ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 433 ผลกรรม
ตอนที่ 433 ผลกรรม
เช่นเดียวกับที่หยางเทียนกล่าวเอาไว้ว่าเขาได้ทำสิ่งที่เลวร้ายมามากมายในชีวิตของเขา ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าผลกรรมมันจะตกทอดไปสู่ลูกๆ ของเขา ซึ่งพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ได้ทำสิ่งที่โหดร้ายมามากมายไปในชีวิตของเขาและเขาก็ได้ให้กำเนิดลูกชายสามคนซึ่งพวกเขาได้เสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะอายุ 1 ขวบและมีเพียงหลวนห่าวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้และเขาก็ทะนุถนอมและเลี้ยงดูอย่างดีและทำทุกวิถีทางเพื่ออุ้มชูลูกชายคนนี้ อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นข้อดีสำหรับเขาเพราะตราบใดที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่หลวนห่าวต้องการล่ะก็พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา
อาจเป็นเพราะความเอาแต่ใจจนเกินไปจึงทำให้หลวนห่าวเป็นคนไร้ค่าและเขาก็เรียนหนังสือไม่จบตั้งแต่มัธยมต้น ซึ่งพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็คิดว่าเขามีอำนาจและครอบครัวของเขาก็ยิ่งใหญ่ดังนั้นหลวนห่าวจึงไม่ต้องเรียนหนังสือก็ได้และมักจะสนับสนุนให้หลวนห่าวพาพวกนักเลงไปก่ออาชญากรรมอยู่เสมอ เนื่องจากสถานะอันทรงเกียรติของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงยอมหลวนห่าว ดังนั้นเด็กคนนี้จึงถือว่าปลอดภัยและไม่เสี่ยงต่อการถูกทำร้ายใดๆ แต่ทว่าสิ่งนี้ได้ปลูกฝังนิสัยที่เย่อหยิ่งและเกรี้ยวกราดของเขามากยิ่งขึ้น และท้ายที่สุดหลวนห่าวก็ได้ทำให้คนที่ไม่ควรทำขุ่นเคืองต้องมาขุ่นเคืองใจโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมองไปที่หลวนห่าวที่นอนอยู่ในห้องผ่าตัดฉุกเฉินนั้นใบหน้าของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็สั่นระริกและดูเหมือนว่าเขาจะพยายามระงับความโกรธของเขาเอาไว้ ซึ่งเขาคิดว่ามีคนกำลังพยายามใช้ลูกชายของเขาเพื่อกำจัดเขาแบบนั้นใช่ไหม?
“ใครเป็นคนทำ!” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ถามด้วยความโกรธเกรี้ยว
เหล่านักเลงที่ยืนตั่วสั่นอยู่ที่นั่นอย่างไม่หยุดยั้งก็พูดอย่างคลุมเครือว่า “เรา…เราไม่รู้จักเขา..แต่ว่าก่อนที่เขาจะไปเขาบอกว่าชื่อของเขาคือเย่เชียน”
“เย่เชียน? ” ดวงตาของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่เปล่งประกายแสงอันเย็นยะเยือกออกมาเพราะตัวเขานั้นเป็นถึงคนที่มีชื่อเสียงในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้และครั้งนี้มีบุคคลภายนอกมาทำสิ่งที่โหดร้ายกับลูกชายของเขาเช่นนี้ ซึ่งถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะได้รับการสนับสนุนจากหวังหูก็ตามแต่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็จะไม่ปล่อยให้เย่เชียนได้ออกจากดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ไปได้
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ไม่เหมือนหยุนเหลาดังนั้นเขาจึงไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับรายละเอียดที่มาที่ไปของเย่เชียนและเขาก็คิดว่าเย่เชียนเป็นแค่พ่อค้าของเก่าของโบราณเพียงเท่านั้น และเรื่องต่างๆ นั้นมันก็เกิดขึ้นมาจากการที่ถังเหวยซวนได้ขโมยของล้ำค่ามา ดังนั้นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จึงคิดแค่ว่าเย่เชียนคงจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับหวังหูมากนัก
“ฉันขอให้พวกแกคอยคุ้มกันเสี่ยวห่าวแล้วพวกแกมัวทำอะไรอยู่? ..ถ้าลูกชายของฉันเป็นอะไรไปล่ะก็..พวกแกต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูดอย่างเดือดดาล
พวกนักเลงเหล่านั่นก็ตัวสั่นด้วยความกลัวและคุกเข่าลงพร้อมกับขอร้องอ้อนวอน “ไปเอาตัวมันมาให้ฉันแบบเป็นๆ!” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูดอย่างเกรี้ยวกราด ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามเขาก็ตอบสนองอย่างร้อนรนและพาพวกนักเลงเหล่านั้นออกไป
“เย่เชียน! ..ฉันจะไม่ปล่อยแกไปแน่!” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูดอย่างโกรธเกรี้ยว
หลังจากนั้นไม่นานไฟในห้องผ่าตัดก็ดับลงและคณะแพทย์กับพยาบาลก็เดินออกมาจากห้องนั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็รีบเดินเข้าไปถามว่า “เป็นยังไงบ้าง..ลูกของผมอาการเป็นยังไงบ้าง? ”
“สมองทั้งสองซีกของผู้ป่วยนั้นได้รับความเสียหายอย่างมากและความผิดปกตินี้ก็นำไปสู่การสูญเสียความสามารถในการตอบสนองต่อระบบประสาท..แต่ความรู้สึกยังคงอยู่” นายแพทย์คนหนึ่งพูดขณะที่ถอดหน้ากากออก
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ถามด้วยความว่างเปล่าว่า “คุณหมายถึงอะไร? ..คุณช่วยอธิบายสั้นๆ หน่อยจะได้ไหม?”
“ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ..ลูกชายของคุณจะไม่ได้สติไปสักระยะหนึ่ง”
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวแล้วถามว่า “เมื่อไหร่เขาจะฟื้น”
“นี่เป็นเรื่องยากที่ไม่สามารถยืนยันได้..เพราะบางคนก็หนึ่งหรือสองสัปดาห์..แต่บางคนก็หนึ่งหรือสองปีเลย..และยิ่งไปกว่านั้นบางคนก็อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาเลยในชีวิตนี้..อย่างไรก็ตามถึงยังไงก็ยังมีอยู่อีกหลายกรณีในวงการแพทย์ปัจจุบัน..คุณต้องพูดคุยกับเขาให้เยอะๆ เพื่อกระตุ้นเขา..เพราะจิตใต้สำนึกของเขาอาจจะตื่นขึ้นได้ในไม่ช้านี้” นายแพทย์พูด
มุมปากของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็กระตุกสองสามครั้งและเขาก็คว้าปกคอเสื้อของแพทย์คนนั้นและพูดอย่างเดือดดาลว่า “อย่ามาไร้สาระ! ..ถ้าคุณรักษาลูกชายของผมไม่ได้ล่ะก็..คุณต้องชดใช้ชีวิตลูกชายของฉันด้วยครอบครัวของคุณ!”
นายแพทย์คนนั้นก็ตื่นตระหนกและไม่กล้าที่จะหยิ่งผยองใดๆ จนเขาพูดด้วยความตกใจว่า “ผม…ผมพยายามอย่างเต็มที่แล้ว..อุปกรณ์ทางการแพทย์ของเราที่นี่มีจำนวนจำกัด! ..ฉันจะสั่งย้ายผู้ป่วยไปรักษาที่ต่างประเทศเพราะบางทีมันอาจจะมีโอกาสมากขึ้น!” ความจริงแล้วอาการป่วยอัมพาตนั้นต่างก็มีการรักษาแบบเดียวกันทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งมันขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกและความพยายามของคนไข้เองล้วนๆ
“ไปซะ!” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ยกนายแพทย์ขึ้นด้วยมือข้างเดียวแล้วปล่อยลงกับพื้นอย่างแรงและตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
นายแพทย์คนนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะพวกเขานั้นเป็นคนที่หยิ่งผยองมาตั้งแต่ยังเด็กโดยปกติแล้วนายแพทย์เหล่านี้มักจะทำตัวเหมือนทูตสวรรค์และเป็นเหมือนเจ้าชีวิตของมนุษย์ แต่ทว่าครั้งนี้เขาก็รู้สึกอับอายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่โหดเหี้ยมเช่นนี้
ในเวลานี้พยาบาลก็ได้ย้ายหลวนห่าวออกจากห้องผ่าตัดโดยมือและเท้าของหลวนห่าวนั้นได้รับการรักษาอย่างหนักหน่วงและมีรอยแผลบนใบหน้าของเขาก็ถูกรักษาอย่างดี ซึ่งไม่มีใครสามารถจินตนาการได้เลยว่าเย่เชียนนั้นโหดเหี้ยมแค่ไหนในเวลานั้น เมื่อเห็นเช่นั้นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็จับแขนของหลวนห่าวและตัวสั่นอย่างไม่หยุดยั้งแล้วพูดอย่างโศกเศร้าว่า “เสี่ยวห่าว..ไม่ต้องกังวลไป..พ่อจะแก้แค้นให้เอ็งและเอาหัวของมันมามอบให้เอ็ง”
หลังจากพูดจบแล้วพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็หันกลับมาอย่างเด็ดเดี่ยวและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดกับคนของเขาว่า “ไม่ว่าพวกแกจะใช้วิธีอะไรหรือแบบไหนก็ตาม..แต่จำเอาไว้ว่าจับเป็นเท่านั้น..ฉันจะฆ่ามันด้วยมือของฉันเอง!”
“ครับหัวหน้า!” เหล่าลูกน้องก็รีบตอบรับแล้วรีบเดินออกจากโรงพยาบาลไปและกดโทรศัพท์ขณะเดิน
อีกด้านหนึ่งที่เขตชานเมืองเสิ่นหยวนในบ้านพักของหยุนเหลานั้นก็มีแม่ม่ายดำจือเหวินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหยุนเหล่าและเล่าให้หยุนเหลาฟังสั้นๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องระหว่างตัวเธอกับเย่เชียน ซึ่งในทันใดนั้นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของก็คลายออกเป็นรอยยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นมีลูกชายเพียงคนเดียว..และตอนนี้เขาก็ถูกเย่เชียนทำร้ายเช่นนั้น..ซึ่งเรื่องนี้มันไม่อาจแก้ไขได้อีกต่อไปแล้ว..ดังนั้นเสี่ยวเหวินเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ..เมื่อเย่เชียนเริ่มเคลื่อนไหวล่ะก็เธอต้องคอยช่วยเขาหรือใช้โอกาสนี้จะโค่นล้มพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ซะ”
“แต่ว่าทุกวันนี้พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็พัวพันอยู่กับกองกำลังในประเทศเกาหลีเหนือ..ฉันคิดว่าการที่เขามีกองกำลังขนาดใหญ่เช่นนี้หนุนหลังอยู่นั้นมันจะไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด
“หืม..เธอรู้ไหมว่าอีกฝ่ายมาจากไหน? ” หยุนเหลาถามด้วยความประหลาดใจ
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน..แต่พวกนั้นดูเหมือนจะเป็นทหารรับจ้าง..เพราะพวกเขาไม่มีความปรานีใดๆ ทั้งสิ้น..ซึ่งคนที่ฉันส่งออกไปนั้นไม่มีใครที่กลับมาแบบมีชีวิตเลยสักครั้ง..และยิ่งไปกว่านั้นศพทุกศพที่เราพบต่างก็ถูกตัดหัวออกไปจนหมด”
“ทหารรับจ้าง? ..พวกนั้นคือกลุ่มที่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ขอให้ช่วยอย่างงั้นหรือ?” หยุนเหลาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูด
“ไม่น่าจะใช่แบบนั้นเพราะพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่หวั่นเกรงพวกเขาอย่างมาก..ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นที่ขอให้พวกเขาเข้ามาช่วย..ฉันคิดว่ามันเป็นกองกำลังบางอย่างจากประเทศเกาหลีเหนือที่อยากเข้ามารุกรานดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของเรา” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด
“โอ้…..” หยุนเหลาตอบแบบลากเสียงยาวและเอนกายพิงโซฟาและขมวดคิ้วโดยไม่สมัครใจ ซึ่งถึงแม้ว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะคิดว่าเย่เชียนนั้นเป็นเหมือนเทพเจ้าก็ตามแต่ทว่าเมื่ออยู่ในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้แล้วพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็มีอิทธิพลอย่างมากและตอนนี้ก็ยังมีทหารรับจ้างหนุนหลังอยู่ด้วยดังนั้นเขาจึงคิดว่าเย่เชียนอาจจะไม่สามารถต้านทานได้
“ฉันควรจะโทรไปหาหวงฟู่ชิงเตี๋ยนดีกว่าและดูท่าทีของเขาว่าเขาจะทำยังไง” หยุนเหลาพูดหลังจากเงียบไปนาน ซึ่งนอกจากวิธีนี้แล้วเขาก็ไม่สามารถคิดหาวิธีการอื่นๆ ได้อีก เพราะท้ายที่สุดแล้วหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็เป็นคนที่รู้เรื่องของเย่เชียนเป็นอย่างดีดังนั้นจึงเหมาะสมที่สุดที่จะถามสิ่งต่างๆ จากเขา
หลังจากกดเบอร์โทรศัพท์ของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วพวกเขาก็ได้แลกเปลี่ยนคำพูดกันสักพักหนึ่ง ส่วนแม่ม่ายดำจือเหวินก็เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อและมองไปที่หยุนเหลาอย่างเคร่งเครียด “เอาล่ะ..ขอบใจมาก! ” หยุนเหลาพูดจบและวางสายโทรศัพท์ไป
“เขาว่ายังไงบ้างคะ?” แม่ม่ายดำจือเหวินถามอย่างกระตือรือร้น
“มันก็ยังคงเป็นประโยคเดิมๆ ..เพราะเขาไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้” หยุนเหลาพูด “ฉันคิดว่าเราควรจะรอดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นดีกว่า..แน่นอนว่านี่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอและฉันจะสามารถเข้าไปแทรกแซงได้อีกต่อไปแล้ว”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ถึงกับผงะไปและความอยากรู้อยากเห็นของเธอเกี่ยวกับเย่เชียนก็ยิ่งมีมากขึ้นว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนแบบไหนที่แม้แต่ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของจีนผู้มีเกียรติอันยิ่งใหญ่ยังไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงได้ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเย่เชียนก็คงจะมีพลังมากพอที่จะทำให้ประเทศสั่นสะเทือนเลยใช่หรือไม่?
ข่าวที่ลูกชายของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสนั้นก็ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วบนท้องถนนในขณะที่สถานการณ์ต่างๆ กำลังโหมกระหน่ำและถาโถมอย่างมาก ใครที่รู้บุคลิกและนิสัยของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นต่างก็รู้ดีว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้มันจะต้องเป็นพายุลูกใหญ่อีกครั้งใช่ไหม? สำหรับคนที่รู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดีนั้นต่างก็เริ่มหดหัวหลีกเลี่ยงหากพวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงได้พวกเขาก็เต็มใจที่จะหลีกเลี่ยงเพราะพวกเขาไม่อยากเข้ามาพัวพันกับสถานการณ์เช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายอย่างมากเพราะนั่งอยู่บนโซฟาของโรงแรมและนั่งรายการโทรทัศน์อย่างสบายใจเฉิบ ในขณะที่โจวหยวนที่อยู่ข้างๆ เขานั้นมีผ้าก๊อซพันแผลเอาไว้เต็มตัวไปหมด
ในเวลานี้จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเย่เชียนก็ดังขึ้นและหลังจากรับสายแล้วคิ้วของเย่เชียนขมวดเข้าหากันแน่นและคลายออกในไม่ใช้หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าและวางสายโทรศัพท์ไป
“มีอะไรหรอครับพี่สอง?” โจวหยวนถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรๆ ..ฉันไม่ได้คาดหวังเลยว่าไอ้หมอนั่นมันจะเป็นลูกชายของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่..และตอนนี้เขาก็กำลังส่งคนออกไปรอบๆ เพื่อตามล่าฉัน” เย่เชียนพูด
โจวหยวนก็ตัวสั่นเทาและรู้สึกประหม่าเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นท่าทางที่ดูสงบเสงี่ยมของเย่เชียนเย่เชียนเขาก็คลายความตึงเครียดลงได้ในทันที
ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะสังเกตเห็นความกังวลใจของโจวหยวนดังนั้นเย่เชียนจึงยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป..ไอ้พวกนั้นมันก็เป็นแค่ตัวตลก!”
หลังจากนั้นเย่เชียนก็โทรออกและหลังจากเชื่อมต่อสายแล้วเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “สวัสดีครับพี่หลิน! ..ไม่ได้เจอกันนานเลย..พี่เป็นยังไงบ้าง?”
.
.
.
.
.
.
.