ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 422 การเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 422 การเปลี่ยนแปลง
เสือกับหมาป่ามาเผชิญหน้ากันโดยมิได้นัดหมายแล้วระหว่างเสือกับหมาป่าใครจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่ากัน?
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็มองเย่เชียนจากหัวจรดเท้าและหลังจากนั้นเขาก็เดินตรงไปที่ระเบียงพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาและเขาก็พูดว่า “หัวหน้าจือช่างเป็นคนที่สง่างามจริงๆ ..คุณมาอาบแดดอยู่ที่นี่เหรอ”
สายตาของเย่เชียนก็หรี่ลงเล็กน้อยและเขาก็แอบคิดว่า ‘ฉายาเสือยิ้มนั้นมันช่างเหมือนกับในข้อมูลที่ได้มาจริงๆ’ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้วางแผนที่จะอยู่ที่นี่ต่อเพราะเขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระหว่างพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่และแม่ม่ายดำจือเหวินแต่อย่างใด ซึ่งเย่เชียนก็หันกลับมายิ้มเล็กยิ้มน้อยให้กับแม่ม่ายดำจือเหวินและหลังจากนั้นเย่เชียนก็เดินออกไป
สิ่งที่เย่เชียนไม่เข้าใจก็คือภายใต้บรรยากาศที่ตึงเครียดเช่นนี้ทำไมพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ถึงได้เข้ามาหาจือเหวินด้วยตัวเองเช่นนี้และยิ่งไปกว่านั้นเขายังมาในรูปแบบที่เป็นมิตรเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามในตอนนี้เย่เชียนนั้นมุ่งความสนใจเป็นพิเศษไปที่ชายต่างชาติที่ติดตามพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่มา หรือเป็นไปได้ไหมว่าการที่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่มาในครั้งนี้นั้นเป็นเพราะชาวต่างชาติคนนั้น?
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะเขาต้องตามหาถังเหวยซวนเพื่อทวงมีดคลื่นโลหิตหมาป่าเลือดกลับคืนมาดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาไปสนใจกับเรื่องอื่นๆ มากนัก
หลังจากออกจากบ้านของแม่ม่ายดำจือเหวินแล้วโจวหยวนก็กลับมามีสติอีกครั้งและเขาก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากและพูดว่า “ความกดดันของผู้หญิงคนนั้นรุนแรงเกินไป..เมื่อกี้นี้ผมแทบจะหายใจไม่ออกราวกับว่าหัวใจของผมมันเกือบจะระเบิดออกมา”
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีมาแต่กำเนิดหรอก..ถ้าหากเอ็งได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ มากกว่านี้ล่ะก็เอ็งก็จะมีออร่าและแรงกดดันแบบนั้นเอง..ถ้าเอ็งได้สัมผัสกับประสบการณ์แบบเดียวกันกับเธอคุณล่ะก็..เอ็งก็จะเป็นแบบเธอ..แต่ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงจะต้องรู้วิธีควบคุมขอบเขตของพวกเขาและพวกเขาจะปล่อยมันออกมาเมื่อจำเป็นเท่านั้น”
“ผมก็คิดแบบนั้นครับพี่สอง” โจวหยวนพูด
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “เมื่อกี้นี้เอ็งเห็นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ไหม..ไหนลองบอกฉันมาทีสิว่าความรู้สึกแรกของเอ็งเป็นยังไง? ”
“มีเล่ห์เหลี่ยมที่ร้ายกาจ!” โจวหยวนตอบ “เพราะเสือยิ้มน่ะถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็ตามแต่ทว่าภายในดวงตาของเขานั้นก็เต็มไปด้วยวิญญาณที่ชั่วร้ายและความร้ายกาจ..ซึ่งนั่นเป็นคนประเภทที่ยากที่จะจัดการ..ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำยังไงเมื่ออยู่ใต้จมูกเขา”
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ไม่ว่าใครจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนแต่ถึงยังไงแต่ละคนต่างก็ต้องมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนและทุกคนก็มีพลังของและความสามารถเป็นของตัวเอง..อันที่จริงถ้าพูดถึงด้านเล่ห์เหลี่ยมล่ะก็จือเหวินอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่..แต่ในแง่ของกองกำลังนั้นจือเหวินได้เปรียบมากกว่าเพราะผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอเป็นคนที่ยึดมั่นในกฏและมีความภักดีอย่างยิ่ง..มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่เธอมาถึงจุดนี้ได้”
“พี่สองไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่เป็นเหมือนไฟและน้ำหรอกหรือ? ..เพราะถ้าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ประมาทเมื่อไหร่จือเหวินจะไม่จัดการกับเขาหรือ?” โจวหยวนถามอย่างสงสัย
“ถ้าเขาไม่ได้มีความกล้าหาญขนาดนี้ชื่อของเขาพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลีก็คงจะถูกลบออกไปนานแล้ว..ในฐานะผู้นำที่มีคุณสมบัติที่ดีน่ะต้องไม่เพียงแค่ต้องการความฉลาดเท่านั้น..เพราะความกล้าก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน..บางครั้งเอ็งก็ต้องกล้าและไม่หวั่นเกรงเพราะมันคือหนทางเดียวที่จะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่มรคุณบัติมากพอได้อย่างเย่เชียนคนนี้ยังไงล่ะ!” เย่เชียนพูดอย่างไม่หยุดพักเพราะตอนนี้เขาได้ตัดสินใจที่จะฝึกฝนโจวหยวนแล้ว ดังนั้นเย่เชียนก็จะไม่ลังเลที่จะใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อทำให้โจวหยวนเรียนรู้สิ่งต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อให้เขาสามารถเป็นผู้ช่วยที่เก่งที่สุดของเขา
“ผมจะจำเอาไว้ครับพี่สอง..ขอบคุณครับ!” โจวหยวนก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นและพูด ตามคำพูดในสมัยก่อนว่าการเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากคนดีนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไร้สาระเลย อาจพูดได้ว่ามันเป็นเหมือนทางลัดที่มีคนที่ประสบความสำเร็จอยู่เคียงข้างเราและเราก็สามารถใช้ทางอ้อมได้หลายทางเมื่อมีคนคนนั้นคอยชี้นำ
“เอาล่ะ..ไปเที่ยวกันเถอะ! ..ถึงยังไงพวกเราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว..เราทำได้แค่รอข่าวของจือเหวินเท่านั้น” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มและหลังจากนั้นเขาก็ขับรถไปยังสถานที่ที่มีชื่อเสียงของเมืองเสิ่นหยาง ซึ่งรถที่เย่เชียนเช่ามานั้นก็ไม่ได้หรูหรามากแต่เป็น Nissan Navara ที่ดุดันแบบสุภาพบุรุษ
หลายวันที่ผ่านมานั้นเย่เชียนก็พาโจวหยวนไปที่สโมสรระดับไฮเอนด์ทุกๆ วันเพื่อให้เขาได้สัมผัสกับบรรยากาศของคนที่ประสบความสำเร็จและให้เขาใส่ใจกับคำพูดและการกระทำของคนที่เรียกว่าผู้สำเร็จ แต่ถึงยังไงเย่เชียนก็ยังไม่ยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเพราะเขามักจะคิดว่าเขาเป็นคนเลวที่มีความสำเร็จเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนเลวแต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้คนที่อยู่ข้างล่างเขาเป็นคนเลวได้เนื่องจากเขาตั้งใจที่จะปลูกฝังโจวหยวนแล้วเขาจึงต้องทำให้โจวหยวนเรียนรู้การพูดคุยและการกระทำของคนเหล่านี้
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ยังคงให้ความสำคัญกับจุดประสงค์หลักในทุกๆ วันเพราะเขาได้ติดต่อกับเหล่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยข่าวกรองเขี้ยวหมาป่าเพื่อให้พวกเขาคอยรายงานข่าวคราวและข้อมูลล่าสุดให้ตัวเองในทุกๆ วันอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสถานการณ์ในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือในตอนนี้นั้นก็ตึงเครียดอย่างมากและอาจพูดได้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ วันเลยด้วยซ้ำจนเย่เชียนยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจอะไร ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าเขาไม่ได้อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระหว่างกลุ่มพยัคฆ์แดนเหนือกับสมาคมแม่ม่ายดำก็ตามแต่ใครจะรับประกันได้ว่าในอนาคตสิ่งต่างๆ จะเป็นเช่นไร? ดังนั้นการวางแผนรับมือล่วงหน้านั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่ดีเสมอ
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาสถานการณ์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนแห่งนี้ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็วเพราะสถานที่ที่อยู่ในการดูแลของสมาคมแม่มายดำหลายแห่งก็ถูกโจมตีโดยคนของกลุ่มพยัคฆ์แดนเหนือ ซึ่งเย่เชียนก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ กลุ่มพยัคฆ์แดนเหนือถึงได้ทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้หรืออาจเป็นเพราะมีบางอย่างที่ไม่ลงรอยกันในวันนั้นก็เป็นได้
แต่ทว่าในด้านของจือเหวินนั้นก็ดูแปลกประหลาดอย่างมากสำหรับคนนอกเพราะปรากฏว่าสมาคมแม่ม่ายดำกลับไม่มีการตอบโต้ใดๆ เลยแม้แต่น้อย เพราะหลังจากที่สถานที่ของเธอโดนบุกโจมตีเป็นจำนวนหลายแห่งติดต่อกันแต่เธอก็ยังไม่ได้ตอบโต้กลับเลยแต่ดูเหมือนว่าเธอจะเน้นไปที่การป้องกันอาณาเขตของตัวเองเสียมากกว่า
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเมื่ออ่านข้อมูลที่ถูกส่งมาโดยหน่วยข่าวกรองของเขี้ยวหมาป่า ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับจือเหวินในตอนนี้ไม่เช่นนั้นเขาก็จะต้องไปขอความช่วยเหลือจากพยัคฆ์แดนเหนือแทนและเมื่อเป็นเช่นนั้นสิ่งต่างๆ ก็น่าจะเป็นปัญหาอย่างมากในตอนนั้น อย่างไรก็ตามจากการกระทำต่างๆ ของจือเหวินนั้นเย่เชียนก็รู้สึกเบาๆ ว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะมา นั่นก็เพราะว่าการกระทำของจือเหวินที่ผ่านมานั้นมันไม่ใช่ความกลัวหรือความขี้ขลาดแต่อย่างใด ซึ่งมันเป็นการเตรียมการก่อนสงครามครั้งใหญ่จะเริ่มนั่นเอง
พยัคฆ์แดนเหนือปะทะแม่ม่ายดำ! ซึ่งไม่มีใครกล้าคาดเดาเลยว่าใครจะเป็นผู้ที่ชนะหรือใครจะเป็นผู้ที่แพ้กันแน่
ในมุมมองของเย่เชียนนั้นสาเหตุที่พยัคฆ์แดนเหนือจู่โจมอย่างรุนแรงนั้นก็อาจจะเป็นเพราะเหตุผลที่สำคัญมากไม่เช่นนั้นคนอย่างพยัคฆ์แดนเหนือก็คงจะไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอนเพราะเขาควรเลือกวิธีที่ร้ายกาจและมีไหวพริบมากกว่านี้ บางทีอาจมีบางอย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือมีกองกำลังอื่นๆ ที่เข้ามาแทรกแซงซึ่งทำให้พยัคฆ์แดนเหนือเปลี่ยนรูปแบบการทำสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม
เย่เชียนนั้นได้บอกการคาดเดาของเขาในอนาคตให้กับเหล่าเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของเขี้ยวหมาป่าและบอกให้พวกเขามุ่งเน้นไปที่การสืบค้นข้อมูลต่างๆ ในเรื่องนี้ เพราะเย่เชียนนั้นต้องการรู้ว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลังพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ที่ทำให้กลุ่มพยัคฆ์ตะวันออกเฉียงเหนือทำเช่นนี้
แต่ทว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเย่เชียนก็ไม่ได้ผ่อนคลายเลยเพราะเขามักจะฝึกฝนโจวหยวนและจะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในทุกๆ วันเพื่อสอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาเพื่อให้เขามีความสามารถรอบด้านยิ่งขึ้นและสอนเทคนิคการฆ่าศัตรูอีกด้วย ผู้ช่วยที่เย่เชียนต้องการนั้นจะต้องไม่ใช่คนที่เล่นตุกติกได้เท่านั้นและถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนฉลาดก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็ต้องฝึกฝนให้รอบด้านอีกด้วย นั่นก็เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เขาเผชิญหน้ากับอำนาจที่ทรงพลังหรือแผนการใดๆ ก็ตามเขาจะได้ไม่ถูกทำลายจนย่อยยับไป
ซึ่งวันนี้เองก็เป็นไปตามปกติในห้องพักของโรงแรมนั้นเย่เชียนก็สอนเทคนิคการต่อสู้ให้โจวหยวนและถึงแม้ว่าเวลาจะสั้นจนอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่มากนักแต่ตราบใดที่โจวหยวนสามารถยืนหยัดอยู่ได้ล่ะก็การกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนกับการฝึกเพื่อเป็นสมาชิกของเขี้ยวหมาป่าก็ตามแต่ทุกคนก็สามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบได้และเย่เชียนก็เชื่อว่าในหลายๆ กรณีโจวหยวนจะสามารถช่วยชีวิตตัวเองให้รอดในสถานการณ์ต่างๆ ได้
อย่างไรก็ตามการเรียนรู้นั้นก็เป็นทฤษฎีและที่สำคัญก็ต้องมีการฝึกฝนอยู่เสมอและการที่เราจะเรียนรู้อะไรนั้นเราก็ต้องลองปฏิบัติเท่านั้นถึงจะสามารถเรียนรู้ได้เต็มประสิทธิภาพ ประสบการณ์นั้นสามารถรับรู้ได้หลังจากการต่อสู้อันยาวนานเท่านั้น
จู่ๆ ในเวลานี้เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นและเย่เชียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเมื่อเหลือบไปมองก็ปรากฏว่ามันคือสายของจือเหวิน หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็รับสายซึ่งจือเหวินนั้นไม่ได้พูดอะไรมากทางโทรศัพท์เพียงแต่บอกให้เย่เชียนไปที่บ้านของเธอแล้วเธอก็วางสายไป จากน้ำเสียงของเธอนั้นเย่เชียนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเธอพบตัวถังเหวยซวนแล้วหรือเปล่า ซึ่งเขาก็ยักไหล่เล็กน้อยและเรียกโจวหยวนแล้วหลังจากนั้นเขาก็ขับรถไปที่บ้านของจือเหวินทันที
เมื่อเย่เชียนมาถึงบ้านของจือเหวินแล้วเขาก็พบว่าบอดี้การ์ดเหล่านั้นไม่หยุดเขาเหมือนครั้งก่อนซึ่งเย่เชียนก็คิดว่าจือเหวินคงจะสั่งพวกเขาเอาไว้แล้ว ซึ่งครั้งนี้เหล่าบอดี้การ์ดต่างก็มีท่าทีที่เคารพเย่เชียนเพราะพวกเขาคิดว่าเย่เชียนเป็นเพื่อนคนสนิทของจือเหวินและถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็น่าจะสนิทกับเธอพอสมควร ซึ่งพวกเขาก็โค้งคำนับให้เย่เชียนอย่างเคารพและนำเย่เชียนกับโจวหยวนขึ้นไปที่ชั้นบน
จือเหวินนั้นนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นพร้อมกับขมวดคิ้วเพราะเธอกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้แต่เมื่อเธอเห็นเย่เชียนเข้ามาจือเหวินก็โบกมือและบอดี้การ์ดก็ถอยออกไป “นั่ง!” จือเหวินทำเหมือนครั้งที่แล้วที่เธอเพียงแค่เอานิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ และพูดสั้นๆ
เย่เชียนก็กล่าวคำขอบคุณและเดินไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามของจือเหวินโดยไม่ได้พูดอะไรใดๆ เพียงจ้องมองไปที่จือเหวินอย่างเงียบๆ ส่วนจือเหวินก็เพียงสูบบุหรี่อย่างช้าๆ โดยไม่แยแสต่อสิ่งใดจนกระทั่งไฟของบุหรี่มาถึงที่นิ้วของเธอจนเธอตอบสนองเพื่อเขี่ยก้นบุหรี่ทิ้งไป จากนั้นจือเหวินก็หยิบบุหรี่ออกมาจากซองบุหรี่และจุดบุหรี่อีกครั้งจากนั้นเธอก็ดันซองบุหรี่ไปตรงหน้าเย่เชียนและพูดว่า “คุณสูบบุหรี่มั้ย?”
เย่เชียนก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรขอบคุณ!” ไม่ใช่ว่าเย่เชียนแสร้งทำเป็นบริสุทธิ์แต่อย่างใดเพราะตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะสูบบุหรี่เพราะเมื่อมองไปที่ท่าทางของจือเหวินแล้วเย่เชียนก็รู้สึกได้ว่าดูเหมือนจะเป็นเรื่องอะไรบางอย่างและมันก็คงจะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีด้วย
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคุณเย่..ทางเราพบตัวคนคนนั้นแล้ว..แต่พวกเราไม่สามารถนำตัวเขามาให้คุณได้!” จือเหวินก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหลังจากนั้นเธอก็ดันกล่องของขวัญบนโต๊ะมาทางเย่เชียนละพูดว่า “ขอบคุณมาก! ..ฉันคิดว่าฉันไม่สามารถรับของขวัญจากคุณได้..โปรดนำมันคืนไปด้วยนะคุณเย่!”
“ไม่ว่าสิ่งที่ขอให้ทำมันจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม..ถึงยังไงของขวัญชิ้นนี้ผมก็เต็มใจที่จะให้คุณ” เย่เชียนพูด
“ไม่เป็นไรค่ะคุณเย่..คุณนำมันกลับไปเถอะ” จือเหวินยืนกรานอย่างไม่ลดละ
.
.
.
.
.
.
.