ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 430 พูดไม่เข้าหู
ตอนที่ 430 พูดไม่เข้าหู
“ไปหาอะไรกินกันเถอะ!” เย่เชียนพูดพร้อมกับหันหน้าไปมองโจวหยวน ซึ่งหลังจากพูดจบเย่เชียนก็ปรับเบาะนั่งลงและเอนกายลงพร้อมกับหลับตาและครุ่นคิด
โจวหยวนก็เหลือบมองเขาโดยไม่กล้าขัดจังหวะและขับรถตรงไปที่โรงแรม
เย่เชียนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรกับแม่ม่ายดำจือเหวินเลยและเหตุผลที่เย่เชียนไปขอให้เธอช่วยตามหาถังเหวยซวนนั้นก็เพราะว่าเย่เชียนดูจากข้อมูลที่ได้มาว่าเธอดูเป็นคนที่น่าเชื่อถือ ซึ่งถ้าหากจะหาใครที่จะมาช่วยเหลือเขาในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ล่ะก็เย่เชียนก็คิดว่าคนคนนั้นต้องเป็นแม่ม่ายดำจือเหวินเพราะเธอยังคงมีศีลธรรมและยึดติดกับความถูกต้องอยู่บ้าง เพราะอย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ต้องการใช้กองกำลังจากภายนอกเหมือนกับที่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ที่แข็งแกร่งกว่าแม่ม่ายดำจือเหวินอยู่แล้วและตอนนี้เขายังคงต้องการครอบครองดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือโดยอาศัยอิทธิพลของกองกำลังจากประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งคนประเภทนี้นั้นจะต้องเลวร้ายอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ยังคงมีความคิดเช่นเดียวกันกับในตอนแรกเพราะเขาไม่อยากเข้าไปเกี่ยวพันอะไรกับสถานการณ์ต่างๆ ในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ ดังนั้นดูเหมือนว่าเขาจำเป็นที่จะต้องไปพบพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่เพื่อส่งสารเตือนและให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่เขาซึ่งถ้าหากเขายอมก็จะเป็นการดีมาก
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเย่เชียนก็ดังขึ้นและหลังจากรับสายและฟังคำพูดของอีกฝ่ายแล้วคิ้วของเย่เชียนก็ขมวดเข้าหากันแน่นและดวงตาของเขาก็ระเบิดออกมาด้วยเจตนาฆ่าที่เย็นยะเยือก หลังจากนั้นเย่เชียนก็ตอบอย่างแผ่วเบาแล้วก็วางสายไป
โจวหยวนที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของเย่เชียนและสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่เย็นยะเยือกจนทำให้เขารู้สึกหนาวสั่นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ซึ่งโจวหยวนก็รู้ได้ทันทีว่ามันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแต่เขาก็ไม่กล้าถามเย่เชียน อย่างไรก็ตามเขาก็เพิ่งจะมาอยู่กับเย่เชียนได้ไม่นานและถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วเย่เชียนจะดูเป็นมิตรมากก็ตามแต่ถึงยังไงโจวหยวนก็ยังไม่คุ้นเคยกับอุปนิสัยของเย่เชียนมากนัก ดังนั้นโจวหยวนจึงไม่กล้าที่จะถามตามอำเภอใจเช่นนั้น
คนจากหน่วยข่าวกรองของเขี้ยวหมาป่าโทรเข้ามาและพวกเขาก็บอกกับเย่เชียนเกี่ยวกับการตายของถังเหวยซวนและพวกเขาก็ได้ค้นหาตามร่างของถังเหวยซวนแล้วแต่ก็ไม่พบมีดคลื่นโลหิตหมาป่าเลย ซึ่งเรื่องนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ที่รู้เรื่องต่างๆ ดังนั้นเขาจึงฆ่าถังเหวยซวนแล้วเอามีดคลื่นโลหิตหมาป่าไปเป็นของเขาเอง
ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะไม่ต้องไปเตือนพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่อีกต่อไปเพราะในตอนนี้พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นโลภอย่างเห็นได้ชัดและตั้งใจที่จะยึดครองมีดคลื่นโลหิตหมาป่าไป ‘หึหึ..ฉันไม่คิดเลยว่าแกจะโลภมากถึงขนาดนี้’ เย่เชียนคิดอย่างลับๆ ในใจ
“พี่สองเรากินร้านนี้กันดีไหมครับ?” โจวหยวนถามอย่างระมัดระวังเมื่อเขาจอดรถที่หน้าประตูร้านอาหารและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้ให้ความสนใจกับรสนิยมการกินมากนักแต่เขาก็ยังต้องพิจารณาถึงความโปรดปรานของเย่เชียนด้วย
เย่เชียนก็ลืมตาขึ้นและพยักหน้าเบาๆ “ร้านนี้ก็ได้” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เปิดประตูรถและเดินออกไป
นี่คือร้านอาหารตะวันออกเฉียงเหนือแท้ๆ และถึงแม้ว่าจะไม่ได้หรูหรามากแต่ก็ตกแต่งได้ดี ซึ่งรถที่จอดอยู่หน้าร้านก็เต็มและจากระยะไกลก็สามารถมองเห็นผู้คนพลุกพล่านในโรงแรมได้ ซึ่งเย่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเขาไม่ชอบบรรยากาศการรับประทานอาหารในที่ที่มีเสียงดังมากเกินไป ซึ่งคุณภาพของอาหารนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะสิ่งที่สำคัญก็คือบรรยากาศที่เงียบสงบนั่นเอง
อย่างไรก็ตามเนื่องจากโจวหยวนเลือกสถานที่แห่งนี้แล้วดังนั้นเย่เชียนจึงไม่อยากที่จะย้ายไปที่อื่นเพราะไม่เช่นนั้นโจวหยวนก็จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเพราะเขาคงจะคิดว่าตัวเองนั้นจงใจที่จะกลั่นแกล้งหรืออะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาสองสามวันแล้วที่เย่เชียนมาเยือนภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่ทว่าเขากลับไม่ได้กินอาหารท้องถิ่นเลย เพราะก่อนหน้านี้เขาพาโจวหยวนไปที่ร้านอาหารระดับไฮเอนด์ทุกวันและอาหารส่วนใหญ่ที่เขากินนั้นต่างก็เป็นอาหารตะวันตกจนเย่เชียนแทบจะคลื่นไส้
เมื่อก้าวเข้าไปในโรงแรมแล้วบริกรก็รีบทักทายเขาและกล่าวขอโทษว่า “ประทานโทษครับตอนนี้ไม่มีที่ว่างเลย..โปรดรอสักครู่จะได้ไหมครับ”
เย่เชียนก็กวาดสายตามองไปรอบๆ และชี้ไปที่มุมหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากนั้นก็พูดว่า “โต๊ะนั้นก็ใหญ่และมีที่ว่างพอสำหรับพวกเราสองคนหนิ..พวกผมแค่มากินแล้วก็ไป”
บริกรก็ถึงกับผงะและรีบเดินตามไปเพราะนี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเพราะว่าแขกส่วนใหญ่นั้นจะไม่นั่งรวมโต๊ะกันกับผู้อื่น ซึ่งเย่เชียนก็เดินไปนั่งลงบนที่นั่งของตัวเองและโจวหยวนก็ยักไหล่เบาๆและนั่งลงข้างๆเย่เชียน ซึ่งผู้ชายและผู้หญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็จ้องมองมาที่ทั้งสองด้วยความประหลาดใจและภายในดวงตาของชายคนนั้นก็ฉายแววแห่งความโกรธและเขาก็พูดอย่างเดือดดาลว่า “คุณเป็นใคร? ..แล้วใครให้คุณมานั่งที่นี่? ”
“ขอโทษนะครับ..พอดีว่าตรงนี้ยังพอมีที่ว่างอยู่..คุณให้สุภาพบุรุษสองคนนี้ร่วมโต๊ะด้วยจะได้ไหมครับ” บริกรพูดอย่างระมัดระวัง
“ร่วมโต๊ะด้วยอะไรวะ! ..ไสหัวไปซะ!” ชายหนุ่มพูดอย่างหยิ่งผยอง
บริกรคนนั้นก็ถูกดุด่าอยู่ครู่หนึ่งและหลังจากนั้นเธอก็ตกตะลึงไปสักพักและดูเหมือนว่าเธอจะสูญเสียอาการไปเล็กน้อย จากนั้นเธอก็จ้องมองไปที่เย่เชียนเพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นลูกค้าและเธอก็ไม่สามารถที่จะทำให้ใครสักคนขุ่นเคืองใจได้
เย่เชียนก็เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และมองไปที่บริกรแล้วพูดว่า “นำอาหารจานพิเศษของคุณมา..ผมหิวแล้ว..รีบๆ หน่อย!”
บริกรก็แน่นิ่งอยู่ตรงนั้นและทำอะไรไม่ถูก “นี่คุณไม่ได้ยินที่ผมพูดเหรอ..ไปสิ! ..ไม่งั้นก็อย่ามาโทษว่าผมหยาบคายกับคุณก็แล้วกัน” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็จ้องมองไปที่เย่เชียนและตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
ใบหน้าของเย่เชียนก็มืดมนลงและเขาก็ลุกขึ้นยืนและคว้าผมของชายหนุ่มคนนั้นแล้วกระแทกลงบนโต๊ะ “จะอะไรกันนักกันหนาวะ..ก็แค่จะมากินข้าว!” เย่เชียนพูดจบและเขาก็ปล่อยผมของชายหนุ่มคนนั้นแล้วนั่งลงอีกครั้ง
ผู้คนในร้านอาหารทั้งร้านก็หันมามองแต่พวกเขาก็หันกลับกันไปอย่างรวดเร็วเพราะพวกเขานั้นได้เห็นการทะเลาะเบาะแว้งกันมามากมายและไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีการทะเลาะเช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งในขณะนี้บริกรก็ตกตะลึงและตื่นตระหนกและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“พี่ห่าว! ..พี่เป็นอะไรมั้ย?” หญิงสาวก็รีบช่วยพยุงชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมา ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงจนเกินไปเพราะเขาแค่จับหัวของชายหนุ่มคนนั้นฟาดลงบนโต๊ะแค่นั้นและใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นก็เปื้อนอาหารไปทั้งใบหน้าแต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร
“คุณยืนมองอะไรอยู่? ..รีบไปเสิร์ฟอาหารมาสิ!” เย่เชียนมองไปที่บริกรและพูด
“อ๋อ..ได้ๆ!” บริกรถึงกับผงะและรีบเดินออกไป
เย่เชียนนั้นก็รู้สึกรำคาญอย่างมากเพราะชายหนุ่มคนนี้นั้นทำตัวน่ารำคาญอย่างมาก ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะความเมตตาของเย่เชียนล่ะก็ในตอนนี้หัวของชายหนุ่มคนนั้นก็คงจะถูกทุบจนเละไปเสียแล้ว ซึ่งโจวหยวนที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคออย่างลับๆ
“แม่งเอ๊ย..แกกล้าทำร้ายฉันงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มคนนั้นก็ปัดคราบน้ำมันจากอาหารบนใบหน้าออกแล้วลุกขึ้นยืนแล้วหยิบขวดไวน์บนโต๊ะขึ้นมาแล้วฟาดเข้าไปที่เย่เชียนทันที
ในเวลานี้โจวหยวนก็ไม่กล้าลังเลเลยแม้แต่น้อยเพราะถึงยังไงเย่เชียนก็เป็นถึงเจ้านายของเขาและถ้าหากเขาไม่ทำอะไรเลยล่ะก็มันจะดูน่าละอายใจจนเกินไป “เฮ้ย!” โจวหยวนก็ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วคว้าขวดไวน์อีกขวดขึ้นมาแล้วฟาดลงบนหัวของชายหนุ่มคนนั้นทันที ซึ่งโจวหยวนนั้นไม่ได้ยั้งมือเลยแม้แต่น้อยจนหัวของชายหนุ่มคนนั้นก็แตกและมีเลือดไหลออกมาตามเส้นผมทันที
การกระทำดังกล่าวนั้นได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้จัดการโรงแรมแล้วในขณะนี้เพราะเขาไม่กล้าเพิกเฉยเลยแม้แต่น้อยเพราะที่แห่งนี้นั้นเป็นร้านอาหารของเขาแต่กลับถูกพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ยึดไปและถ้าหากลูกชายของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่เป็นอะไรในร้านอาหารของตนล่ะก็มันก็ยากที่จะรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้จัดการก็รีบเดินมาแล้วพูดว่า “เอ่อ..นายน้อยเป็นอะไรมั้ย?”
หลวนห่าวก็ไม่ได้มองไปที่ผู้จัดการเลยเพราะเขามัวแต่จับหัวของเขาแล้วพูดว่า “นี่แกกล้าตีหัวฉันเหรอ? ..ได้! ..เดี๋ยวแกก็รู้”
เย่เชียนก็เหลือบมองอย่างเย็นยะเยือกและพูดว่า “รีบๆ ไสหัวไปซะ..ถ้าแกยังโวยวายอยู่อีกล่ะก็..ฉันจะจัดการแกอีก!”
หลวนห่าวก็เดินออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมกับผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขาช่วยพยุงเขาเดินออกไป อย่างไรก็ตามหลวนห่าวนั้นก็ถือว่าโชคดีอย่างมากที่เย่เชียนยังไม่รู้จักตัวตนของเขาและไม่รู้ว่าเขาเป็นถึงลูกชายของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ ไม่เช่นนั้นสิ่งต่างๆ ก็คงจะร้ายแรงกว่านี้เป็นแน่ เมื่อเห็นหลวนห่าวอกไปผู้จัดการโรงแรมก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “อย่างแรกเลย..คุณควรจะรีบหนีไปเพราะไม่เช่นนั้นนายน้อยห่าวจะพาคนมาที่นี่และผมเกรงว่าโรงแรมของผมคงจะเป็นสถานที่ที่นองเลือด!”
“ไม่ต้องกังวลไป..ผมจะไม่ทำให้คุณต้องเดือดร้อนหรอก..รบกวนคุณรีบๆ เสิร์ฟอาหารมาได้แล้ว..ผมหิว!” เย่เชียนโบกมือของเขาและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เย่เชียนนั้นไม่ใช่คนที่ชอบสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นและแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่กลัวปัญหาใดๆ เพราะถ้าเมื่อครู่นี้หลวนห่าวไม่ใช้คำหยาบคายล่ะก็เย่เชียนก็คงจะไม่ทำอะไรเขาอย่างแน่นอน ซึ่งในฐานะมนุษย์นั้นคนเราก็ควรจะเคารพกันและกันเพราะความเคารพคือหลักการของเย่เชียน อย่างไรก็ตามถ้าหากใครหยายคายใส่เย่เชียนก่อนล่ะก็แน่นอนว่าเย่เชียนก็จะหยาบคายใส่คนคนนั้นกลับ
ผู้คนในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือนั้นค่อนข้างดุร้ายและผู้จัดการเองก็ไม่สามารถเข้าใจและไม่สามารถรับรู้ได้ถึงที่มาที่ไปของเย่เชียน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากนัก
เย่เชียนก็หันหน้าไปมองโจวหยวนและพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เมื่อกี้นี้เอ็งได้คิดไหมว่าอีกฝ่ายจะกล้าโต้กลับ?”
โจวหยวนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและเขาก็พูดว่า “ไม่เลยครับ..ผมคิดแค่ว่าผมต้องปกป้องพี่สอง!”
เย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและตบไหล่โจวหยวนเบาๆ แล้วเย่เชียนก็พูดว่า “ผู้ชายอย่างเราๆ ไม่ควรเดินหน้าไปด้วยความกังวลและความลังเลใจ..เพราะความกังวลและความลังเลใจนั้นหากมันมีมากเกินไปมันก็จะทำลายจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเราไป..ถึงแม้ว่าความสามารถในปัจจุบันของเอ็งยังไม่มากพอก็ตาม..แต่ถ้าเอ็งตั้งใจล่ะก็ฉันเองก็เชื่อว่าวันหนึ่งเอ็งจะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้..จำเอาไว้ว่านี่คือสิ่งที่ฉันสอน!”
โจวหยวนก็พยักหน้าอย่างหนักหน่วงและพูดว่า “ครับพี่สอง! ..ไม่ต้องห่วง..ผมจะตั้งใจทำสิ่งต่างๆ และจะไม่ทำให้พี่สองต้องผิดหวังแน่นอนครับ!”
ในขณะที่พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟแล้ว แต่บริกรคนนั้นก็ยังคงตัวสั่นเทาเล็กน้อย เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ยิ้มจางๆ และไม่ได้พูดอะไรและหลังจากนั้นเย่เชียนก็ตบไหล่โจวหยวนเบาๆ แล้วพูดว่า “มา..มากินข้าวกันเถอะ!”
.
.
.
.
.
.