ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 425 ความละโมบ
ตอนที่ 425 ความละโมบ
ทันทีที่เย่เชียนออกจากบ้านของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่แล้ว หลังจากนั้นก็มีคนเดินลงมาจากชั้นบนซึ่งจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่ถังเหวยซวน? ซึ่งถังเหวยซวนนั้นก็มีท่าทีที่หยิ่งผยองแต่เมื่อเขาเห็นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่แล้วเขาก็ให้ความเคารพเป็นอย่างมากและเขาก็ยิ้มเจื่อนๆ และพูดว่า “หัวหน้าหลวน..ขอบคุณมาก”
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็พูดอย่างเย็นชาว่า “คุณรู้จักเขาเหรอ? ..ทำไมเขาต้องมาตามหาคุณ” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นจะไม่ทำให้ตัวเองนั่นต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะการที่เขาช่วยถังเหวยซวนนั้นก็เพียงเพราะว่าเขารู้มาว่าจือเหวินกำลังตามหาถังเหวยซวนอยู่ดังนั้นเขาจึงแค่ต้องการสร้างปัญหาให้กับจือเหวินเท่านั้น อย่างไรก็ตามเขาเองก็อยากรู้จริงๆ ว่าจือเหวินกำลังตามหาถังเหวยซวนไปทำไมเช่นกัน แต่ทว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่าไม่ใช่จือเหวินแต่เป็นเย่เชียนเองที่กำลังมองหาถังเหวยซวนซึ่งเรื่องนี้นั้นทำให้เขาอยากรู้มากกว่าเดิม
“ผมไม่รู้จักคนคนนั้นเลย..ผมไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองเมื่อไหร่? ” ถังเหวยซวนพูดด้วยสีหน้าที่ดูงุนงง เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมเย่เชียนถึงได้ตามล่าเขา แต่เขาก็แอบเดาว่าน่าจะเป็นเพราะมีดคลื่นโลหิตหมาป่าเป็นแน่
“จริงเหรอ?” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อในคำพูดของถังเหวยซวนเพราะการที่จือเหวินและเย่เชียนออกตามล่าหาตัวถังเหวยซวนนั้นมันจะต้องมีอะไรที่ถังเหวยซวนไปทำบางอย่างให้คนอื่นขุ่นเคืองไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงจะไม่ต้องทำเช่นนี้หรอกใช่หรือไม่? และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเดินมาทางไกลจนถึงดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเช่นนี้อีกด้วย
“หัวหน้าหลวนผมไม่รู้จริงๆ” ถังเหวยซวนก็รู้สึกเสียใจเพราะเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเย่เชียนเป็นใครเพราะเขาไม่เคยเห็นหน้าเย่เชียนเลย ถ้าไม่ใช่เพราะจือเหวินไล่ล่าถังเหวยซวนแล้วล่ะก็ถังเหวยซวนก็คงจะไม่เข้าหาพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่อย่างแน่นอนเพราะเขารู้เกี่ยวกับบุคลิกของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่อยู่เล็กน้อยว่าเขาเป็นคนที่กินคนได้โดยไม่ต้องคายกระดูกออกมา ดังนั้นเมื่อเขาขอความช่วยเหลือจากพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่แล้วเขาจึงต้องมอบของสมนาคุณเป็นของโบราณที่ได้รับมรดกตกทอดของครอบครัวของเขาเพื่อขอที่อยู่อาศัยและที่หลบภัยนั่นเอง
บรรพบุรุษของถังเหวยซวนนั้นล้วนแต่เป็นโจรขโมยสุสานทั้งนั้นและพวกเขาก็ได้ทิ้งทรัพย์สินและสมบัติเอาไว้ทั่วทุกพื้นที่ ซึ่งพ่อของเขานั้นเป็นคนทะเยอทะยานและเขาก็เป็นคนอัจฉริยะอีกด้วยเพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสมบัติของตระกูลมหาเศรษฐีต่างๆ ก็ถูกเขาขโมยมานับต่อนับ ซึ่งของเก่าของโบราณทั้งหมดก็ถูกขายไปจนหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นถังเหวยซวนจึงต้องกลับไปทำแบบเดิมในแบบฉบับของบรรพบุรุษของเขาและเริ่มการออกล่าและปล้นสุสานและปล้นของโบราณ อย่างไรก็ตามการปล้นสุสานนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำในตอนนี้และเขาเองก็เป็นเพลย์บอยอีกด้วย ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่เขาก็มักจะคลุกคลีอยู่กับผู้หญิง
“คุณไม่รู้เหรอ?” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ตะคอกและพูดว่า “คนจากเซี่ยงไฮ้ถึงกับต้องมาเหยียบที่นี่..คุณรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร? ..เขาเป็นคนของหวังหูแห่งเซี่ยงไฮ้! ..ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของหวังหู..เพราะแม้แต่เหล่ามาเฟียทั้งประเทศยังต้องไว้หน้าเขา! ..เอาล่ะเนื่องจากคุณไม่อยากพูดผมก็จะไม่บังคับคุณ..เพราะงั้นคุณก็ออกไปซะ”
“ไม่!” ถังเหวยซวนคุกเข่าลงและวิงวอนว่า “หัวหน้าหลวน..ถ้าคุณไล่ผมออกไปแบบนี้มันก็เหมือนกับว่าคุณส่งผมเข้าปากเสือ..และยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกแม่ม่ายดำก็ส่งคนมาตามล่าผมทุกวัน..เมื่อไหร่ที่ผมปรากฏตัวขึ้นล่ะก็เกรงว่าพวกนั้นก็คงจะมาจับตัวผมไปได้แน่นอน”
“แล้วผมจะไปทำอะไรได้..ในเมื่อคุณไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้คืออะไรและเป็นมายังไง..ยิ่งไปกว่านั้นหวังหูก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อีก..อย่างน้อยๆผมก็ต้องไว้หน้าเขาสักหน่อยใช่มั้ยล่ะ?” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูด
ถึงแม้ว่าถังเหวยซวนจะไม่ได้รอบคอบมากนักแต่เขาก็ยังฉลาดอยู่เล็กน้อยเพราะเขามองไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่าความหน้าไหว้หลังหลอกของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ซึ่งนั่นคือการพยายามข่มขู่เขาทางอ้อม ซึ่งถังเหวยซวนก็แอบสาปแช่งด้วยความโกรธในใจว่า ‘แม่งเอ๊ย..ให้ของโบราณไปขนาดนั้นก็ยังไม่พอใจอีก’ แต่เขาจะทำอย่างไรถ้าหากพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ได้รู้เรื่องนั้น? เพราะพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ไม่ใช่บุคคลที่เขาจะทำให้ขุ่นเคืองได้และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาออกไปข้างนอกล่ะก็คนของแม่ม่ายดำก็จะพบเขาอย่างแน่นอนและมันจะเป็นการยากที่จะคาดเดาว่าเขาจะลงเอยเช่นไร แต่ทว่าตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเย่เชียนนั้นมาจากเมืองเซี่ยงไฮ้เช่นนี้มันก็ยิ่งทำให้ถังเหวยซวนยิ่งแน่ใจว่าเย่เชียนนั้นมาเพราะเรื่องของมีดคลื่นโลหิตหมาป่านั่นเอง
ในขณะนี้ถังเหวยซวนก็เสียใจอย่างมากพลางคิดว่าทำไมเขาต้องโลภถึงขนาดนี้? ไม่เช่นนั้นมันจะเกิดหายนะครั้งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร เขาแค่ไปเยี่ยมบ้านของหมินเว่ยเหวินในวันนั้นและหมินเว่ยเหวินก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่เขาได้รับสมบัติที่ไม่เหมือนใครในโลกมา ซึ่งเหตุผลหลักก็คือหมินเว่ยเหวินนั้นสนิทสนมกับพ่อของถังเหวยซวนอย่างมาก เพราะเมื่อสมัยที่พ่อของถังเหวยซวนยังมีชีวิตอยู่นั้นทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนกันและหมินเว่ยเหวินนั้นก็ได้เฝ้าดูถังเหวยซวนเติบโตมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ระมัดระวังใดๆ กับถังเหวยซวนเลยแม้แต่น้อยไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่ก่อให้เกิดความหายนะเช่นนี้เป็นแน่
เมื่อถังเหวยซวนเห็นมีดคลื่นโลหิตหมาป่าในห้องวิจัยของหมินเว่ยเหวินแล้วเขาก็เกิดความละโมบทันทีและด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานของเขานั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นสมบัติที่มีมูลค่าหลายล้านหยวน อย่างไรก็ตามถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่มืออาชีพแต่อย่างใดเขาจึงไม่รู้ที่มาที่ไปของมีดคลื่นโลหิตหมาป่า แต่หลังจากที่หมินเว่ยเหวินได้เล่าถึงเรื่องราวของมันแล้วทันใดนั้นถังเหวยซวนก็ไม่สามารถควบคุมความโลภของเขาได้อีกต่อไปและอยากให้มีดคลื่นโลหิตหมาป่ามาครอบครองเพราะมีดคลื่นโลหิตหมาป่าเล่มนี้จากราชวงศ์ฉินนั้นก็ควรมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหลายร้อยล้านหยวนอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตระหนักได้ว่าถ้าหากเขาขายมันได้ล่ะก็เขาก็ไม่ต้องออกปล้นอะไรอีกต่อไปในชีวิตและสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสง่าผ่าเผยและออกไปเที่ยวได้ทุกที่ทุกแห่งด้วยเงินนั้น
การขาดจิตใจที่แข็งแกร่งไปนั้นก็จะถูกความโลภกลืนกิน อย่างไรก็ตามการกระทำต่างๆ นั้นก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ หรือมีแผนการใดๆ เตรียมเอาไว้ในเวลานั้นเพราะหลังจากที่ถังเหวยซวนแสร้งทำเป็นว่าจะออกจากบ้านของหมินเว่ยเหวินไปแล้วเขาก็แอบย้อนกลับมาฆ่าหมินเว่ยเหวินและแม่บ้านทิ้งแล้วหลังจากนั้นถังเหวยซวนก็ขโมยมีดคลื่นโลหิตหมาป่าไปและหลบหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเพื่อกบดานในชั่วข้ามคืน
ในความคิดของเขานั้นการกระทำของเขานั้นก็ทำได้อย่างราบรื่นและไม่ควรมีใครค้นพบและโยงมาถึงตัวเขาได้ แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถหลบหนีไปจากเทคโนโลยีของยุคนี้ได้ ซึ่งถังเหวยซวนเองก็ชัดเจนมากเกี่ยวกับตำแหน่งและสถานะของหมินเว่ยเหวินในสังคม ซึ่งหมินเว่ยเหวินก็ยังพูดในเวลานั้นด้วยว่ามีดคลื่นโลหิตหมาป่านั้นไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเขาก็ฉุกคิดว่าเย่เชียนคือเพื่อนที่หมินเว่ยเหวินพูดหรือไม่? ถังเหวยซวนแอบคิดอย่างลับๆ
ดวงตาของถังเหวยซวนก็กลอกไปมาสองสามครั้งและเขาก็รีบพูดว่า “ผมพูดก็ได้..ผมจะพูด..ผมไปหลอกล่อผู้หญิงคนหนึ่งโดยบังเอิญตอนที่ผมไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้..แต่ใครจะรู้ล่ะว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นผู้หญิงของหวังหู..และผมก็ขอเงินผู้หญิงคนนั้นแต่เธอไม่ให้และตอนนั้นเราก็มีปากเสียงกันและผมเผลอไปฆ่าเธอ..ถ้าผมเดาไม่ผิดพวกเขาต้องมาแก้แค้นผมอย่างแน่นอน..หัวหน้าหลวนคุณต้องช่วยผม..ถ้าคุณไม่ช่วยผมล่ะก็ผมต้องตายแน่ๆ”
ผู้คนต่างก็ล้มตายและสละชีพเพื่อเงินส่วนนกก็ตายเพื่ออาหารซึ่งสมบัติที่เขาได้มาในที่สุดมันก็จะสูญหายไป ซึ่งเขาจะรอจนกว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากประเทศจีนได้แล้วจึงหาโอกาสที่เหมาะสมที่จะขายมีดคลื่นโลหิตหมาป่าและใช้ชีวิตเฉกเช่นเทวดาในต่างแดนอย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่ยอมรับที่จะพูดความจริงเพราะเขาเชื่อว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จะไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไรจากเรื่องนี้เลย
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็จ้องมองถังเหวยซวนด้วยรอยยิ้มที่ลึกลับและไม่สามารถคาดเดาได้เลยจากนั้นรอยยิ้มนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว “ผมจะเชื่อก็แล้วกัน..ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่ต่อไปได้..แล้วก็ไม่ต้องออกไปไหนเพราะถ้าหากคุณถูกแม่ม่ายดำจับได้ล่ะก็..คุณอย่ามาตำหนิผมก็แล้วกัน..บอกไว้ก่อนเลยว่าวิธีการทรมานของพวกแม่ม่ายดำน่ะมันทรมานมาก!” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูด
“ขอบคุณครับ..ขอบคุณเจ้าหัวหน้าหลวนสำหรับความเมตตานี้..ถังเหวยซวนคนนี้จะไม่มีวันลืม..หากผมมีโอกาสในอนาคตผมจะตอบแทนพระคุณที่ยิ่งใหญ่นี้อย่างแน่นอนครับ” ถังเหวยซวนพูดด้วยความถ่อมตัวและโค้งคำนับ และเขาก็โล่งใจอย่างมากเพราะดูเหมือนว่าเขากำลังจะข้ามผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายไปแล้ว ซึ่งพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากนักดังนั้นเขาก็เหลือแค่ต้องแอบหนีไปต่างประเทศแล้วใช้ชีวิตที่อิสระของเขาเช่นนั้น
“ไว้มีโอกาส!” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “คุณไปเถอะ..ผมมีธุระที่ต้องทำ”
“ขอบคุณมากครับ..ขอบคุณมากครับหัวหน้าหลวน” ถังเหวยซวนพยักหน้าและพูดพร้อมกับโค้งคำนับและเดินกลับไปที่ห้องของเขา
หลังจากที่ออกจากบ้านของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่แล้วเย่เชียนและโจสหยวนก็ขับรถกลับไปที่โรงแรม ซึ่งคิ้วของเย่เชียนก็ขมวดแน่นตลอดทางพลางคิดว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่กับแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นใครกำลังพูดความจริงกันแน่? ซึ่งถ้าหากแม่ม่ายดำจือเหวินพูดความจริงล่ะก็นั่นก็หมายความว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่กำลังจงใจปกป้องถังเหวยซวนและมีโอกาสมากที่มีดคลื่นโลหิตหมาป่าจะตกอยู่ในมือของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่
แต่ถ้าหากพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูดความจริงล่ะก็นั่นหมายความว่าแม่ม่ายดำจือเหวินกำลังหลอกลวงเขาอยู่และหลอกใช้เย่เชียนเพื่อจัดการกับพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เพราะถ้าหากแม่ม่ายดำจือเหวินรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเย่เชียนล่ะก็เธอคงจะไม่เช่นนั้นอย่างแน่นอนและเหตุใดทำไมเธอต้องทำเช่นนี้?
เย่เชียนก็มีอาการปวดหัวเล็กน้อยเพราะอีกฝ่ายเป็นแค่ถังเหวยซวนแต่มันก็ยากลำบากอย่างมากเพราะเขาไม่ต้องการเข้าร่วมในการต่อสู้ในครั้งนี้ในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว
“พี่สองมีอะไรหรอครับ?” เมื่อเห็นเย่เชียนขมวดคิ้วแน่นโจวหยวนก็เลยถามด้วยความประหลาดใจ
“เอ็งคิดว่าสิ่งที่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูดออกมานั้นจริงหรือเปล่า?” เย่เชียนถาม ซึ่งโจวหยวนก็อยู่ที่นั่นด้วยดังนั้นเขาก็อาจจะให้ข้อเสนอแนะที่ดีได้เช่นกัน
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ..แต่ถ้าเดาตามบุคลิกของพยัคฆ์แดนเหนือแล้วเขาก็ควรจะรู้ข้อมูลภายในถิ่นของเขาบ้างสิ” โจวหยวนพูดออกมาหลังจากครุ่นคิดและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
เย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่อยากจะเชื่อใครเลยสักคน..ทั้งพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่และแม่ม่ายดำจือเหวิน..อย่างไรก็ตามพวกเราก็ไม่มีเวลามาพึ่งพวกนั้นอย่างเดียว..เพราะงั้นเราต้องตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
หลังจากกลับไปที่โรงแรมแล้วเย่เชียนก็ได้ติดต่อเหล่าเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของเขี้ยวหมาป่าซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะมาที่ห้องพักของเย่เชียนและทักทายด้วยความเคารพว่า “สวัสดีครับบอส!”
เย่เชียนและโจวหยวนนั้นอาศัยอยู่ในห้องสองห้องที่แยกจากกันเพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องของเขี้ยวหมาป่าอยู่ดี ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการให้โจวหยวนรู้อะไรมากจนเกินไป เพราะบุคลากรของหน่วยข่าวกรองนั้นไม่สามารถเปิดโปงได้
เย่เชียนก็พยักหน้าและบอกให้ผู้ชายคนนั้นนั่งลงแล้วเย่เชียนก็พูดว่า “เป็นยังไงบ้าง..คุณมีข่าวหรือเปล่า?”
.
.
.
.
.
.
.