ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 411 จริงและเท็จ
ตอนที่ 411 จริงและเท็จ
หลินโรวโร่วก็จ้องเขม็งเย่เชียน “มาเดี๋ยวฉันป้อนให้” หลังจากพูดจบแล้วเธอก็ค่อยๆใช้ช้อนตักโจ๊กแล้วส่งเข้าปากของเย่เชียน ซึ่งแน่นอนว่าหลินโรวโร่วนั้นรู้ว่าเย่เชียนแค่แกล้งทำ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเพราะในฐานะคู่หนุ่มสาวมันก็ควรจะเรื่องแบบนี้เสียบ้าง
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆและเพลิดเพลินไปกับเอาใจของหลินโรวโร่วอย่างมีความสุข
“เย่เชียน..ฉันรู้ว่าพี่หลันน่ะรักคุณมาก..เพราะงั้นไม่ต้องกังวลไปนะ..ฉันไม่ได้รังเกียจเลย” หลินโรวโร่วพูด
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็ยิ้มและพูดว่า “ยัยโง่..คุณกำลังคิดอะไรอยู่..คุณน่ะยังไม่รู้จักเธอมากพอ..เพราะจริงๆแล้วพี่หลันน่ะเป็นผู้หญิงที่ดีมาก..แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อเธอน่ะมันไม่ใช่ความรักแบบหนุ่มสาว..ดังนั้นเธอจะไม่มีวันทำตัวต่ำต้อยแบบนั้นหรอก..นอกจากนี้เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่ใจดีมาก..เธออยากให้ผมกับคุณรักกัน..และเธอก็ไม่ได้ต้องการที่จะก้าวเข้ามาระหว่างคุณกับผมเลย”
“นั่นมันก็ไม่ได้ยุติธรรมกับพี่หลันใช่มั้ยล่ะ?” หลินโรวโร่วพูด
เย่เชียนถอนหายใจเบาๆและพูดว่า “บางครั้งบางสิ่งบางอย่างมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้” นอกเหนือจากการพูดแบบนี้เย่เชียนก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้อีก
หลินโรวโร่วก็ไม่ได้พูดอะไรอีกและหัวใจของเธอก็ขัดแย้งกันมากเพราะยิ่งเธอกับซ่งหลันสนิทกันมากเท่าไหร่และอยู่ด้วยกันนานมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าซ่งหลันเป็นผู้หญิงที่ดีและเป็นพี่สาวที่แสนดีและเป็นผู้หญิงที่แสดงความรักต่อเย่เชียนไม่น้อยไปกว่าตัวเธอเองเลย ซึ่งหลังจากที่ซ่งหลันได้เข้ามาช่วยเหลือเย่เชียนนั้นอาจพูดได้ว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่เป็นอยู่ในวันนี้ได้และ 80% เป็นเพราะซ่งหลันผู้นี้ที่เป็นผู้หญิงที่เต็มใจทำเพื่อความรักและเธอคือผู้หญิงที่ควรอยู่อย่างมีความสุข แต่อย่างไรก็ตามหลินโรวโร่วก็รักเย่เชียนอย่างสุดซึ้งและลึกๆแล้วเธอก็ไม่เต็มใจที่จะให้เย่เชียนไปอยู่บนเตียงเดียวกับซ่งหลันใช่ไหม?
หลังจากกินโจ๊กเสร็จแล้วหลินโรวโร่วก็ถือชามและช้อนกลับเข้าไปในครัวแล้วเดินออกมาหลังจากที่เธอออกมาแล้วเย่เชียนก็โบกมือให้เธอและดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและทั้งสองก็นั่งกอดกันในห้องนั่งเล่นพร้อมกับดูรายการโทรทัศน์
เมื่อเย่เชียนตื่นจากการหลับใหลในวันรุ่งขึ้นเขาก็พบว่าทั้งหลินโรวโร่วและซ่งหลันนั้นก็ออกไปข้างนอกแล้ว เย่เชียนจึงยิ้มอย่างมีความสุขและลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันและออกไปวิ่งตามปกติของเขา
วันนี้เป็นวันสุดท้ายเพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันเริ่มงานการประมูลซึ่งเย่เชียนก็ไม่รู้เลยว่าทางด้านของกงห่าวเป็นยังไงบ้าง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะโทรไปถามเพราะเย่เชียนกลัวว่าเขาจะรบกวนกงห่าว ซึ่งถ้าหากกงห่าวทำกริชเลียนแบบเสร็จแล้วล่ะก็เย่เชียนก็เชื่อว่าเขาจะเป็นฝ่ายโทรมาเอง
หลังจากที่วิ่งเสร็จแล้วเย่เชียนก็กลับมาอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นก็ปลุกเย่หลินตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียงจากนั้นก็ไปส่งเธอที่โรงเรียน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเย่หลินนั้นมีความสุขมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เย่เชียนมาส่งเธอไปโรงเรียน ซึ่งเย่หลินที่นั่งอยู่ในรถก็พึมพำไม่หยุดไม่หย่อนและสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อวานนี้ดูเหมือนว่าเธอจะลืมมันไปแล้ว
หลังจากที่มาถึงโรงเรียนแล้วเย่เชียนก็ไปพบผู้อำนวยการของโรงเรียนเพื่อสนทนาและพูดคุยเกี่ยวกับพฤติกรรมของเย่หลินในโรงเรียน ซึ่งสิ่งที่เย่เชียนไม่คาดคิดก็คือทั้งผู้อำนวยการและครูทุกคนต่างก็ชอบเย่หลินมากและมักจะชื่นชมเธอจนเย่เชียนถึงกับตกตะลึงเล็กน้อยเพราะสงสัยว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้กันแน่
เห็นได้ชัดว่าเย่หลินตัวน้อยนั้นคือราชินีและผู้คุมกฎแห่งโรงเรียนอนุบาลเพราะเธอนั้นรู้จักกับครูบาอาจารย์ทุกคน ซึ่งนี่ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าเย่หลินนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย อย่างไรก็ตามเหล่าครูบาอาจารย์ต่างก็ชื่นชมเธอมากและเย่เชียนเองก็ไม่สามารถคตำหนิอะไรได้และเขาก็แสดงความคิดเห็นอย่างลับๆว่าครูของเธอนั้นควรจะสั่งสอนเธอและอย่ายกย่องชมเชยเธอมากเกินไป อย่างไรก็ตามสิ่งที่เตือนใจอย่างน่าเศร้าก็คือเย่เชียนนั้นถูกครูเหล่านั้นบอกว่าเย่เชียนนั้นโชคดีอย่างมากที่มีลูกสาวเช่นนี้และควรดีใจไปกับเธอและสนับสนุนเธอทุกอย่างเพราะมันจะเอื้อเฟื้อต่อพัฒนาการของเธอในอนาคต
เย่เชียนก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีซึ่งท้ายที่สุดเขาก็ยัดซองอั่งเปาให้เหล่าครูและอาจารย์แต่ละคนและเย่เชียนก็ออกจากโรงเรียนไป
เย่เชียนก็เตร็ดเตร่ไปรอบๆและเมื่อเวลาประมาณเที่ยงวันเย่เชียนก็หาร้านอาหารง่ายๆและทันทีที่เขากินมื้อเที่ยงเสร็จเขาก็เดินออกมาจากร้านอาหารและจู่ๆเย่เชียนก็ได้รับสายโทรศัพท์จากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนว่าการสอบปากคำอาซูกะนากาจิมะเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นได้ผลลัพธ์ที่ดีและองค์กรที่อยู่เบื้องหลังองค์กรทหารรับจ้างเรดซันนั้นก็ถูกเรียกว่าสมาคมมังกรทมิฬ
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างมากเพราะสมาคมมังกรทมิฬนั้นเป็นองค์กรทางทหารแต่ทว่ามันก็ได้สลายตัวไปนานมากแล้วเมื่อครั้งที่ประเทศญี่ปุ่นยอมจำนนต่อสหภาพยุโรป ซึ่งเท่าที่เย่เชียนรู้มานั้นสมาคมมังกรทมิฬเป็นนั้นเป็นองค์กรที่ค่อนข้างยุติธรรมในช่วงแรกๆโยการช่วยพรรคปฏิวัติจีนในการก่อตั้งพันธมิตรในประเทศญี่ปุ่น แต่ต่อมาองค์กรทั้งองค์กรนั้นได้กลายเป็นหุ่นเชิดทางการทหารและช่วยประเทศญี่ปุ่นรุกล้ำประเทศจีน
อย่างไรก็ตามในปี 1945 นั้นสมาคมมังกรทมิฬก็ได้ประกาศการยุบองค์กรไปแล้วแต่ทว่าตอนนี้มันก็กลับมาอีกครั้งและยิ่งไปกว่านั้นมันได้กลายเป็นผู้ที่อยู่เหนือและคอยควบคุมแก๊งยากูซ่ายามากุจิและองค์กรทหารรับจ้างเรดซันเช่นนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าอิทธิพลและพลังของสมาคมมังกรทมิฬนี้ยังไม่ได้ลดลงไปจากเดิมเลยและถึงแม้ว่ามันถอนตัวออกไปจากทางการเมืองแล้วก็ตามแต่ก็ดูเหมือนว่าสมาคมนี้มันจะยังไม่สูญสลายหายไปจนสิ้นแต่อย่างใด
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็ได้ขอให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนกระจายข่าวออกไปโดยบอกว่าอาซูกะนากาจิมะเป็นสายลับและถูกจับในประเทศจีน ซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ยิ้มและเห็นด้วยเพราะจากความรู้ของเขาเกี่ยวกับเย่เชียนนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็คิดว่าเย่เชียนกำลังวางแผนที่จะไปที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อการใหญ่และเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อย่างแน่นอนว่าซึ่งเขาเองก็มีความสุขที่ได้เห็นเย่เชียนกระตือรือร้นเช่นนี้
หลังจากที่วางสายของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนไปแล้วเย่เชียนก็รีบโทรหาแจ็คอีกครั้งและบอกข่าวทั้งหมดที่เขาได้รับจากหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและสั่งให้แจ็คเริ่มตรวจสอบสถานการณ์ของสมาคมมังกรทมิฬอย่างเคร่งครัด ซึ่งถ้าหากมีเหตุจำเป็นก็ให้เขาติดต่อไปหาชิงเฟิงได้ทันที เพราะอย่างไรก็ตามกรงเล็บหมาป่านั้นก็เคยเป็นดาร์คลิลลี่มาก่อนและเป็นองค์กรนักฆ่าของประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นการที่ดาร์คลิลลี่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมานานนั้นเย่เชียนก็เชื่อว่าพวกเธอนั้นจะรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆของที่นั่นเป็นอย่างดี
แจ็คยังถึงกับต้องประหลาดใจเมื่อทราบข่าวเพราะเห็นได้ชัดว่าเขานั้นก็ไม่ได้คาดคิดเหมือนกันว่าสมาคมมังกรทมิฬจะอยู่เบื้องหลังทหารรับจ้างเรดซันและแก๊งยามากุจิ ซึ่งแจ็คนั้นก็ยังรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้อยู่เพราะท้ายที่สุดแล้วสมาคมมังกรทมิฬนั้นก็ถือว่าเป็นกลุ่มทหารผ่านศึกของประเทศญี่ปุ่นและทำหน้าที่ทางการทหารมาโดยตลอด ซึ่งแจ็คก็เกรงว่ะพวกเขาเหล่านั้นยังมีกองกำลังทหารจำนวนมากซ่อนอยู่และอาจจะมีบุคคลระดับสูงแฝงอยู่ในรัฐบาลญี่ปุ่นก็เป็นได้ ถ้าหากเราต้องการจัดการกับสมาคมมังกรทมิฬล่ะก็มันก็จะยุ่งยากกว่าการจัดการกับแก๊งยามากุจิอย่างมาก
หลังจากนั้นเย่เชียนก็โทรหาไปซ่งหลันและถามเธอว่าเครือน่านฟ้ากรุ๊ปในตอนนี้นั้นสามารถขยายธุรกิจไปยังประเทศญี่ปุ่นได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบของซ่งหลันนั้นคือสิ่งที่เย่เชียนคาดหวังเอาไว้เพราะซ่งหลันนั้นได้เริ่มเตรียมตัวสำหรับขั้นตอนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เย่เชียนนั้นไม่เคยรู้มาก่อนเพราะเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องต่างๆก่อนหน้านี้
ธุรกิจของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเย่เชียนไปเยือนประเทศญี่ปุ่นครั้งล่าสุดแล้ว แต่ในเวลานั้นก็ยังไม่ได้มีการพัฒนาเต็มรูปแบบแต่อย่างใด แต่ทว่าหลังจากช่วงเวลาแห่งการพัฒนานี้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็ได้เริ่มระดมทุนและบุคลากรจำนวนมากเพื่อส่งไปที่นั่น เพราะท้ายที่สุดแล้วเครือน่านฟ้ากรุ๊ปก็เป็นหนึ่งถึงหนึ่งในบริษัทชั้นนำ 20 แห่งของโลก ซึ่งถ้าหากเครือน่านฟ้ากรุ๊ปสามารถลงทุนในประเทศของตัวเองได้ล่ะก็รัฐบาลญี่ปุ่นก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่เย่เชียนโทรไปหาซ่งหลันแล้วเขาก็ถูกซ่งหลันเยาะเย้ยอีกครั้ง แต่ทว่าเย่เชียนนั้นก็หน้าหนาอย่างมากแล้วทำไมเขาถึงต้องไปสนใจคำเยาะเย้ยล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นซงหลันก็ไม่ได้เหน็บแนมอะไรร้ายแรงถึงขนาดนั้นเพราะเธอแค่ล้อเล่น อย่างไรก็ตามมันทำให้เย่เชียนรู้สึกละอายใจอย่างมากเพราะซ่งหลันคนนี้เข้าใจสิ่งที่เย่เชียนต้องการมากขึ้นไปทุกทีๆ ซึ่งผู้หญิงคนนี้รู้ถึงเจตนาของเขาโดยแทบจะไม่ต้องถามเลย ดังนั้นเธอจึงเริ่มพัฒนาธุรกิจของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว
จนกระทั่งเวลาสามทุ่มในที่สุดเย่เชียนก็ได้รับโทรศัพท์จากกงห่าวโดยบอกว่ากริชเลียนแบบนั้นเสร็จสิ้นแล้วและเย่เชียนก็ตื่นเต้นอย่างมากทันทีและรีบขับรถตรงไปที่บ้านของกงห่าวทันที
เมื่อเย่เชียนรับรถมาถึงบ้านของกงห่าวเขาก็ลงจากรถซึ่งเย่เชียนก็เห็นม่อหลงและเย่เชียนก็พูดด้วยความจริงใจว่า “ขอบคุณครับ!” ม่อหลงก็ยิ้มเบาๆและไม่ได้พูดอะไรใดๆ
“ไปกันเถอะ..เข้าไปดูด้วยกัน” หลังจากที่เย่เชียนพูดจบเขาก็เดินเข้าไปที่บ้านของกงห่าวและโม่หลงก็พยักหน้าและเดินตามเย่เชียนไป ซึ่งม่อหลงเองก็ยังต้องการดูว่าข่าวลือนั้นจะเป็นอย่างไรที่ว่ากงห่าวเป็นเจ้าแห่งการปลอมแปลงโบราณวัตถุที่ร่ำลือกัน
หลังจากที่กดกริ่งแล้วกงห่าวก็รีบเปิดประตู “เร็วๆ..เข้ามาดูสิ!” กงห่าวพูดด้วยความตื่นเต้นเพราะสำหรับเขาแล้วการสร้างโบราณวัตถุนั้นถือเป็นความสำเร็จอย่างมากและยิ่งไปกว่านั้นมันก็ยังเป็นการเลียนแบบกริชดาวตกในตำนานอีกด้วย ดังนั้นกงห่าวจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากและรอจนอดใจรอไม่ไหวที่จะรู้ว่าเมื่อคนอื่นเห็นมันแล้วเขาจะมองว่ามันคล้ายกับของจริงหรือไม่นั่นเอง
เย่เชียนและม่อหลงก็เดินเข้ามาและหลังจากนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วพวกเขาก็เห็นกริชดาวตกสองเล่มวางอยู่บนโต๊ะ และในทันใดนั้นดวงตาของม่อหลงก็สว่างไสวขึ้นซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากจนร่างกายของเขาถึงกับสั่นเบาๆ ซึ่งเย่เชียนก็มองเห็นทั้งหมดนี้อย่างเป็นธรรมชาติจนเย่เชียนนั้นแอบคิดว่าขนาดม่อหลงถึงกับตื่นเต้นและกระตือรือร้นเช่นนี้นั้นเป็นเพราะเห็นกริชดาวตกในตำนานอย่างนั้นหรือ? ซึ่งเย่เชียนก็ไม่คิดว่ามันจะมีเหตุผลอื่นๆอีก
“ลองเดาดูสิว่าอันไหนของจริงอันไหนของปลอม!” กงห่าวรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
เย่เชียนก็ก้มศีรษะลงไปมองและไตร่ตรองอย่างถราถ้วนและหลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆหยิบมันขึ้นมาทีละชิ้นและมองดูอยู่นานสักพักหนึ่งและหลังจากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและพูดว่า “ผมแยกไม่ออกจริงๆว่าอันไหนของจริงอันไหนของปลอม..ชื่อเสียงที่ร่ำลือกันของอาจารย์กงนั้นสมควรได้รับอย่างยิ่ง.. บอกผมหน่อยสิว่าอันไหนคือกริชดาวตกของจริง”
“อันนี้เป็นของจริง!” ม่อหลงชี้ไปที่กริชที่อยู่มือซ้ายของเย่เชียนและพูด
เย่เชียนก็มองม่อหลงด้วยความประหลาดใจเพราะเขารู้ว่าม่อหลงนั้นไม่ใช่คนที่ตัดสินอะไรตามใจซึ่งเมื่อไหร่ที่เขาตัดสินแล้วล่ะก็มันจะต้องมีอย่างน้อยๆ 80% ที่เป็นความจริง ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้เย่เชียนแปลกใจอย่างมากเพราะเขาไม่เข้าใจว่าม่อหลงจะชัดเจนและมั่นใจถึงขนาดนี้ได้ หรือพี่ชายคนนี้ก็มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องของเก่าอย่างนั้นหรือ?
กงห่าวก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและหลังจากนั้นใบหน้าของเขาก็หดหู่ลงเพราะเขาไม่คาดคิดเลยว่าสิ่งที่เขาทำมาเป็นเวลาสามวันสามคืนโดยไม่ได้หลับไม่ได้นอนเช่นนี้แต่กลับมีคนที่สามารถมองออกได้ด้วยตาเปล่าโดยที่ไม่ได้แม้แต่สัมผัสมันเลยเช่นนี้ ซึ่งนี่เป็นการทำร้ายกงฮ่าวทางอ้อมอย่างมากเพราะมันเท่ากับเป็นการบอกว่าสิ่งที่เขาทำมานั้นล้มเหลวและเป็นกริชดาวตกของปลอมที่ไม่ประสบความสำเร็จเลย
เมื่อเห็นการแสดงออกของกงห่าวแล้วเย่เชียนก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ม่อหลงพูดออกมานั้นถูกต้องจริงๆ
.
.
.
.
.
.
.