ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 431 ราชาหมาป่า VS แม่ม่ายดำ
ตอนที่ 431 ราชาหมาป่า VS แม่ม่ายดำ
มีไม่กี่คนในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือที่ไม่รู้จักหลวนห่าวแต่นี่ก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาน่าเกรงขามแต่อย่างใดแต่มันเป็นความอื้อฉาวของเขาที่แพร่กระจายออกไปโดยอาศัยชื่อของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พ่อของเขาทำ ซึ่งเขามักจะทำชั่วและหยิ่งผยองอยู่ตลอดเวลาและที่คนส่วนใหญ่กลัวเขาก็เพราะอิทธิพลและอำนาจของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ ดังนั้นจะมีใครที่กล้าทำให้เขาขุ่นเคือง? เพราะส่วนใหญ่คนที่ทำให้เขาขุ่นเคืองแล้วล่ะก็พวกเขาเหล่านั้นมักจะซ่อนตัวและหลบหนีแต่ถ้าพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถซ่อนและหลบหนีได้ล่ะก็ซึ่งนั่นก็ถือว่าพวกเขาโชคร้าย
ผู้จัดการของโรงแรมและร้านอาหารก็เฝ้ามองเย่เชียนจากระยะไกลและอธิษฐานในใจอย่างลับๆ และภาวนาให้เย่เชียนกินอาหารให้เสร็จโดยเร็วไม่เช่นนั้นหลวนห่าวก็จะพาคนมาที่นี่และเริ่มต่อสู้กันในร้านอาหารของเขาและเขาก็ต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างแน่นอน เพราะข้าวของต่างๆ ในสถานที่แห่งนี้จะต้องถูกทำลายจนเสียหายแล้วเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจะกล้าขอค่าเสียหายจากพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ได้อย่างไร? ซึ่งแม้แต่โรงแรมและอาหารของเขาก็อาจจะไม่สามารถเปิดทำการได้อีกในอนาคตและยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่ใช่คนที่มีอำนาจใดๆ ดังนั้นเขาจึงสามารถทำให้แค่ก้มหน้ารับชะตากรรมเพียงเท่านั้น
ความอยากอาหารของเย่เชียนก็เพิ่มมากขึ้นเพราะตอนนี้ท้องของเขาก็หิวอย่างมากเช่นกัน ซึ่งการกินอาหารอย่างดุร้ายของเย่เชียนนั้นถึงกับทำให้โจวหยวนตกตะลึงและพูดไม่ออกด้วยความประหลาดใจ แต่ทว่าตอนที่โจวหยวนได้ลงมือกับหลวนห่าวไปแล้วและเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะในเมื่อตอนนี้ทุกๆ อย่างมันก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะการที่เขามาเยือนดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือเช่นนี้แน่นอนว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับใครบางคนอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงสามารถซ่อนตัวและอยู่อย่างเงียบๆ ได้แต่น่าเสียดายที่เมื่อมองไปที่เย่เชียนในตอนนี้แล้วดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้จริงจังกับมันเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเช่นั้นโจวหยวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างลับๆ ซึ่งเย่เชียนนั้นก็สมควรแล้วที่เป็นคนใหญ่คนโตและแข็งแกร่งเช่นนี้เพราะขณะที่เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้แต่เขายังสามารถสงบเสงี่ยมและทำตัวสบายๆ ได้นั้นสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาๆ จะทำได้เลย
เมื่อเย่เชียนเงยหน้ามองโจวหยวนด้วยความประหลาดใจแล้วเย่เชียนจึงถามด้วยความงุนงงว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า..ถ้าเอ็งไม่กินฉันจะกินมันแล้วนะ”
“เอ่อกินครับ..กินกิน!” โจวหยวนตอบอย่างงุนงง
ในเวลานี้จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาโดยมีผู้ชายร่างกำยำสองคนเดินตามเธอมา ซึ่งบริกรก็รีบทักทายเธอแต่ก่อนที่เขาจะไปถึงผู้หญิงคนนั้นเขาก็ถูกหยุดโดยชายร่างกำยำ เนื่องจากเขาทำงานเป็นบริกรในร้านอาหารมานานเขาจึงมีความเข้าใจและรู้ว่าคนตรงหน้าเขานั้นไม่ใช่บุคคลที่เขาจะไปทำให้ขุ่นเคืองได้ ดังนั้นเขาจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “ขอประทานโทษครับคุณผู้หญิง..ตอนนี้ไม่มีที่ว่างเหลือเลย..โปรดรอสักครู่ได้ไหมครับ”
ในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ก็เรื่องที่แปลกมากเพราะร้านอาหารหลายแห่งนั้นจะไม่เรียกว่าผู้หญิงว่าสุภาพสตรีแต่จะเรียกคุณผู้หญิงแทนรวมทั้งลูกค้าทั้งหมดต่างก็เรียกพนักงานเสิร์ฟว่าบริกร เพราะในสายตาของพวกเขานั้นหญิงสาวก็เป็นผู้หญิงประเภทหนึ่งและไม่ต่างจากผู้ชายเลย
ผู้หญิงคนนั้นก็กวาดสายตามองออกไปรอบๆ จากนั้นสายตาของเธอก็ไปหยุดอยู่ตรงที่ร่างของเย่เชียนและเธอก็พูดอย่างแผ่วเบาว่า “ฉันจะไปนั่งที่นั่น!” หลังจากพูดจบแล้วเธอก็เดินตรงไป
ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นบริกรก็ถึงกับผงะและเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มที่ขมขื่นนั่นก็เพราะว่าเรื่องนี้นั้นเป็นเหตุที่ทำให้สถานการณ์ดังกล่าวเมื่อครู่นี้วุ่นวาย และเขาก็อดไม่ได้ที่จะภาวนาในใจอย่างลับๆ ว่าอย่าให้เกิดปัญหาใดๆ และเมื่อนึกถึงสิ่งนี้เขาก็รีบตามไปแต่หลังจากก้าวไปได้สองก้าวแล้วชายร่างกำยำก็หันกลับมามองเขาจนเขากลัวจนตัวสั่นและรีบก้าวถอยออกไป
ผู้หญิงคนนั้นก็เดินไปหาเย่เชียนและนั่งลงแต่ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะไม่เห็นเธอเลยแม้แต่น้อยและยังคงกินต่อไปราวกับพายุจนโจวหยวนตกตะลึงอย่างมากและเขาก็เหลือบไปมองเธอด้วยความประหลาดใจจากนั้นเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย ซึ่งผู้หญิงคนนี้นั้นเป็นใครกันหรือ? เธอคือจือเหวินที่มีฉายาว่าแม่ม่ายดำแห่งดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือไม่ใช่หรือ?
บริกรก็กำลังจะอ้าปากของเขาเพื่อจะพูดอะไรบางอย่างแต่ทว่าเขาเห็นเย่เชียนโบกมือให้เขาและไม่พูดอะไรใดๆ แต่ความหมายที่ชัดเจนก็คือเขาไม่ได้รังเกียจถ้าจะมีผู้อื่นมาร่วมโต๊ะด้วย ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นบริกรก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเขาก็มองไปที่แม่ม่ายดำจือเหวินที่กำลังสั่งอาหารสองจานอย่างไม่เป็นทางการและหลังจากนั้นบริกรก็รีบเดินออกไป
เย่เชียนก็ไม่ได้พูดอะไรดังนั้นโจวหยวนจึงไม่กล้าพูดอะไรใดๆ เขาจึงก้มหน้าลงและแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่รู้อะไรเลยและเริ่มกินอาหารของเขาต่ออีกครั้ง เมื่อมองไปที่การแสดงออกของเย่เชียนแล้วดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะคุยกับแม่ม่ายดำจือเหวินเลย แต่ทว่าแม่ม่ายดำจือเหวินก็จ้องมองไปที่เย่เชียนและหลังจากนั้นไม่นานการแสดงออกบนใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปและเธอก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ และเธอก็ไม่รู้จริงๆ ว่ามันคืออะไรแต่ทว่าบรรยากาศมันก็ดูแปลกๆ ไป
หญิงม่ายดำจือเหวินนั้นไม่ได้มาหาเย่เชียนเป็นพิเศษแต่อย่างใดซึ่งเธอแค่มากินข้าว แต่เธอก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าเธอจะได้พบเย่เชียนที่นี่เธอจึงเดินเข้าไปหา ซึ่งเธอเองก็ยังคงนึกถึงสิ่งที่หยุนเหลาพูดเอาไว้ได้ซึ่งเขาได้ซึ่งในตอนนี้เธอก็รู้ดีว่าหยุนเหลานั้นแค่กำลังคิดไปเอง แต่เธอเองก็ดื้อรั้นและจะไม่ขอความช่วยเหลือจากเย่เชียนเป็นอันขาดเพราะเธอต้องการใช้พลังของตัวเองเพื่อปกป้องสิ่งที่หยางเทียนสร้างเอาไว้เท่านั้น
“ฉันยอมรับว่าฉันคิดจะหลอกใช้คุณ..ฉันขอโทษ!” จือเหวินพูดอย่างช้าๆ “ถึงยังไงฉันก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณอยู่ดี..ฉันจะทำทุกอย่างเอง”
หลังจากพูดจบแม่ม่ายดำจือเหวินก็แอบมองเย่เชียนอย่างเงียบๆ แต่ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะไม่สนใจเธอเลยเพราะเขายังคงกินอยู่และสิ่งนี้ก็ทำให้บอดี้การ์ดร่างกำยำสองคนที่อยู่ด้านหลังแม่ม่ายดำจือเหวินโกรธเกรี้ยวอย่างมากจนแม่ม่ายดำจือเหวินรีบโบกมือเพื่อหยุดพวกเขา อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ดูเหมือนจะมองเห็นความคิดของพวกเขาซึ่งในทันใดนั้นเย่เชียนก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองพวกเขาและดวงตาที่แหลมคมของเย่เชียนดูเหมือนจะแทงทะลุหัวใจของพวกเขาและร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านด้วยความตกใจอย่างไม่รู้ตัว
ในสถานการณ์เช่นนี้โจวหยวนก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเต็มๆ ตาของเขาและเขาก็ร้องออกมาอย่างลับๆ ในใจว่า ‘มันวิเศษมาก!’ เพราะเพียงแค่เย่เชียนมองตาพวกเขาเช่นนั้นแต่กลับทำให้คู่ต่อสู้หวาดกลัวจนตัวสั่นซึ่งสิ่งนี้มันเหนือคำบรรยายอย่างยิ่ง
เย่เชียนก็ก้มหัวลงอีกครั้งและกินอาหารตรงหน้าเขาจนหมดจากนั้นเย่เชียนก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและเอนหลังพิงเก้าอี้และหยิบทิชชู่ออกมาแล้วเช็ดปากอย่างช้าๆ แล้วจากนั้นเขาก็โยนกระดาษทิชชู่ทิ้งไปแล้วหันไปมองแม่ม่ายดำจือเหวินและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ผมคิดว่าคุณคงจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ..ผมไม่ได้วางแผนจะช่วยคุณเลย”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งแล้วจากนั้นก็พูดว่า “คุณคิดดีแล้วหรือ”
ปากของเย่เชียนก็ฉีกโค้งขึ้นเล็กน้อยและเขาก็ยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “จะยังไงก็เถอะ..ผมจะบอกคุณว่านับตั้งแต่นี้ไปหัวของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จะต้องเป็นของผม..คุณไม่ควรเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้!”
โจวหยวนก็ตกตะลึงเช่นกันและเขาก็มองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจเพราะเขาไม่เข้าใจเลยว่าเย่เชียนนั้นหมายถึงอะไร ซึ่งเขาก็บอกแค่ว่าเขาจะไม่ช่วยแม่ม่ายดำจือเหวิน ซึ่งแม่ม่ายดำจือเหวินก็จ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจเช่นกันซึ่งเห็นได้ชัดว่าทัศนคติของเขานั้นคลุมเครือเล็กน้อยเพราะดูเหมือนจะเป็นคำเตือนแต่ความหมายข้างในนั้นมันก็ชัดเจนมากว่านี่เป็นการช่วยเหลือเธอทางอ้อมนั่นเอง
“ประทานโทษนะ..ฉันไม่สนใจเรื่องระหว่างคุณกับพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่หรอก..แต่คุณเองก็ไม่สามารถหยุดฉันจากการจัดกำจัดพวกของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ได้เช่นกัน!” จือเหวินยืนกรานพูดเสียงแข็ง
โจวหยวนก็ถึงกับตกตะลึงไปกับเรื่องนี้โดยสิ้นเชิงเพราะเขาไม่เข้าใจเลยว่าทั้งสองคนนี้นั้นหมายถึงอะไรกันแน่ เพราะดูเหมือนว่าเย่เชียนจะเต็มใจที่จะช่วยแม่ม่ายดำจือเหวินแต่ทว่าแม่ม่ายดำจือเหวินดูเหมือนจะไม่เห็นคุณค่าของความตั้งใจนั้นๆ เลย เมื่อเห็นเช่นนั้นโจวหยวนก็ก้มหน้าลงด้วยความขมขื่นเพราะเขานั้นไม่สามารถเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม..แต่ถ้าคุณเข้ามายุ่งกับเรื่องของผมล่ะก็..อย่ามาโทษผมที่ผมทำให้คุณขุ่นเคืองก็แล้วกัน” เย่เชียนพูดอย่างแผ่วเบา
“ฉันยอมรับว่าคุณน่ะเป็นเหมือนมังกร..แต่มังกรก็ไม่ได้ทำให้งูกลัวเลย..ฉันเกรงว่าถ้าฉันไปทำอะไรให้คุณขุ่นเคืองล่ะก็..ฉันก็ขอโทษล่วงหน้าเลยก็แล้วกัน”
มุมปากของเย่เชียนฉีกเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายและไม่ได้พูดอะไรใดๆ เขาเพียงแค่หันหน้าไปมองโจวหยวนและถามว่า “กินเสร็จยัง? ..ฉันจะไปแล้ว!”
โจวหยวนก็รีบเช็ดปากอย่างรีบร้อนและเรียกบริกรมา “ฉันจ่ายเอง!” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด
“ผมไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใครและผมก็จะรู้สึกเบาใจเมื่อมีความขัดแย้งกันในอนาคต!” เย่เชียนพูดเบาๆ จากนั้นเขาก็ให้โจวหยวนจ่ายเงินแล้วทั้งสองคนก็เดินออกจากโรงแรมไป
งูก็ยังคงเป็นงูเพราะถ้าเราเหยียบมันเอาไว้มันก็จะไม่มีทางไปไหนได้ แต่ทว่าเย่เชียนนั้นเป็นมังกรและยังเป็นมังกรที่สามารถเรียกลมและเรียกฝนได้และงูตัวเล็กๆ ก็เทียบไม่ได้เลย ซึ่งการที่เย่เชียนต้องการช่วยแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นมันไม่ใช่เพราะแม่ม่ายดำจือเหวินและไม่ใช่เพราะหยุนเหลาและถ้าหากพูดด้วยเหตุผลล่ะก็นั่นก็เป็นเพียงแค่เย่เชียนนั้นรู้สึกว่าเขานั้นชื่นชมอย่างเทียนเพียงเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เคยเห็นหยางเทียนก็ตามแต่เย่เชียนก็ชื่นชมผู้ชายคนนี้และถ้าหากว่าเขามีโอกาสล่ะก็เขาจะไปแสดงความเคารพต่อหลุมศพของหยางเทียนสักครั้ง
ทันทีที่เขาเดินออกจากประตูของโรงแรมเขาก็เห็นหลวนห่าวเดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนที่น่าเกรงขามโดยหลวนห่าวนั้นมีผ้าก๊อซพันรอบๆ ศีรษะอยู่ซึ่งโจวหยวนก็ผงะไปชั่วขณะและรีบไปยืนอยู่ตรงหน้าของเย่เชียนทันที
ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถหรือไม่หรือเขาจะเก่งกาจแค่ไหนแต่มันก็ไม่สำคัญเพราะสิ่งที่สำคัญก็คือเขาต้องปกป้องเย่เชียนด้วยใจจริง
จือเหวินที่กำลังเฝ้ามองเย่เชียนเดินออกไปนั้นก็เห็นฉากนี้เช่นกันและเธอก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างมากเพราะแน่นอนว่าเธอนั้นรู้จักหลวนห่าวแต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าเย่เชียนไปยั่วยุหลวนห่าวได้อย่างไรหรือเป็นไปได้ไหมที่เย่เชียนได้เริ่มลงมือจัดการกับพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่แล้ว?
“หัวหน้า..คุณอยากให้พวกเราไปช่วยเขาไหม?” บอดี้การ์ดร่างกำยำถาม
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่! ..ฉันอยากจะเห็นกับตาตัวเองว่าคนที่ผู้อาวุโสหยุนชื่นชมนั้นมีความสามารถแบบไหน” ถึงแม้ว่าเธอจะพูดเช่นนั้นแต่แม่ม่ายดำจือเหวินก็รู้ดีว่าผลที่ตามมาของหลวนห่าวนั้นจะเป็นแบบไหนและแทบจะไม่ต้องคิดเลย ตอนนี้ดวงตาของเย่เชียนก็ทำให้บอดี้การ์ดสองคนของเธอสั่นสะท้านอีกครั้งและแม้แต่แม่ม่ายดำจือเหวินเองก็เห็นมันเห็นด้วยตาของเธอเองอย่างชัดเจนแล้ว
เย่เชียนก็ยื่นมือออกไปสะกิดโจวหยวนและถามเบาๆ ว่า “เอ็งกลัวมั้ย?”
“จะไปกลัวทำไม..ผมเจอเรื่องแบบนี้มาเยอะแล้ว!” โจวหยวนพูด “พี่สองไม่ต้องกังวลไป..ผมจะปกป้องพี่..ต่อให้แลกด้วยชีวิตก็ตาม”
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ดี! ..แต่เอ็งควรปกป้องตัวเองก่อน..อย่าทำให้ชีวิตของเอ็งตกอยู่ในกำมือของพวกนักเลงกระจอกๆ พวกนี้สิ..มันไม่คุ้มค่ากันหรอก” จากนั้นเย่เชียนก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “แม่งเอ๊ย..ฉันเพิ่งจะกินข้าวเสร็จ..อาหารมันยังไม่ย่อยเลย”
โจวหยวนก็ถึงกับผงะไปและเขาก็เหงื่อตกอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาเคยได้ยินหวังหูพูดถึงวีรกรรมอันทรงเกียรติของเย่เชียนมามากมายและว่ากันว่าเย่เชียนนั้นสามารถเผชิญหน้ากับมาเฟียหลายสิบคนด้วยตัวคนเดียว ซึ่งตอนนั้นเขาไม่เชื่อเรื่องนี้จริงๆ แต่ทว่าตอนนี้ที่เขาได้เห็นความสงบเสงี่ยมของเย่เชียนแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อ
.
.
.
.
.
.
.