ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 420 สมาคมแม่ม่ายดำ
ตอนที่ 420 สมาคมแม่ม่ายดำ
บอดี้การ์ดของจือเหวินก็จ้องมองไปที่เย่เชียนและพูดอย่างดูถูกเล็กน้อยว่า “เย่เชียนเป็นใครฉันไม่รู้จัก! ..หัวหน้าของเราไม่รับแขก!”
บ่อยครั้งที่มักจะมีสุนัขเฝ้าบ้านอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นโจวหยวนก็ตะโกนและรีบเดินไปข้างหน้าแต่ทว่าเย่เชียนก็รีบเอื้อมมือไปห้ามเขาเอาไว้เพราะมันไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้ในเมื่อคนประเภทนี้มักจะสื่อสารไม่รู้เรื่อง ดังนั้นเย่เชียนจะไปสนใจเขาทำไม?
เย่เชียนก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มจางๆ และพูดว่า “ไม่เป็นไร..ถ้าคุณไม่รู้จักก็ช่าง..ผมมาหาหัวหน้าของคุณ..เพราะถ้าคุณรู้จักผมคุณก็คงไม่เป็นเหมือนทุกวันนี้หรอกใช่ไหม” เย่เชียนพูดอย่างไม่แยแสราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรใดๆ อย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับไปคิดดูว่าคำพูดของเย่เชียนนั้นหมายถึงอะไรแล้วล่ะก็พวกเขาก็แทบจะกระอักเลือดออกมาและรอไม่ไหวที่จะสั่งสอนบทเรียนให้กับเย่เชียน
อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปที่ท่าทางที่ดูสงบและสุขุมของเย่เชียนแล้วบอดี้การ์ดเหล่านั้นไม่กล้าที่จะเพิกเฉยแต่อย่างใดเพราะถ้าหากเย่เชียนเป็นเพื่อนของจือเหวินล่ะก็พวกเขาก็จะต้องทนทุกข์ทรมาน ซึ่งถึงแม้ว่าปกติแล้วจือเหวินจะดูอ่อนโยนมากก็ตามแต่เมื่อไหร่ที่เธอเริ่มโกรธเกรี้ยวขึ้นมาแล้วล่ะก็จะไม่มีอะไรหยุดยั้งเธอได้เลย
หลังจากนั้นไม่นานบอดี้การ์ดก็พูดว่า “ตามมาสิ!” หลังจากพูดเสร็จแล้วเขาก็หันหลังเดินเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนและโจวหยวนก็เดินตามเข้าไป
เย่เชียนก็หันหน้าไปมองโจวหยวนและพูดว่า “จำเอาไว้ว่าอย่าพูดอะไรโดยที่ฉันยังไม่ได้สั่ง!”
โจวหยวนก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ผมรู้ครับพี่สอง!” อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นนักเลงหรือตำแหน่งทางการนั้นพวกเขาก็ล้วนรู้จักสถานะและจุดยืนของตนเองเสมอ ซึ่งถ้าหากจือเหวินและเย่เชียนเป็นเหมือนหัวหน้าองค์กรล่ะก็โจวหยวนก็เป็นได้แค่ลูกน้องเท่านั้นดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์พูดอะไรตามอำเภอใจได้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็คงจะอยู่ในสังคมแบบนี้ไม่ได้
เนื่องจากเย่เชียนนั้นมีความตั้งใจที่จะฝึกฝนโจวหยวนดังนั้นเย่เชียนจึงควรที่จะพาเขาไปรอบๆ เพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้และเปิดหูเปิดตาและรับประสบการณ์มากขึ้นและให้เขาได้เผชิญหน้ากับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมันจะส่งผลดีต่อพัฒนาการในอนาคตของเขา ซึ่งเย่เชียนนั้นชอบคนที่คอยฟังและเรียนรู้และเขาก็ไม่ชอบคนที่พูดเก่งแต่ไม่มีหัวคิด
โอกาสดีๆ นั้นไม่ได้มีทุกวันเพราะมันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ได้ ดังนั้นโจวหยวนจึงต้องระมัดระวังสิ่งต่างๆเป็นอย่างมากและอาศัยโอกาสเช่นนี้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ของเขา
เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านแล้วเย่เชียนก็ยื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “ส่งให้หัวหน้าจือที!”
บอดี้การ์ดรับมันแล้วเดินเข้าไปในบ้านและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็เดินออกมาอีกครั้งและมองไปที่เย่เชียนแล้วพูดว่า “หัวหน้าอนุญาตให้คุณเข้าไปได้..ขออภัยด้วยพวกเขาจำเป็นต้องตรวจค้นก่อน!”
เย่เชียนก็ยกมือขึ้นให้พวกเขาตรวจสอบตามร่างกายและหลังจากนั้นก็เดินเข้าไปภายใต้การนำทางของบอดี้การ์ด
เมื่อไปถึงระเบียงเขาก็เห็นผู้หญิงวัยสามสิบนั่งอยู่ที่นั่นพร้อมกับถ้วยกาแฟตรงหน้าเธอและคีบบุหรี่เอาไว้ระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือซ้ายของเธอ ซึ่งผู้หญิงคนนี้สวมแว่นตาดำและสูทมืออาชีพซึ่งคล้ายกับผู้หญิงในบริษัทและองค์กรต่างๆ อย่างมาก อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องยากที่จะซ่อนวิญญาณที่ชั่วร้ายของเธอเอาไว้
จือเหวินนั้นเคยเป็นนักศึกษาระดับแนวหน้าของมหาวิทยาลัยการเงินและเศรษฐศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งในเวลานั้นเธอยังมีความคิดที่สวยงามสำหรับอนาคตเรียบง่ายและน่ารักสดใสตามวัยรุ่น ในช่วงที่เธอสมัครงานนั้นเธอก็ถูกหัวหน้าของบริษัทแห่งหนึ่งที่เธอไปฝึกงานด้วย ซึ่งชายชราคนนั้นเป็นคนที่น่าสมเพชอย่างมากซึ่งเขาได้วางยาเธอโดยใส่ยาเอาไว้ในไวน์ของเธอและเมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นเธอก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของโรงแรมและข้างๆ เธอก็มีชายชรานอนอยู่ด้วยโดยสูบบุหรี่ด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นเขาก็หยิบเช็คเงินสดมูลค่า 50,000 หยวนแล้วส่งให้เธอโดยบอกว่ามั่นใจได้เลยว่าเขาจะไม่ปฏิบัติต่อเธออย่างเลวร้ายและพรุ่งนี้เธอไปทำงานที่บริษัทของเขาในฐานะเลขาของเขา
ตั้งแต่นั้นมาจือเหวินก็รู้สึกว่าโลกกำลังหมุนไปอย่างเลวร้ายและเธอก็นึกไม่ถึงเลยว่าโลกใบนี้จะมีคนที่น่ารังเกียจเช่นนี้อยู่ในสังคมนี้ด้วย ซึ่งด้วยความโกรธเกรี้ยวเธอก็ฉีกเช็คเงินสดทิ้งและตะโกนว่าเธอจะต้องฟ้องร้องเขาและทำให้เขาติดคุกไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามชายชราก็พูดอย่างมั่นใจว่าจือเหวินนั้นกำลังทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์เพราะเครือข่ายของเขานั้นมีอิทธิพลอย่างยิ่ง
จากนั้นมาก็ไม่มีใครคิดเลยว่าจือเหวินที่ดูอ่อนแอจากภายนอกนั้นจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เพราะถึงดูด่าถูกว่าครั้งแล้วครั้งเล่าและไม่เพียงแค่นั้นเพราะเธอยังถูกชายชราทุบตีและข่มขู่เธอว่าถ้าหากเธอทำอะไรโง่ๆ อีกเขาจะฆ่าทั้งครอบครัวของเธอให้หมด
สำหรับจือเหวินที่สูญเสียพรหมจรรย์ของเธอไปมันก็เท่ากับว่าเธอนั้นได้ตายไปแล้ว อย่างไรก็ตามเธอจะไปทำร้ายครอบครัวของตัวเองได้อย่างไร? เพราะถ้าหากการร้องเรียนและฟ้องร้องล้มเหลวล่ะก็ทั้งเธอและครอบครัวต่างก็ต้องพบเจอกับเรื่องที่แล้วร้ายซึ่งมันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไปและมีทางเลือกเดียวก็คือการฆ่าตัวตาย
คืนหนึ่งเธอมาที่แม่น้ำซงฮัวและมองดูน้ำในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวพร้อมกับสายลมยามราตรีที่พัดผ่านเสื้อผ้าบางๆ ของเธอ ซึ่งในเวลานั้นเธอก็เหมือนกับหญ้าต้นเล็กๆ ที่แกว่งไปมาอย่างไร้หนทางในคืนที่มีลมแรงและฝนตก เมื่อหยางเทียนได้เห็นจือเหวินครั้งแรกหยางเทียนก็มั่นใจว่าเธอจะต้องอยู่เพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อคนอื่นเพียงเพราะจือเหวินนั้นมีเงาของแม่ของเขาอยู่บนร่างของเธอและเธอก็เหมือนกับเขาอย่างมากเมื่อเขายังเด็ก
ปีนั้นหยางเทียนอายุสามสิบเอ็ดปีและจือเหวินอายุเพียงยี่สิบสองปี
ในคืนนั้นจือเหวินไม่ได้ฆ่าตัวตายเพราะได้รับการช่วยเหลือจากหยางเทียน ซึ่งเมื่อจือเหวินตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไปนั้นเธอก็เห็นใบหน้าแปลกๆ ตรงหน้าจนจือเหวินกอดร่างของเธอเอาไว้แน่น ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นชายตรงหน้าก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยเพราะบางทีนี่อาจเป็นมุมที่อ่อนโยนที่สุดในชีวิตของเขา ซึ่งหยางเทียนก็มองไปที่จือเหวินและยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “ฉันหิวแล้ว..ฉันกำลังจะทำโจ๊ก..เธออยากกินไหม? ”
มันรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างมากเพราะในขณะนั้นจือเหวินก็ถูกชายตรงหน้าพิชิตใจไปอย่างสมบูรณ์ จนเธอตัวสั่นโดยไม่รู้ตัวและเริ่มสะอึกสะอื้นออกมา ซึ่งเธอนั้นเป็นคนที่เข้มแข็งมาโดยตลอดเพราะแม้ว่าเธอจะถูกชายชราขโมยความบริสุทธิ์ของเธอไปและถึงแม้ว่าเธอจะถูกทุบตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าและถึงแม้ว่าเธอจะถูกชายชราจ้างพวกอันธพาลมาทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตามแต่เธอก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ทว่าในขณะนี้คำพูดที่แผ่วเบาของชายคนหนึ่งได้สัมผัสส่วนที่เปราะบางที่สุดในหัวใจของเธอจนเธอร้องไห้และโศกเศร้าเสียใจและทำอะไรไม่ถูก ในตอนนั้นเธอเหมือนกับหญ้าต้นเล็กๆ ท่ามกลางสายลมและพายุฝนที่โหมกระหน่ำ
ชายคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ เขาเพียงแค่มองเธออย่างเงียบๆ โดยไม่มีคำปลอบโยนใดๆ เพราะเขาคนนี้เคยฆ่าผู้คนมานับไม่ถ้วนในชีวิตของเขาและมีจิตใจที่โหดร้ายและไม่เคยทำดีเลยสักครั้งแต่เมื่อเผชิญหน้ากับหญิงสาวคนนี้แล้วดูเหมือนว่าหัวใจของเขาจะถูกเปิดออกมา
เมื่อจือเหวินร้องไห้เสร็จชายคนนั้นก็เช็ดน้ำตาให้เธอและลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัวเพื่อนำชามโจ๊กมาให้เธอ ซึ่งโจ๊กชามนี้เป็นโจ๊กที่เขาทำเองและเขาก็ไม่เคยทำโจ๊กให้ใครมาก่อนซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเขา
ผู้ชายคนนั้นก็ดูแลเธออย่างระมัดระวังราวกับว่าเขากำลังบอกเธอโดยไม่ได้ตั้งใจว่าชีวิตจะไม่มีอุปสรรคใดๆ ถ้าหากเธอรู้จักถนอมตัวเองซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะผู้คนที่เดินเข้ามาสู่เมืองใหญ่ซึ่งล้วนเป็นเหมือนสุนัขจรจัดกันทั้งนั้น
จือเหวินก็เล่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเธอให้ผู้ชายคนนั้นฟังแต่ทว่าการแสดงออกของผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนไปราวกับว่าเขาไม่มีความโกรธเกรี้ยวและไม่มีการดูถูกเหยียดหยามแต่อย่างใด เขาเพียงแค่รับฟังอย่างเฉยเมยราวกับว่าเขาได้ฟังสิ่งที่ได้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย
อย่างไรก็ตามในค่ำคืนนั้นผู้ชายคนนั้นได้นำตัวชายชรามาหาจือเหวินพร้อมกับคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับมัดมือมัดเท้าและอ้อนวอนพร้อมน้ำตา ซึ่งการแสดงออกของผู้ชายคนนี้ก็ยังคงสงบเสงี่ยมราวกับว่าเขาสามารถจัดการได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการอย่างไงอย่างงั้น
จือเหวินก็มองไปที่ชายชราที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความโกรธเกรี้ยวและเจตนาฆ่าในใจของเธอ ซึ่งในตอนนี้หัวใจของเธอก็กำลังเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จนเธอไม่ใช่เด็กสาวที่ไร้เดียงสาและใจดีอีกต่อไปเพราะในตอนนั้นเธอกลายเป็นงูพิษที่ทุกคนต่างหวาดผวา
เมื่อฟังเสียงร้องไห้และคำวิงวอนของชายชราแล้วจือเหวินก็หัวเราะและรอยยิ้มชั่วร้ายที่ดูมีความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอและเธอก็รีบพุ่งเข้าไปกัดหูของชายชราอย่างดุเดือดและกัดอย่างรุนแรงจนกลายเป็นฉากที่น่าสังเวช ซึ่งชายชราก็กรีดร้องอย่างโหยหวน ซึ่งเขาก็คิดในใจว่าถ้าหากเขามีโอกาสกลับมาแก้แค้นอีกล่ะก็เขาก็จะไม่เลือกที่จะคุกคามจือเหวินเลย
ซึ่งตอนนั้นจือเหวินก็กัดชายชราด้วยฟันของเธอและในที่สุดเธอก็กัดคอของชายชราอย่างรุนแรงและกัดคอของเขาอย่างรุนแรงจนร่างของชายชราล้มลมบนกองเลือด ส่วนจือเหวินก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความคับแค้นใจ และหลังจากนั้นมาเธอก็สาบานเอาไว้ว่าเธอจะไม่หลั่งน้ำตาอีกต่อไปแล้วและครั้งนั้นก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอหลั่งน้ำตาออกมา แม้เมื่อหยางเทียนเสียชีวิตลงจือเหวินก็จะไม่หลั่งน้ำตาจนบางคนบอกว่าเธอเป็นแม่ม่ายดำแต่เธอก็ไม่สนใจเพราะเธอคิดว่าการหลั่งน้ำตานั้นเป็นสัญญาณของความขี้ขลาดและเธอก็รู้ว่าหยางเทียนนั้นก็ไม่อยากเห็นเธอร้องไห้
ผู้ชายคนนั้นก็โบกมือและสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชายกศพของชายชราออกไปและหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเลือดจากมุมปากของจือเหวินแล้วค่อยๆ พูดว่าทำไมเธอถึงได้โง่จังเพราะโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่ามีด ซึ่งเธอก็จินตนาการว่าผู้ชายคนหนึ่งที่พกผ้าเช็ดหน้าสีขาวซึ่งดูเหมือนจะไม่เข้ากับความหมายและชื่อของชายคนนั้นเลย
ต่อมาจือเหวินได้รู้ชื่อของผู้ชายคนนั้นซึ่งเขาชื่อว่าหยางเทียนซึ่งเป็นชื่อที่น่ากลัวที่ดังกึกก้องไปทั่วดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเป็นบุคคลที่สามารถทำให้ทุกคนในเมืองหลวงอย่างกรุงปักกิ่งตกใจได้ และหลังจากนั้นมาเธอก็ได้ติดตามหยางเทียนและมักจะออกไปสังสรรค์กับเขาและต่อหน้าผู้คนมากมายเขาก็มักจะบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงของเขาเอง แต่ทว่าเขาก็ไม่เคยแตะต้องและล่วงเกินเธอเลย
บางครั้งความรู้สึกระหว่างชายและหญิงก็ไม่สามารถอยู่ระหว่างบนเตียงกับบนพื้นได้ เธอเองก็ไม่ได้ถามว่าเขาทำไปทำไมและหยางเทียนก็ไม่ได้บอกว่าทำไม ซึ่งทั้งสองคนนั้นเข้ากันได้ดีอย่างมากเพราะเขาสอนทุกสิ่งที่เขารู้ให้แก่เธอและขอให้ใครหลายๆ คนมอบสิ่งที่เขาไม่รู้แก่เธอมากมาย ซึ่งตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นเธอเขาก็รู้สึกได้ว่าเขาได้พบเจอกับเหตุผลที่จะมีชีวิตต่อไปและถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถมอบโลกนี้ให้กับเธอได้ก็ตามแต่เขาก็ต้องมอบโลกของเขาให้กับเธอแทน
.
.
.
.
.
.
.