ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 435 กฎของตัวเอง
ตอนที่ 435 กฎของตัวเอง
ราชาหมาป่าเย่เชียน,หลินเฟิงแห่งเซเว่นคิลและหมาป่าผีไป๋ฮวย ถึงแม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษก็ตามแต่ถึงยังไงชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขาก็จะต้องดังกึกก้องไปทั่วโลกอย่างแน่นอน ความทะเยอทะยานของเย่เชียน ความสงบเยือกเย็นของหลินเฟิงและความหยิ่งผยองของหมาป่าผีไป๋ฮวยนั้นเป็นสิ่งที่แม่น้ำและทะเลสาบทั้งหมดมาบรรจบกัน ซึ่งไม่รู้ว่ามีกี่คนที่เดินตามรอยพวกเขา ซึ่งสองสามปีที่ผ่านมาเมื่อหลินเฟิงยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของพีระมิดและมองลงไปที่พื้นโลกนั้นเขาก็มักจะจินตนาการภาพของทั้งสามคนรวมถึงตัวเขาเองที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดภายในใจ
มีคนเคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหลินเฟิงว่าเขาเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์และโหดร้ายและไร้ปรานี ซึ่งมันเป็นคำพูดที่ลึกลับมากเพราะหลินเฟิงนั้นมีเรื่องราวและตำนานที่ยอดเยี่ยมมากมายในชีวิตของเขา ซึ่งถึงจะบอกว่าเขาเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์และโหดร้ายและไร้ปรานีก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็ยังคงปฏิบัติตามกฎการลงทัณฑ์ทั้งเจ็ดมาเสมอ
ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วหลินเฟิงได้รับภารกิจให้ทำการลอบสังหารสมาชิกขององค์กรหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจพูดได้ว่าเขาคนนั้นเป็นคนที่หลินเฟิงไม่อาจเอาชนะพวกเขาได้เลยแต่ทว่าเพียงผ่านไปค่ำคืนเดียวก็พบศพของเขาคนนั้นนอนอยู่ในบ้านโดยมีบาดแผลอย่างน้อยๆ หนึ่งร้อยรูตามร่างกาย ซึ่งเหตุการณ์นี้นั้นถือเป็นความอัปยศอย่างยิ่งของวงการใต้ดินของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งครั้งนั้นมันไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงหรือผลกำไรใดๆ เลยแม้แต่น้อยแต่เป็นเพียงนักเรียนชาวต่างชาติที่ถูกข่มเหงและขืนใจโดยสมาชิกองค์กรใต้ดินคนนั้นและเธอบังเอิญไปหาหลินเฟิงและหลินเฟิงก็รับงานนี้โดยมี ค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด!
หลินเฟิงก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนแล้วถามว่า “แบบนี้เป็นไงน้องเย่..พอใจหรือเปล่า?”
“สั่งสอนเขาอีกสักหน่อย..ให้เขาได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดสักครั้ง” เย่เชียนหันไปมองและพูด
“จัดไป” หลินเฟิงก็ตอบและคว้าแขนอีกข้างเด็กหนุ่มผมสีทองและบิดมันอย่างแรง ซึ่งเด็กหนุ่มผมสีทองคนนี้ที่หมดสติไปแล้วก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งภายใต้ความเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมและมองไปที่แขนที่บิดเบี้ยวทั้งสองข้างแล้วจิตใจของเขาก็ถูกทำลายไปจนหมดและเป็นลมหมดสติไปอีกครั้ง
หลังจากนั้นหลินเฟิงก็หยุดมือของเขาและเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเงียบๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะแทรกแซงอะไรอีกต่อไป เย่เชียนเองก็ไม่ได้ขอให้เขาช่วยอะไรอีกต่อไป ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานนักที่ด้านหน้าประตูห้องของเย่เชียนก็เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งบางคนเป็นลมหมดสติไปและบางคนก็ยังคงร่ำไห้โอดครวญอยู่ที่พื้น
เย่เชียนก็เข้ามาพร้อมกับยิ้มให้หลินเฟิงและพูดว่า “ไปหาที่ดื่มกันหน่อยมั้ย?”
“ก็ดีเหมือนกัน!” หลินเฟิงก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาที่เน้นความงามของความเป็นผู้หญิงอย่างมาก
โจวหยวนก็เดินออกมาจากห้องไปและเหลืองมองไปเห็นหลินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เย่เชียและเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย “น้องชายนายเหรอ?” หลินเฟิงถาม ซึ่งเพียงแค่แวบเดียวก็ทำให้โจวหยวนรู้สึกหนาวสั่นจากก้นบึ้งของหัวใจที่เขาจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต เป็นการจ้องมองที่ธรรมดาแต่ดูเหมือนว่ามันมีใบมีดหลายพันเล่มเจาะเข้าไปในอวัยวะภายในของเขาในเวลาเดียวกันและเขาก็อดไม่ได้ที่จะหนาวสั่น ซึ่งมันเป็นความกลัวชนิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจและร่างกายของโจวหยวนก็ดูเหมือนจะสูญเสียการควบคุมไปและสมองของเขาก็สั่งการอะไรไม่ได้เลย
เย่เชียนก็ตบไหล่โจวหยวนเบาๆ และพูดกับหลินเฟิงว่า “เด็กรุ่นใหม่..พาออกมาหาประสบการณ์ใหม่ๆ” ด้วยการตบไหล่เบาๆ นี้ของเย่เชียนกำให้โจวหยวนดูเหมือนจะรู้สึกปลอดภัยจนความหวาดกลัวที่อยู่ในใจของเขามันค่อยๆ จางหายไป อย่างไรก็ตามโจวหยวนก็แอบบอกตัวเองว่าในช่วงชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันทำให้หลินเฟิงต้องขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย
“เอ็งไปหาที่พักใหม่ก่อน..พี่หลินกับฉันจะไปดื่มกันสักหน่อย..โทรมาหาฉันด้วยล่ะถ้าเอ็งหาที่พักใหม่ได้แล้ว!” เย่เชียนพูดพร้อมกับมองไปที่โจวหยวน
“อืม!” โจวหยวนพยักหน้าอย่างหนักหน่วงแต่เมื่อเขากำลังอ้าปากเพื่อพูดเขาก็พบว่าเขาไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้เลยซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลินเฟิงนั้นกดดันเขามากแค่ไหน หลินเฟิงก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและเดินกลับเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับเย่เชียนเมื่อประตูลิฟต์ถูกปิดลงอย่างช้าๆ โจวหยวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ซึ่งเพียงแค่สบตากับเขาแล้วโจวหยวนก็ถึงกับเหงื่อตกอย่างรุนแรง ‘เขาเป็นใคร?’ โจวหยวนคิดอย่างลับๆ
โจวหยวนก็ส่ายหัวแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์อีกตัว ซึ่งถ้าเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เพราะการตบไหล่เบาๆ ของเย่เชียนล่ะก็เขาก็คงจะคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัวไปเสียแล้ว ซึ่งหลินเฟิงเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าการจ้องมองของเขานั้นจะทำให้เกิดเงาทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่กับโจวหยวน ซึ่งหลังจากไม่กี่ปีที่โจวหยวนได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงเช่นนี้นั้นจึงทำให้เขามีสิ่งต่างๆ เช่นนี้โดยปริยาย
ทันทีที่ทั้งสามคนออกจากโรงแรมทันใดนั้นรถตำรวจจำนวนหลายก็ขับกรูกันเข้ามาและเมื่อตำรวจเดินขึ้นไปที่ชั้นบนพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสิ่งต่างๆ ที่เย่เชียนทิ้งเอาไว้ให้ ซึ่งพวกเขาเองก็ชัดเจนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ได้ติดต่อกับพวกเขาเอาไว้แล้วว่าเขานั้นต้องการทำอะไรบางอย่างและให้พวกเขามาที่นี่ในภายหลัง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านี้ต่างก็คิดว่าเรื่องต่างๆ น่าจะคลี่คลายได้อย่างราบรื่นแต่เมื่อมองดูสถานการณ์ตรงหน้านั้นกลับเป็นคนของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ที่ถูกอีกฝ่ายจัดการ
เมื่อมองไปที่แขนที่บิดเบี้ยวของเด็กหนุ่มผมสีทองแล้วหัวหน้าทีมตำรวจหน่วยสืบสวนอาชญกรรมก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเพราะจากประสบการณ์ที่เขามีมาหลายปีนั้นเขาไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่นในใจ และเขาก็รู้ดีว่าศึกครั้งนี้นั้นมันจะแตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิงและเขาก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
! เรียกรถพยาบาล!” หัวหน้าทีมตำรวจหน่วยสืบสวนอาชญากรรมพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาและเขาก็หันเดินออกไปข้างๆ และกดเบอร์โทรศัพท์ของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่และอธิบายสถานการณ์ที่นี่ให้พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ฟัง
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ถึงกับผงะเช่นกันเพราะครั้งนี้มันแตกต่างไปจากพวกนักเลงทั่วไปและลูกน้องของหลวนห่าวเพราะคนเหล่านี้นั้นส่วนใหญ่เป็นนักเลงที่มีชื่อเสียง อย่างไรก็ตามด้วยคนจำนวนมากมายหลายคนขนาดนี้แต่กลับไม่สามารถจัดการเย่เชียนได้เช่นนี้ซึ่งมันทำให้พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่รู้สึกหนาวสั่นจากก้นบึ้งของหัวใจ
อย่างไรก็ตามมันก็ไม่อาจลบล้างความร้าวฉานของลูกชายของเขาได้ เพราะที่แห่งนี้คือดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมันเป็นดินแดนของเขาเองและไม่ว่าเขาจะสู้กับเย่เชียนอย่างไรถึงยังไงเขาก็สามารถต่อสู้ได้มากกว่าสิบครั้งและเขาก็จะสู้ได้อย่างเต็มร้อยได้หรือไม่? แล้วเขาจะพ่ายแพ้ได้อย่างไร?
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ไม่ใช่คนบ้าบิ่นมากจนถึงขนาดนั้นและความสำเร็จของเขาก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังเดรัจฉานของเขาเองทั้งหมด ซึ่งหลังจากเงียบไปครู่หนึงพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็โทรออก “คุณพุชกิน..ผมพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่เอง..ผมยากจะรบกวนคุณเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง..คุณสามารถหาคนที่จะช่วยผมจัดการกับเรื่องได้หรือไม่..อีกฝ่ายเก่งเกินไป..เพราะผมส่งคนไปตั้งหลายคนแต่เขาสามารถจัดการทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ..ผมขอรบกวนคุณด้วย”
หลังจากวางสายโทรศัพท์ไปพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “แม้งเอ๊ย! ..ถ้าพวกแกยังจัดการมันไม่ได้อีกล่ะก็..พวกแกซวยแน่!”
ในเวลานี้เย่เชียนและหลินเฟิงก็กำลังนั่งอยู่ที่แพงขายอาหารที่มุมถนซึ่งภายในโต๊ะข้างหน้าพวกเขานั้นก็เต็มไปด้วยเครื่องเคียงและอาหารสไตล์ตะวันออกเฉียงเหนือแท้ๆ พร้อมกับไวน์ขาวสองสามขวด
“ฉันได้ยินมาว่านายจัดการกับลูกชายของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จนเขาไปนอนอยู่ในโรงพยาบาลและกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปอย่างงั้นหรือ” หลินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“สายข่าวของพี่หลินนี่ยอดเยี่ยมมากฮ่าๆ ..แต่ว่าตอนนั้นผมไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกชายของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่..ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ยั้งมือเอาไว้แบบนั้นแน่นอน” เย่เชียนฉีกยิ้มและพูด
“แล้วน้องเย่มาทำอะไรทีภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ล่ะ..จะมาจัดการพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่โดยเฉพาะหรือ?” หลินเฟิงถามอย่างสงสัย เพราะเขารู้จักบุคลิกของเย่เชียนดีและเขาก็เชื่อด้วยว่าเย่เชียนนั้นรู้ดีว่าองค์กรเซเว่นคิลของตนนั้นตั้งอยู่ในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ ดังนั้นเย่เชียนก็จะไม่มีวันพัฒนาพลังและกองกำลังของเขาที่นี่และตนก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความกลัวแต่มันเป็นการแสดงความเคารพที่จริงใจ
“จริงๆ แล้วที่ผมมาที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนี้ก็เพื่อตามหาใครบางคน..และผมก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าผมจะต้องมาลำบากถึงขนาดนี้..ซึ่งการที่ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้นั้นเป็นเหมือนโลกของพี่หลิน..เพราะงั้นผมก็หวังว่าพี่หลินจะช่วยผมได้”
“น้องเย่ก็ชมฉันเกินไป” หลินเฟิงพูด “ในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนน่ะทุกคนต่างก็รู้จักพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่และแม่ม่ายดำจือเหวินกันทั้งนั้น..แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่ายังมีหลินเฟิงในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้..มันไม่ใช่โลกของฉันหรอก”
“นั่นคือความโง่เขลาของโลกแห่งนี้..เพียงเพราะพี่หลินไม่ต้องการย่างก้าวเข้าไปในการต่อสู้ของโลกใบนี้เท่านั้น” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
หลินเฟิงก็ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรใดๆ เพราะความจริงมันก็เป็นเช่นนั้นเพราะหลินเฟิงนั้นไม่ได้ต้องการมีส่วนร่วมในการต่อสู้ในโลกแห่งวงการใต้ดิน ไม่เล่นนั้นชื่อของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็คงจะถูกลบหายไปนานแล้ว หลังจากหยุดไปชั่วขณะหลินเฟิงก็ถามว่า “น้องเย่มาตามหาใคร?”
“ผู้ชายคนนึงที่ชื่อถังเหวยซวน..เขาได้ขโมยของที่สำคัญสำหรับผมไปตอนที่เขาอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้” เย่เชียนพูดต่อ “ในตอนแรกแม่ม่ายดำจือเหวินตกลงที่จะช่วยผมตามหาแต่ทว่าเธอกลับทำไม่ได้เพราะพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จงใจให้ที่หลบภัยแก่ถังเหวยซวนและปกปิดสิ่งต่างๆ เอาไว้..และหลังจากนั้นไม่นานผมก็พบว่าถังเหวยซวนตายแล้วเมื่อเช้านี้..ซึ่งมันต้องเป็นฝีมือของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่อย่างแน่นอน..และผมก็คิดว่าเขาได้ยึดครองสิ่งนั้นเอาไว้กับตัวเอง”
“อืม!” หลินเฟิงตอบ แต่เขาก็ไม่ได้ถามเย่เชียนว่ามันคืออะไรเพราะมันไม่สำคัญสำหรับเขาและถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่กระดาษชำระม้วนหนึ่งก็ตามแต่ถ้าหากเย่เชียนคิดว่ามันเป็นสมบัติล่ะก็ถึงยังไงเขาก็ต้องทำอยู่ดี
“พี่หลินมีแหล่งข่าวมากมายอยู่ที่นี่..ผมไม่รู้ว่าคุณรู้จักพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่มากแค่ไหน?” เย่เชียนถาม
“ก็เขาเป็นคนที่มีนิสัยที่เย่อหยิ่งและเกรี้ยวกราดอย่างมาก..และเมื่อเร็วๆ นี้ดูเหมือนว่าเขาจะไปสมรู้ร่วมคิดกับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในประเทศเกาหลีเหนือ..ดูเหมือนว่าเขาจะชื่อเซอร์เก้..พุชกิน..อะไรนี่แหละ..ชื่อยาวเกินไปฉันก็จำไม่ค่อยได้..ฉันได้ยินมาว่าเขาคนนี้มีอำนาจมากในประเทศเกาหลีเหนือและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเหล่ามาเฟียของที่นั่น..ซึ่งคราวนี้เป็นการลงทุนทางธุรกิจแต่ในความคิดของฉันนั้นมันอาจจะมากกว่านั้นเพราะพวกมาเฟียใช้วิธีการรุกรานโดยปลอมตัวข้ามชายแดนมา..ฉันเกรงว่าพวกมันต้องการขยายอำนาจและอิทธิพลในดินแดนทิศตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้น่ะสิ!” หลินเฟิงพูดอย่างช้าๆ
ฐานที่มั่นหรือสำนักงานใหญ่ขององค์กรเซเว่นคิลนั้นอยู่ในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ ดังนั้นหลินเฟิงจึงมีความชัดเจนอย่างมากเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ของดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและยิ่งไปกว่านั้นองค์กรเซเว่นคิลก็มีบุคลากรหน่วยลับพิเศษและหน่วยข่าวกรองเป็นของตัวเองและถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะไม่ได้เข้ามาแทรกแซงเรื่องต่างๆ ของดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็ยังจำเป็นต้องรู้ถึงสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของเซอร์เก้พุชกินนั้นเพราะทันทีที่เขาได้รุกรานมาถึงดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้คนของหลินเฟิงก็คอยจับตาดูและทำการสืบค้นอย่างละเอียดอย่างลับๆ มาโดยตลอด
.
.
.
.
.
.