ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 438 ความมืดก่อนรุ่งสาง
ตอนที่ 438 ความมืดก่อนรุ่งสาง
ไมคาอินอฟก็รายงานให้เบอร์นาร์ดสกี้ฟังเกี่ยวกับความสงสัยของเขาและไมคาอินอฟก็รอคำแนะนำและการตัดสินใจของเบอร์นาร์ดสกี้ อย่างไรก็ตามเบอร์นาร์ดสกี้ก็เป็นถึงผู้นำขององค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะและถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงองค์กรทหารรับจ้างก็ตามแต่พวกเขาก็ล้วนเป็นนักสู้ที่แท้จริงและมันเป็นหน้าที่ของทหารที่จะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายของเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งที่ไมคาอินอฟต้องทำก็คือการช่วยเบอร์นาร์ดสกี้วิเคราะห์สิ่งต่างๆ ให้สมเหตุสมผลที่สุดและกำหนดแผนการรบที่ดีที่สุดภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็นที่สุดเท่านั้น
เบอร์นาร์ดสกี้ก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าและทำตามอำเภอใจเพราะหลายครั้งเขาก็ยังคงถามถึงความคิดเห็นของไมคาอินอฟเสมอ ซึ่งตำแหน่งของไอคาอินอฟในจิ้งจอกหิมะนั้นก็เหมือนกันกับตำแหน่งของแจ็คในเขี้ยวหมาป่า ซึ่งเปรียบได้เหมือนหัวหน้าทีมและมันสมองของทีมนั่นเอง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเบอร์นาร์ดสกี้ก็พูดว่า “มิสเตอร์อเล็กซานเดอร์โซโลวียอฟนั้นเป็นบุคคลที่เราไม่สามารถทำให้เขาขุ่นเคืองได้..ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาคนนั้นจะต้องเป็นราชาหมาป่าเย่เชียนจริงๆ ก็ตามถึงยังไงเราก็ต้องทำเช่นนี้ต่อไป..และพวกนายก็ต้องสัญญากับฉันด้วยว่าไม่ว่าจะเป็นยังไงไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหนพวกนายก็ต้องมีชีวิตรอดกลับมา..เข้าใจมั้ย!”
อเล็กซานเดอร์โซโลวียอฟนั้นเป็นหัวหน้าของเซอร์เก้วิชพุชกินซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของประเทศรัสเซียและเป็นมหาเศรษฐีที่แท้จริง ซึ่งแม้กระทั่งประธานาธิบดีของประเทศรัสเซียก็ยังเป็นมิตรที่ดีกับเขา ซึ่งเขานั้นไม่ง่ายเหมือนนักธุรกิจทั่วไปเพราะอิทธิพลและอำนาจของเขานั้นเกือบจะครอบคลุมไปทั่วทั้งประเทศรัสเซียและยังขยายอำนาจไปยังประเทศเกาหลีเหนืออีกด้วย ซึ่งตราบใดที่เขาพูดอะไรสักคำล่ะก็องค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะก็สามารถถูกลบล้างหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ได้เลย ซึ่งเขานั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อำนาจของตัวเองเลยเพราะเขาเพียงแค่คุยกับรัฐบาลรัสเซียสองสามประโยคเขาก็ทำเช่นนั้นได้แล้ว ดังนั้นองค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะนั้นไม่สามารถทำให้บุคคลดังกล่าวขุ่นเคืองได้เลย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับเย่เชียนและเขี้ยวหมาป่าอย่างเป็นทางการด้วยความหวังอันริบหรี่
ไมคาอินอฟก็ตอบและวางสายโทรศัพท์ไปพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาซึ่งรอยยิ้มของเขานั้นดูน่าสังเวชและขมขื่นอย่างมากเพราะถ้าอีกฝ่ายนั้นเป็นราชาหมาป่าเย่เชียนจริงๆ ล่ะก็พวกเขาจะมีโอกาสสักแค่ไหนกัน? และถึงแม้ว่าเขาจะรอดกลับไปได้แล้วพี่น้องที่เหลือในทีมของเขาล่ะ? จะปล่อยให้พวกเขาไปพบกับความตายอย่างงั้นหรือ?
ไมคาอินอฟก็ส่ายหัวอย่างหนักหน่วงเพื่อพยายามที่จะระงับความหวาดกลัวในใจของเขาเพราะการเกิดความหวาดกลัวก่อนการเริ่มต่อสู้นั้นเป็นข้อห้ามทางยุทธวิธีที่สำคัญที่สุดของชายชาติทหาร ซึ่งถ้าใครไม่มีความกล้าพอที่จะสู้รบล่ะก็เราจะสู้ต่อไปได้อย่างไร? และถึงแม้ว่าเขาจะปรารถนาที่จะเผชิญหน้าอย่างเป็นทางการกับราชาหมาป่าเย่เชียนก็ตามแต่ทว่าชื่อเสียงเรียงนามของราชาหมาป่าเย่เชียนนั้นก็ยังคงกดดันเขาอย่างมากเช่นกัน
“กัปตันครับเป็นยังไงบ้าง” สมาชิกคนหนึ่งของจิ้งจอกหิมะที่เห็นการแสดงออกของไมคาอินอฟจึงเอ่ยปากถาม
“ไม่เป็นไร!” ไมคาอินอฟฝืนยิ้มออกมาเพราะเขากลัวว่าคนในทีมของเขาจะสูญเสียความมั่นใจไป “ฉันสงสัยจริงๆ ว่าเย่เชียนคนที่คุณหลวนพูดมานั้นใช่ราชาหมาป่าเย่เชียนที่ฉันรู้จักหรือเปลา”
“กัปตันหมายถึงราชาหมาป่าเย่เชียนผู้นำของเขี้ยวหมอป่าน่ะเหรอ!” ชายคนนั้นพูดต่อ “กัปตันครับ..เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไปหรอก..ถึงยังไงมันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ..ในโลกใบนี้ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาคนนั้นจะทรงพลังขนาดนั้นจริงๆ ..และถึงแม้ว่าเขาจะมีความสามารถและทรงพลังมากแค่ไหนก็ตาม..ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเราหลายๆ คนพร้อมกันได้หรอกใช่ไหม..การต่อสู้น่ะต้องอาศัยการทำงานกันเป็นทีม!”
ไมคาอินอฟก็ถึงผงะไปชั่วขณะและแอบคิดว่าการต่อสู้นั้นเป็นเรื่องของการทำงานเป็นทีมแต่ทว่าคนอย่างเย่เชียนก็อาจจะสามารถต่อสู้กับผู้คนมากมายเช่นนี้ได้อย่างง่ายดายใช่ไหม? ซึ่งตอนนี้เขาไม่มีความมั่นใจอะไรเลยจริงๆ ด้วยรอยยิ้มที่กะทันหันของเขาไมคาอินอฟก็พูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของพวกเรานั้นเป็นราชาหมาป่าเย่เชียนจริงๆ หรือเปล่า..แต่ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็ไม่ต้องกังวลไป..เพราะถึงเขาจะเป็นราชาหมาป่าเย่เชียนจริงๆ ก็ตาม..ถึงยังไงพวกเราจิ้งจอกหิมะก็ไม่ใช่ทหารธรรมดาๆ เช่นกัน..เพราะงั้นพวกเราต้องทำได้!”
คำพูดของไมคาอินอฟนั้นได้กระตุ้นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของสมาชิกทีมจิกจิ้งหิมะของเขาอย่างมาก ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยเมื่อเห็นไมคาอินอฟพูดเช่นนี้
ในความเป็นจริงแล้วถ้าหากเย่เชียนรู้ว่าไมคาอินอฟและกองทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนอาร์กติกนั้นไม่มีความกล้าแม้แต่จะสู้กับเขาล่ะก็เย่เชียนก็คงจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะชายชาติทหารนั้นมักจะเคารพผู้แข็งแกร่งเสมอและแม้แต่ผู้ที่พ่ายแพ้ในสนามรบก็ควรค่าแก่การเคารพเช่นกัน ซึ่งถ้าหากใครสูญเสียแม้แต่ความกล้าที่จะต่อสู้ที่จะเผชิญหน้าล่ะก็เขาคนนั้นก็ไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแต่เป็นคนขี้ขลาดที่ไร้พลัง
เป็นที่น่าเสียดายที่คู่ต่อสู้ที่องค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะแห่งอาร์กติกเหนือต้องเผชิญในครั้งนี้คือราชาหมาป่าเย่เชียนตัวคนเดียวแต่ไม่ใช่เหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่า แต่ทว่าเป็นองค์กรเซเว่นคิลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งนักฆ่า ซึ่งการรูปแบบการรบของนักฆ่านั้นจะไม่ทำการรุกที่รุนแรงดั่งเช่นทหารรับจ้างแต่จะเป็นการลอบโจมตีและบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดด้วยความเร็วและความแม่นยำที่ดีที่สุด
องค์กรเซเว่นคิลนั้นได้ทำให้เหล่านักฆ่าทั่วทั้งโลกหวาดผวาเพราะพวกเขาสามารถฆ่าได้โดยที่หลายคนไม่อาจรู้ได้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาตายได้อย่างไร
ดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเปรียบเสมือนรังของนักฆ่าแห่งองค์กรเซเว่นคิลซึ่งพวกเขามักจะใช้ประโยชน์จากเวลาและสถานที่และความมืดนั้นก็ยิ่งทำให้นักฆ่าเหล่านี้สะดวกต่อการฆ่าอย่างมาก หากต้องต่อสู้กันในความมืดล่ะก็เกรงว่าเขี้ยวหมาป่านั้นจะด้อยกว่านักฆ่าขององค์กรเซเว่นคิลอย่างแน่นอนเพราะพวกเขาฝึกฝนสมาชิกมานานเพื่อให้มองทะลุในความมืดและรับรู้การเคลื่อนไหวในความมืดได้และถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะไม่สามารถมองเห็นได้แต่เขาก็สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ในความมืด นี่คือประสาทสัมผัสทั้งห้าผ่านการฝึกฝนที่หนักหน่วงที่สุดเพื่อกระตุ้นศักยภาพของร่างกายมนุษย์จนทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้ามีขนาดใหญ่และไวกว่าคนทั่วไปและนี่คือข้อได้เปรียบของนักฆ่าจากองค์กรเซเว่นคิล
หลังจากต้อนรับไมคาอินอกเสร็จแล้วพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ขับรถไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการลูกชายของเขาที่นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลซึ่งเขาทำได้เพียงแค่หายใจแต่เขาไม่สามารถพูดได้ ซึ่งภายในตระกูลหลวนนั้นหลวนห่าวเป็นเพียงต้นกล้าเพียงต้นเดียวและธุรกิจของตระกูลของเขายังคงต้องได้รับการสืบทอดโดยหลวนห่าวในอนาคต แต่ตอนนี้จะมีใครล่ะที่สามารถมอบความไว้วางใจให้กับอาชีพและหน้าที่การงานในอนาคต?
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลและมองไปที่หลวนห่าวซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องมือการแพทย์และความขุ่นเคืองในดวงตาของเขาก็ลึกมากยิ่งขึ้นและไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเสือยิ้มอีกต่อไปซึ่งมีแต่ความเกลียดชังที่ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเห็นเช่นนั้นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็จับมือหลวนห่าวเบาๆ และพูดว่า “เสี่ยวห่าวไม่ต้องกังวลไป..พ่อสัญญาว่าจะไม่มีวันปล่อยเย่เชียนไปและต้องทำให้มันเจ็บปวดกว่าลูกเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”
หลังจากพูดจบก็มีร่องรอยของความมุ่งมั่นและตั้งใจในดวงตาของเขาและร่องรอยของความเศร้าและความโกรธแค้นผสมอยู่ในดวงตาของเขา ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็เอื้อมมือหยิบหมอนใบหนึ่งขึ้นมาและกดปิดไปที่จมูกและปากของหลวนห่าว “พ่อทนไม่ได้ที่ต้องเห็นลูกมีชีวิตอยู่และทนทุกข์ทรมานแบบนี้..ตายไปเสียยังดีกว่าถ้าลูกต้องมีชีวิตแบบนี้” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูดและไม่สามารถกลั้นน้ำตาจากมุมดวงตาของเขาเอาไว้ได้อีกต่อไป
กลุ่มคนที่มากับพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ถึงกับผงะและตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นฉากนี้และพวกเขาก็รีบหันหน้าหนีไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จะเป็นคนที่โหดเหี้ยมและโหดร้ายเพียงใดแต่ทว่าการฆ่าลูกชายของเขาด้วยตัวเองนั้นมันเป็นการลงโทษที่โหดร้ายสำหรับเขาอย่างยิ่ง ซึ่งถึงยังไงเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าในเมื่อลูกชายของเขาต้องเป็นเช่นนี้นั้นการที่จะปล่อยให้ลูกชายของเขาตายไปนั้นมันคงจะเป็นหนทางเดียวที่ดีกว่าเพียงเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ค่อยๆ ปล่อยมือของเขาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลไปทั่วใบหน้าของเขา “อ๊า! …” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ส่งเสียงตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวราวกับสัตว์ร้ายที่คำราม หลังจากนั้นไม่นานพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็หยุดและเหลือบมองไปที่เหล่าลูกน้องที่อยู่ข้างหลังเขาและพูดว่า “พรุ่งนี้เช้าไประดมพลกำลังทั้งหมด..ฉันอยากรู้ว่าเย่เชียนมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน..ถ้าหาไม่เจอก็ไม่ต้องกลับมา!”
เหล่าลูกน้องก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเพราะพวกเขาเห็นแล้วว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นโกรธมาก ซึ่งเมืองเสิ่นหยวนนั้นมีพื้นที่ขนาดใหญ่และกว้าวขวางอย่างมาก ซึ่งถ้าหากเย่เชียนตั้งใจจะซ่อนตัวล่ะก็ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใช้คนทั้งหมดของเขาทั่วเมืองถึงยังไงพวกเขาก็ไม่สามารถหาที่อยู่ของเย่เชียนได้ภายในครึ่งวันอยู่ดี อย่างไรก็ตามในเมื่อเจ้านายได้ออกคำสั่งแล้วพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องเชื่อฟังเท่านั้นและพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรใดๆ อีก
หลังจากนั้นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็มองกลับไปที่ร่างอันไร้วิญญาณของหลวนห่าวและเดินออกจากห้องฉุกเฉินไปอย่างเด็ดเดี่ยว ซึ่งเขาในตอนนี้พร้อมที่จะทำลายโลกทั้งใบ! ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีลูกชายอีกต่อไปแล้วถึงยังไงเขาก็ต้องแก้แค้นเย่เชียนเพื่อเติมเต็มชีวิตของเขาและไม่เพียงแค่เย่เชียนเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงแม่ม่ายดำจือเหวินและหยุนเหลาอีกซึ่งเขาจะไม่มีวันปล่อยพวกเขาเหล่านี้ไป ซึ่งในตอนนี้เขาต้องการที่จะครอบครองภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทำให้ชื่อของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ของเขาดังก้องไปทั่วประเทศจีน
หลังจากขับรถกลับบ้านแล้วพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ขังตัวเองอยู่ในห้องและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและดูเหมือนว่าเขาจะเห็นภาพเย่เชียนอ้อนวอนแทบเท้าของเขาราวกับว่าเขาได้เห็นวิธีที่เขาจะสามารถทรมานเย่เชียนและพยายามลงโทษเย่เชียนให้เจ็บปวดที่สุดแล้วค่อยๆ ปลิดชีพเย่เชียนเพื่อลูกชายของเขา
อีกด้านหนึ่งเย่เชียนและหลินเฟิงที่เพิ่งจะดื่มกันเสร็จก็เดินออกมาจากแผงขายอาหารเป็นเวลาห้าทุ่ม!
หลินเฟิงก็โทรออกและออกคำสั่งให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจากนั้นก็วางสายโทรศัพท์ไปและมองไปที่เย่เชียนและยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะ..ไปเดินเล่นด้วยกันสักหน่อยไหม?”
เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดว่า “พี่หลินชวนทั้งทีน้องเย่คนนี้จะปฏิเสธได้ยังไง!”
ภายใต้สายลมยามค่ำคืนชายหนุ่มทั้งสองก็เดินไปบนเส้นทางตามถนนในเมืองเสิ่นหยวนด้วยการเดินเท้าและไม่มีใครพูดอะไรใดๆ เพียงแค่เดินกันอย่างเงียบๆ แบบนี้ราวกับว่าพวกเขากำลังคิดเรื่องของตัวเอง ซึ่งเมื่อผ่านไปเป็นเวลานานหลินเฟิงก็พูดว่า “เมื่อไหร่ฉันจะโชคดีพอที่จะได้เห็นกริชดาวตกกับตาตัวเองสักที” ครั้งนั้นที่เขาไปเยือนเมืองเซี่ยงไฮ้เพื่อชมกริชดาวตกดูดเลือดในตำนานแต่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับเย่เชียนและหมาป่าผีไป๋ฮวย
ซึ่งในคืนนั้นทั้งสามคนก็ทักทายกันและประลองฝีมือกันและหลังจากนั้นทั้งหลินเฟิงและหมาป่าผีไป๋ฮวยต่างก็ออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไป ซึ่งมันเป็นเพราะความเคารพและความสุภาพและเนื่องจากเย่เชียนนั้นโปรดปรานมันพวกเขาจึงยอมแพ้ไปโดยธรรมชาติ
“อ๋อ..นั่นอาจจะต้องไปถามพี่ชายของผม..เพราะกริชดาวตกน่ะเป็นมรดกตกทอดประจำตระกูลของเขาและครั้งนี้ก็ถือได้ว่ามันได้หวนกลับคืนสู่เจ้าของเดิมแล้ว” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
หลินเฟิงก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและหลังจากนั้นเขาก็พูดว่า “โอ้” และเรื่องนั้นก็ไม่ได้อยู่ในหัวข้อนี้อีกต่อไป เพราะเห็นได้ชัดว่าเขานั้นสงสัยว่ากริชดาวตกนั้นกลายเป็นมรดกตกทอดของพี่น้องของเย่เชียนได้อย่างไร แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาที่เขาสนใจเพราะมันไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ซึ่งหลังจากหยุดไปชั่วขณะหลินเฟิงก็พูดต่อ “ครั้งที่แล้วที่น้องเย่ไปเยือนประเทศญี่ปุ่นน่ะมันไม่ธรรมดาเลย..คราวหน้าอย่าลืมชวนพี่ชายคนนี้ล่ะ..ฉันไม่ได้ไปประเทศญี่ปุ่นมานานแล้ว..ครั้งนี้มันคงน่าตื่นเต้นน่าดูเลย”
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ถ้าพี่หลินสนใจก็ไม่มีปัญหา..เพราะหลังจากเรื่องของที่นี่จบลงแล้วผมก็ต้องไปที่ประเทศญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน..เพราะดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรบางอย่างอยู่ที่นั่น..ผมอดใจรอไม่ไหวซะแล้วสิ”
.
.
.
.
.
.
.