ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 418 มีดคลื่นโลหิตหมาป่าถูกขโมย
ตอนที่ 418 มีดคลื่นโลหิตหมาป่าถูกขโมย
ในขณะที่เย่เชียนกำลังเดินออกไปข้างนอกโรงแรมกับโจวหยวนจู่ๆ เย่เชียนก็เอ่ยปากถามว่า “เอ็งเคยฆ่าคนมั้ย?”
โจวหยวนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและก็รีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่นอนครับ..เพราะสำหรับนักเลงบนท้องถนนแบบผมน่ะย่อมมีความขัดแย้งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..เพราะงั้นพวกเราก็ต้องฆ่าฟันกันเป็นประจำน่ะครับ”
“แล้วเอ็งสนใจที่จะติดตามฉันมั้ย?” เย่เชียนถาม
โจวหยวนก็ถึงกับตกใจและมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจเพราะนี่เป็นข่าวดีอย่างมากซึ่งนั่นหมายความว่าเขากำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในที่สุดเพราะแม้แต่หวังหูยังก็ต้องเรียกเย่เชียนว่าพี่สองเลย ดังนั้นเขาเองก็สมควรที่จะติดตามเย่เชียนไป
“ทำไม..ไม่อยากเหรอ? ” เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูด
“ไม่ๆ ..ไม่ใช่ครับ” โจวหยวนพูดอย่างเร่งรีบ “แต่..คนอย่างผมจะทำได้หรอครับ”
เย่เชียนก็ตบไหล่โจวหยวนเบาๆ แล้วพูดว่า “เอ็งต้องมีความมั่นใจสิ..ถ้าในชีวิตนี้เอ็งไม่มีความมั่นใจล่ะก็เอ็งจะทำเรื่องใหญ่ๆ ได้ยังไง? ..ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นน่ะ..เอ็งชอบเธอหรือเปล่า?”
“เธอก็สวยและรูปร่างก็ดีใช้ได้..แต่ผู้หญิงแบบนั้นน่ะเหมาะกับการเล่นสนุกไปวันๆ ..ไม่เหมาะกับการเป็นคู่ครองหรอก” โจวหยวนตอบ
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ เพราะผู้ชายแบบนี้แหละที่เหมาะสมกับการทำเรื่องใหญ่ๆ เพราะถ้าผู้ชายมัวแต่ไปจมปลักอยู่กับผู้หญิงทั้งวันเช่นนั้นคนคนนั้นจะทำการใหญ่ได้อย่างไร “ฉันจะโทรไปหาไอ้เสือและบอกให้นายคอยอยู่ช่วยฉันในอนาคต..ทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน..อย่าทำให้ฉันต้องผิดหวัง!” เย่เชียนพูด
“พี่สองมั่นใจได้เลย..ผมจะไม่มีวันทำให้พี่สองต้องผิดหวังครับ!” โจวหยวนพูดอย่างหนักแน่น
เย่เชียนก็กำลังจะอ้าปากพูดแต่จาๆ เขาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาและหลังจากที่หยิบมันขึ้นมารับสายแล้วในทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นเป็นระยะๆ “คุณ…คุณ…คุณเย่…ฉันขอโทษ…”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจและถามด้วยความสงสัยว่า “คุณหมิน? ..เกิดอะไรขึ้น? ”
“ฉัน…ฉัน…ฉันไม่สามารถรักษาคลื่นโลหิต…” จู่ๆ เสียงก็ดับไปจนเย่เชียนรู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อยซึ่งบอกเขาโดยสัญชาตญาณว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและเขาเองก็ไม่กล้าลังเลอีกต่อไปเขาจึงหันไปพูดกับโจวหยวนและบอกให้เขานั่งแท็กซี่กลับไปจากนั้นเย่เชียนก็รีบขับรถตรงไปที่บ้านของหมินเว่ยเหวินทันที
สำหรับเย่เชียนแล้วมีดคลื่นโลหิตหมาป่านั้นไม่ได้เป็นเพียงศาสตราวุธโบราณแต่มันเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักและความภักดีของอู๋หวนเฟิงที่มีต่อตัวเขาเองเพราะอู๋หวนเฟิงถึงกับต้องเสียแขนข้างหนึ่งไปเพราะมัน ดังนั้นถ้าหากเย่เชียนเสียมีดคลื่นโลหิตหมาป่าไปแล้วล่ะก็เขาจะคู่ควรกับความภักดีของอู๋หวนเฟิงได้อย่างไร
เย่เชียนก็กัดฟันแน่นพร้อมกับความแค้นที่ฝังลึกที่เผยออกมาบนใบหน้าของเขา ซึ่งถ้าหากมีใครเห็นการแสดงออกและสีหน้าของเย่เชียนในตอนนี้ล่ะก็พวกเขาเหล่านั้นก็จะสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัวอย่างแน่นอนและถึงแม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากมายนั้นเย่เชียนก็ไม่เคยมีปฏิกิริยาเช่นนี้มาก่อน ซึ่งไม่มีใครสามารถจินตนาการได้เลยว่าโทสะและความโกรธเกรี้ยวของเย่เชียนในตอนนี้นั้นเดือดดาลแค่ไหน
เมื่อเขามาถึงบ้านของหมินเว่ยเหวินแล้วเย่เชียนก็ได้กลิ่นคาวเลือดทันทีที่เขาลงจากรถและคิ้วของเขาก็ขมวดกันแน่น ซึ่งเย่เชียนก็คาดเดาเอาว่าหมินเว่ยเหวินคงจะต้องเป็นอะไรอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อคิดเช่นนั้นเย่เชียนก็ไม่กล้าที่จะลังเลอีกต่อไปเขาจึงเดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
เมื่อผลักเปิดประตูบ้านของหมินเว่ยเหวินออกเย่เชียนก็พบว่าคนรับใช้ของหมินเว่ยเหวินนั้นนอนจมกองเลือดและตายมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว เย่เชียนก็จ้องมองอย่างระมัดระวังและรีบเดินตรงเข้าไปที่ห้องวิจัยของหมินเว่ยเหวินและผลักเปิดประตูเข้าไปและพบว่าหมินเว่ยเหวินนั้นคลานอยู่บนโต๊ะโทรศัพท์ ซึ่งเย่เชียนก็เดินไปช่วยหมินเว่ยเหวินแต่เขาก็เห็นมีดเล่มหนึ่งปักอยู่ที่หน้าอกของหมินเว่ยเหวินจนทะลุเข้าไปอย่างน่าสยดสยอง
เย่เชียนก็ยื่นมือออกมาและตรวจดูชีพจรของเขาที่คอของหมินเว่ยเหวินแต่ก็พบว่าเขานั้นได้ตายไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหมินเว่ยเหวินนั้นเพิ่งจะตายเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งปรากฏว่าก่อนที่หมินเว่ยเหวินจะถูกฆ่าตายเขากลับเลือกที่จะโทรหาเย่เชียนก่อนและนั่นก็เป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของหมินเว่ยเหวิน
มีดคลื่นโลหิตหมาป่าไม่ได้อยู่บนโต๊ะ ซึ่งเมื่อเห็นฉากนี้เย่เชียนก็รู้ได้ทันทีว่ามีดคลื่นโลหิตเลือดหมาป่าได้ถูกขโมยไปแล้ว อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่เข้าใจเลยว่ามีคนอื่นวางแผนเช่นนี้มานานแล้วหรือเพิ่งจะเริ่มทำเช่นนี้โดยบังเอิญ? ถ้าเรื่องนี่มันถูกจัดเตรียมเอาไว้นานแล้วล่ะก็จะมีใครอื่นที่รู้เรื่องข้อตกลงระหว่างตัวเองกับหมินเว่ยเหวินกัน? ใครจะรู้ได้ว่ามีดคลื่นโลหิตหมาป่านั้นอยู่ที่หมินเว่ยเหวิน?
ซึ่งถ้าคาดเดาแบบนี้เขาก็จะไม่พบอะไรเลย แต่ทว่าตามสภาพแวดล้อมของที่เกิดเหตุนั้นเย่เชียนก็คิดว่าคนที่ทำเช่นนี้นั้นก็คงจะเป็นคนที่หมินเว่ยเหวินรู้จัก เพราะไม่เช่นนั้นแม่บ้านก็ไม่ควรเปิดประตูให้กับใครง่ายๆ อย่างแน่นอนและยิ่งไปกว่านั้นเพราะหมินเว่ยเหวินนั้นพาคนคนนั้นเข้าไปในห้องวิจัยของเขาด้วย
ถ้าหากจะไล่ตามไปตอนนี้เย่เชียนก็รู้ดีว่าเขาตามไปไม่ทันเสียแล้วและเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มที่ไหนและไล่ตามไปทางไหนกันแน่ ซึ่งเมื่อคิดเช่นนี้เย่เชียนก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและโทรหาหลี่ฮ่าวและเล่าให้เขาฟังสั้นๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่นี่ ซึ่งหลี่ฮ่าวเองก็ไม่กล้าที่จะลังเลใดๆ เขาจึงรีบระดมพลหน่วยสืบสวนสอบสวนมาที่นี่ทันที
เย่เชียนก็ยังไม่ได้ไปไหนเขาเพียงแค่เดินออกไปนอกบ้านของหมินเว่ยเหวินและสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก ซึ่งสำหรับการสืบสวนคดีอาชญากรรมนั้นหลี่ฮ่าวก็ถือได้ว่าเป็นมืออาชีพและตอนนี้เย่เชียนก็ต้องการดูว่าเขาจะได้รับข่าวสารอะไรบ้างจากการสืบสวนครั้งนี้
หลังจากนั้นไม่นานเสียงไซเรนของรถตำรวจก็ดังขึ้นและรถตำรวจหลายคันก็หยุดอยู่ตรงหน้าของเย่เชียนซึ่งนำทีมโดยหลี่ฮ่าวที่เดินออกมาจากรถซึ่งเมื่อเขาเห็นเย่เชียนเขาก็รีบทักทายว่า “พี่สองเป็นยังไงบ้าง?” หลี่ฮ่าวถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร” เย่เชียนพูด “เอ็งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสืบสวนคดีอาชญากรรมเพราะงั้นเอ็งต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดีนะ..ฉันอยากรู้ว่าใครเป็นคนทำ” หลังจากนั้นดวงตาของเย่เชียนก็เหมือนจะระเบิดออกมาด้วยความเย็นยะเยือกและอำมหิต
หลี่ฮ่าวเองก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านและเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เชียนถึงได้เดือดดาลขนาดนี้และระหว่างเย่เชียนกับหมินเว่ยเหวินนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร หลังจากหยุดไปชั่วขณะหลี่ฮ่าวก็ถามว่า “แล้วพี่สองรู้ได้ยังไง?”
เย่เชียนนั้นก็รู้ดีว่าหลี่ฮ่าวไม่ได้ซักถามตัวเองดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกรธอะไรและเล่าเรื่องนี้ให้หลี่ฮ่าวฟัง หลังจากนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าใครบังอาจเอาของของฉันไป..หึ! ..มันคงอยากเป็นอาหารให้ไก่กับหมาสินะ” ความโกรธของเย่เชียนก็คลุ้มคลั่งมากยิ่งขึ้นและกลิ่นอายแห่งจิตสังหารและเจตนาฆ่าที่เย็นยะเยือกก็ดูเหมือนจะทำให้อุณภูมิของอากาศรอบๆ ลดลงจนเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดตามหลี่ฮ่าวอยู่อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านและจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาไม่เคยพบเย่เชียนและแน่นอนว่าพวกเขานั้นไม่ชัดเจนเกี่ยวกับตัวตนของเย่เชียนเลย ซึ่งหลังจากฟังคำพูดของเย่เชียนแล้วสีหน้าของเขาพวกเขาไม่สงสัยเกี่ยวกับคำพูดของเย่เชียนเลย เพราะพวกเขารู้สึกได้จริงๆ ว่าถ้าหากพวกเขาบอกข้อมูลการสืบสวนต่างๆ ให้เย่เชียนรู้จริงๆ ว่าคนคนนั้นเป็นใครล่ะก็เย่เชียนคงจะไปล้างบางครอบครัวของคนคนนั้นอย่างแน่นอน
“พี่สองกลับไปก่อนเถอะ..ปล่อยที่นี่ให้ผมจัดการเอง..ถ้ามีข่าวอะไรผมจะรีบแจ้งให้พี่ทราบเอง” หลี่ฮ่าวพูด
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “งั้นก็ฝากด้วย..ฉันขอตัวก่อน!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เดินกลับไปที่รถของเขา
หลี่ห่าวเฝ้าดูรถของเย่เชียนขับออกไปและถอนหายใจเบาๆ และพึมพำว่า “มันจะเป็นยังไงกันนะ..ถ้าเกิดพายุนองเลือดขึ้นอีกครั้ง” หลี่ฮ่าวและเย่เชียนนั้นสนิทกันตั้งแต่พวกเขายังเด็กและหลี่ฮ่าวก็รู้จักนิสัยของเย่เชียนดี ซึ่งเย่เชียนนั้นเป็นคนที่คอยปกป้องความยุติธรรมเป็นอย่างมากและถ้าหากมีดคลื่นโลหิตหมาป่านั้นเป็นเพียงอาวุธธรรมดาๆ บางทีเย่เชียนอาจจะไม่ทำอะไรมากจนเกินไป แต่ทว่ามีดคลื่นโลหิตหมาป่านั้นต้องแลกมาด้วยแขนของอู๋หวนเฟิงหนึ่งข้างซึ่งมันมีความหมายมากมายกับเย่เชียนและสิ่งต่างๆ ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย
“หัวหน้าครับ..เขาเป็นใครหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย
“คุณไม่ได้ฟังที่ผมเรียกเขาว่าพี่สองเลยหรอ?” หลี่ห่าวพูดต่อ “เขาคือเย่เชียน..คนที่คุมเมืองเซี่ยงไฮ้อยู่ตอนนี้!”
หลังจากได้ฟังคำพูดของหลี่ฮ่าวแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นก็ถึงกับสั่นสะท้านเพราะพวกเขามักจะได้ยินชื่อเย่เชียนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างพวกเขาจะตรงกันข้ามกับเหล่านักเลงบนท้องถนนก็ตาม แต่ทว่าเย่เชียนนั้นไม่ใช่นักเลงตามท้องถนนแต่อย่างใดเพราะเย่เชียนนั้นมีชื่อเสียงมากมายบนท้องถนนมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เคยได้ยินชื่อของเย่เชียน อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็มักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยออกมาแสดงตัวต่อสาธารณะ ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนจำนวนมากไม่เคยเห็นหน้าคาดตาเขาและเพียงแค่รู้ชื่อของเย่เชียนเพียงเท่านั้น
“เข้าไปไป!” หลี่ห่าวโบกมือและเดินเข้าไปในบ้านของหมินเว่ยเหวินพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนอื่นๆ
ถึงแม้ว่ามันจะไม่จำเป็นก็ตามแต่เย่เชียนก็ยังโทรไปหานักประเมินโบราณวัตถุอีกสองคนและบอกพวกเขาถึงเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงจะคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน ดังนั้นเย่เชียนจึงต้องโทรไปบอกพวกเขาก่อนถึงจะไม่จำเป็นก็ตาม จากนั้นเย่เชียนก็ได้โทรไปหาแจ็คและบอกให้เขาหาคนตรวจสอบภูมิหลังของหมินเว่ยเหวินและหาคนที่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมดที่เมื่องเซี่ยงไฮ้เมื่อเร็วๆ นี้อย่างเคร่งครัด
เรื่องนี้นั้นก็ไม่สามารถคลี่คลายได้ในวันหรือสองวัน ดังนั้นเย่เชียนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องรอ ซึ่งแต่เดิมนั้นเย่เชียนก็มีแผนจะไปหาฉินหยูและหลังจากนั้นก็ค่อยไปที่มณฑลกวางตุ้งเพื่อตรวจสอบสิ่งต่างๆ แต่ทว่าดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันฉันแล้วสิ่งต่างๆ จะต้องล่าช้าออกไปเป็นแน่
……
ไม่กี่วันต่อมาเย่เชียนก็มักจะอยู่แต่ในบ้านยกเว้นแค่การไปรับไปส่งเย่หลินจากโรงเรียนอนุบาลในตอนเช้าและตอนเย็น เพราะเนื่องจากซ่งหลันนั้นกำลังจะเดินทางไปทำธุรกิจจึงทำให้อู๋หวนเฟิงต้องตามเธออย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้บอกเขาถึงเรื่องนี้เพราะอู๋หวนเฟิงจะต้องกังวลอย่างมากถ้าเขารู้ว่าคลื่นโลหิตหมาป่าถูกขโมยไปและเขาก็คงจะรีบกลับมาโดยไม่ลังเลใดๆ อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับความรู้สึกของเขาที่มีต่อคลื่นโลหิตหมาป่าเพราะมันเป็นสิ่งที่เขามอบให้กับเย่เชียนและมันจะไม่มีใครสามารถแย่งชิงมันไปได้
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก็ยังทำให้เย่เชียนดูมีความสงบอยู่สองสามวันและถึงแม้ว่าหัวใจของเย่เชียนจะไม่สามารถสงบลงได้เมื่อเผชิญหน้ากับหลินโรวโร่วและเย่หลินแล้วเย่เชียนก็ยังคงต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะเกรงว่าพวกเธอจะกังวลเกี่ยวกับตัวเองอีกครั้ง
สำหรับสถานการณ์ในไต้หวันนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเนื่องจากชิงเฟิง,หูวเค่อ,เฉินโม่และเหลียงหยานอยู่ที่นั่นเย่เชียนก็เชื่อว่ามันควรจะใกล้สำเร็จแล้วและยิ่งไปกว่านั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะมันเหลือแค่การดำเนินทางธุรกิจและการรวบรวมข้อมูลต่างๆ บางส่วนเท่านั้นและเมื่อทุกอย่างพร้อมเย่เชียนก็จะเริ่มโจมตีอย่างแน่นอน
เพราะเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการได้รับมีดคลื่นโลหิตหมาป่ากลับคืนมาโดยเร็วที่สุด!
ไม่กี่วันต่อมาในที่สุดข้อมูลหน่วยข่าวกรองของแจ็คก็มาถึงโดยเป็นข้อมูลของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับหมินเว่ยเหวินและบางคนถูกสงสัยว่าเป็นเป้าหมายของเย่เชียนจากการวิเคราะห์อย่างรอบคอบของแจ็คนั้นพบว่ามีอยู่สามคนที่เข้าข่ายเป็นผู้ลงมือเพราะพวกเขาเหล่านั้นไม่มีหลักฐานการยืนยันตัวตนในช่วงเวลานั้นๆ และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็มักจะก่ออาชญากรรมอีกด้วย
ทันใดนั้นหลี่ห่าวก็ส่งข่าวว่าผ่านวิดีโอเฝ้าระวังในละแวกใกล้เคียงและตามท้องถนนว่าพวกเขาเริ่มระบุตัวบุคคลผู้ก่อเหตุได้แล้วและให้เย่เชียนไปพบพวกเขา
.
.
.
.
.
.
.