต่อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นทหารรับจ้างมืออาชีพและเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่านจะไม่ใช้เย่หลินเป็นตัวประกัน เพราะตราบใดที่เย่เชียนไม่สามารถฆ่าเขาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวล่ะก็ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงจะเลวร้ายอย่างมาก
แววตาที่ดูเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นภายในดวงตาของฝ่ายตรงข้ามจนเย่เชียนถึงกับผงะไปเพราะอีกฝ่ายกำลังจะฆ่าเย่หลินอย่างชัดเจน ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ไม่กล้าลังเลใดๆ เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาฝ่ายตรงข้ามแต่ทว่าในขณะนี้การแสดงออกของอีกฝ่ายก็หยุดนิ่งไปและใบหน้าของเขาก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งแน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามเพราะเย่เชียนนั้นกำลังใช้มีดคลื่นโลหิตหมาป่าในมือของเขาแทงเข้าไปในลำคอของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วและคว้าตัวเย่หลินเอาไว้และกลิ้งหลบไปข้างๆ และเมื่อมองย้อนกลับไปร่างของฝ่ายตรงข้ามก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาอย่างช้าๆ ซึ่งมันมีมีดปักอยู่ในลำคอของฝ่ายตรงข้ามและมันคือคลื่นโลหิตหมาป่าของเย่เชียนแต่ที่น่าประหลาดใจก็คือนอกจากนั้นมันยังมีมีดปอกผลไม้ปักอยู่ที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้ามด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเย่หลินเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ได้ใช้มีดปอกผลไม้แทงเข้าไปที่หน้าอกของฝ่ายตรงข้ามจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เย่หลินด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
เย่หลินก็ทำหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยเพราะก่อนหน้านี้เธอเหลือบไปเห็นมีดปอกผลไม้ที่อยู่ในรถและเมื่ออีกฝ่ายกำลังจะดึงเธอออกจากรถเธอก็หยิบมันขึ้นมา แต่ทว่าเนื่องจากเธอยังเป็นเด็กจึงทำให้แรงของการแทงนั้นไม่ค่อยมากเท่าไหร่มีดจึงแทงเข้าไปไม่ลึกมากนัก แต่ทว่าความพยายามดิ้นรนต่อสู้ของเธอนั้นก็มากเสียยิ่งกว่าคนธรรมดาๆ หลายเท่านัก
“ไม่เป็นไรนะ! ..ไม่ต้องกลัว! ..ไม่ต้องกลัว!” เย่เชียนรีบกอดเย่หลินเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ ซึ่งในขณะนี้บนถนนก็มีแต่ความว่างเปล่าและเหลือเอาไว้เพียงร่างอันไร้วิญญาณและในที่สุดเย่เชียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เย่เชียนประหลาดใจที่สุดก็คือในสถานการณ์เช่นนี้เด็กผ็หญิงตัวเล็กๆ อย่างเย่หลินกลับสามารถหยิบมีดปอกผลไม้ได้อย่างใจเย็นและแทงไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายโดยตรงซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่เด็กหรือคนทั่วไปจะทำได้เลย
แต่ถึงยังไงเด็กก็ยังคงเป็นเด็กเพราะถึงแม้ว่าเธอจะสงบอย่างมากก็ตามแต่หลังจากเจอเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้เข้าไปเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเล็กน้อยหลังจากใช้มีดปอกผลไม้แทงเข้าไปที่ร่างกายของมนุษย์ และไม่ต้องพูดถึงเธอเลยเพราะแม้ในตอนที่เธอเห็นเย่เชียนกำลังจะฆ่าคนเป็นครั้งแรกเธอก็รู้สึกกลัวเช่นกัน
ในขณะนี้ตำรวจก็ได้ล้อมรอบสถานที่เอาไว้ทั้งหมดแล้วและเสียงของโทรโข่งและเครื่องขยายเสียงก็ดังเข้ามา “โปรดฟัง! ..ทุกคนที่อยู่ข้างในพวกคุณถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว..โปรดวางอาวุธของคุณและออกมายอมจำนนซะโดยดี”
ปากของเย่เชียนก็กระตุกสองสามครั้งด้วยความโกรธเล็กน้อยเพราะเหตุใดทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านี้ถึงได้มาปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เรื่องต่างๆ ได้จบลงแล้ว หลังจากนั้นเย่เชียนก็ยืนขึ้นพร้อมกับเย่หลินในอ้อมแขนของเขาและเย่เชียนก็ตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “มาทำไมกันตอนนี้! ..กว่าพวกคุณจะมาถึงทุกคนก็คงจะตายกันไปหมดแล้ว!”
ตำรวจคนที่พูดใส่เครื่องขยายตอนนี้ก็เห็นว่าอีกฝ่ายคือเย่เชียนคนดังของเมืองเซี่ยงไฮ้และเป็นพี่ชายคนรองของหลี่ฮ่าวหัวหน้าของพวกเขา ซึ่งหลังจากงุนงงอยู่เล็กน้อยเขาก็ยิ้มอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “คุณ…นั่นคุณเองหรือ?”
.
.
.
.
.
.
.