ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 439 ศึกแห่งเสือและหมาป่า
ตอนที่ 439 ศึกแห่งเสือและหมาป่า
“มีงานให้ฉันทำเหรอ? ” หลินเฟิงก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วพูดว่า “เป็นประเทศที่ไม่สามารถทนต่อความเหงาได้ แต่ก่อนอื่นฉันจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและเขาก็หัวเราะและพูดว่า “ไม่มีปัญหา..แต่ต้องมีส่วนลดด้วยนะ”
ทั้งสองก็มองหน้ากันและยิ้มให้กันซึ่งหมายความว่าพวกเขานั้นคิดเหมือนกัน
สำหรับความรู้สึกที่หลินเฟิงมีต่อประเทศญี่ปุ่นนั้นเย่เชียนก็ไม่ได้ถามเพราะเย่เชียนไม่จำเป็นที่จะต้องถามให้ชัดเจนในหลายๆ เรื่องเพราะถ้าหากอีกฝ่ายอยากจะพูดเขาก็จะพูดตามธรรมชาติแต่ถ้าพวกเขาไม่อยากพูดมันต้องมีเหตุผลบางอย่าง
เป็นเวลาเที่ยงคืนที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนทั้งหมดนั้นถูกปกคลุมไปด้วยความมืดและพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฝนมันก็เริ่มตกเรื่อยๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่านี่เป็นค่ำคืนที่ไม่ธรรมดา ซึ่งหลังจากค่ำคืนนี้ผ่านไปเกรงว่าสถานการณ์ในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือจะถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดส่วนใครจะเป็นผู้ชนะหรือใครจะเป็นผู้แพ้นั้นก็ไม่มีใครรู้ได้
ตราบใดที่เย่เชียนสามารถทวงคืนมีดคลื่นโลหิตหมาป่าที่อู๋หวนเฟิงต้องแลกมาด้วยแขนของเขาจากพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ได้นั้นเย่เชียนก็หมดกังวลกับสิ่งต่างๆ ซึ่งถ้าหากภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แม่ม่ายดำจือเหวินยังไม่สามารถเอาชนะกองกำลังทั้งหมดของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ได้ในบัดดลล่ะก็นั่นแสดงว่าหยางเทียนนั้นคิดผิดที่ฝากฝังสิ่งต่างๆ เอาไว้กับเธอ
ด้านนอกรอบๆ บ้านพักของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นต่างก็มีสมาชิกขององค์กรเซเว่นคิลหลายสิบคนอยู่ ซึ่งพวกเขาก็ได้ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ โดยรอบเพราะพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นมีคนมากกว่ายี่สิบคนและยังมีสมาชิกขององค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะอีกสิบคนที่ไมคาอินอฟเรียกมา
ซึ่งมีเพียงแปดคนที่ต้องรับผิดชอบในการดูแลด้านนอกรอบๆ บริเวณบ้านซึ่งสองคนในนั้นจะเป็นคนจากจิ้งจอกหิมะ ซึ่งไฟในบ้านก็ยังคงเปิดอยู่และข้างในก็ดูเหมือนจะเงียบมากและแทบจะได้ยินเสียงอะไรใดๆ ยกเว้นเสียงแมลงโดยรอย
ในเวลานี้เย่เชียนและหลินเฟิงก็กำลังเดินทางมาที่นี่เช่นกัน ซึ่งทั้งสองก็ไม่ได้รีบเพราะพวกเขาขึ้นแท็กซี่และจงใจขอให้คนขับชะลอความเร็ว เพราะภายใต้การควบคุมขององค์กรเซเว่นคิลนั้นหลินเฟิงก็ไม่ได้กังวลว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจะพลาดพลั้งเพราะถ้าหากแม้แต่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ยังจัดการไม่ได้ล่ะก็องค์กรเซเว่นคิลก็ไม่ควรที่จะเป็นองค์กรนักฆ่าที่ยิ่งใหญ่
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงก็ไม่ได้คาดคิดว่าทหารรับจ้างของจิ้งจอกหิมะจะมาเกี่ยวพันด้วยซึ่งสิ่งต่างๆ มันก็จะยุ่งยากกว่าที่คาดคิดเอาไว้อย่างมาก แต่มันจะไม่ส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของงานอย่างแน่นอนเพราะท้ายที่สุดแล้วนักฆ่าจากองค์กรเซเว่นคิลนั้นล้วนเป็นนักฆ่าและมือสังหารมืออาชีพและพวกเขาคือราชาแห่งราตรีที่แท้จริงและสมาชิกทุกคนก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการฆ่าแบบเงียบๆ
ด้วยคำสั่งของหัวหน้าทีมในขณะนี้สมาชิกขององค์กรเซเว่นคิลทั้งหมดก็หายตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกเขานั้นแตกต่างจากทหารรับจ้างและเก่งกว่าในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวซึ่งแตกต่างจากทหารรับจ้างที่มีรูปแบบการรบแบบเป็นทีม ซึ่งนักฆ่าทุกคนนั้นแต่งกายด้วยชุดสีดำและภายใต้ความมืดมิดนั้นมันก็ยากที่จะมองเห็นได้อย่างยิ่ง
เพียงไม่กี่นาทีการ์ดทั้งหมดบริเวณรอบนอกก็ล้มลงกับพื้นอย่างเงียบๆ รวมทั้งสมาชิกของจิ้งจอกหิมะทั้งสองอีกด้วยโดยไม่มีโอกาสที่จะได้ตอบโต้ใดๆ และไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องออกมาเพราะคอของพวกเขาถูกเชือดโดยตรงและถูกหักคออย่างกะทันหันซึ่งทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นเร็วจนเกินไป
โดยศพยังถูกลากไปยังที่ซ่อนอย่างรวดเร็วและนำไปทิ้งหลังจากนั้นเหล่านักฆ่าก็มองหน้ากันและส่งสัญญาณจากนั้นก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วและค่อยๆ เข้ามายังในบริเวณบ้านอย่างเงียบๆ ซึ่งนี่คือความแตกต่างระหว่างนักฆ่ากับทหารมืออาชีพ เพราะถ้าหากนักฆ่าเหล่านี้เป็นนักเลงบนท้องถนนล่ะก็เกรงว่าพวกเขาคงจะตะโกนแล้วรีบวิ่งเข้าใส่อีกฝ่ายพร้อมกับมีดในมือ
พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็นอนไม่หลับเพราะความเกลียดชังและความร้าวฉานในใจของเขานั้นเดือดดาลมากเกินไปและเขาก็ยังคงเดินวนไปรอบๆ ห้องด้วยความกระวนกระวายและความโกรธเกรี้ยวเพราะเขาไม่สามารถรอให้ถึงรุ่งสางได้ที่เขาจะได้เห็นเย่เชียนร้องขอความเมตตาต่อหน้าเขาอย่างน่าสังเวช ตราบใดที่เขากำจัดเย่เชียนและใช้เหล่าทsารรับจ้างจิ้งจอกหิมะแล้วนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินก็จะไม่สามารถต้านทานได้เลยและเขาก็จะได้ขึ้นเป็นราชาแห่งดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือและเป็นวีรชนที่แท้จริง
ส่วนไมคาอินอฟก็นอนไม่หลับเช่นกันถึงแม้ว่าเขาจะตัดสินใจสิ่งต่างๆ เอาไว้แล้วก็ตามแต่ความคิดที่เป็นปัญหากลับทำให้เขากังวลซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเขายังหวังว่าคนของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นจะไม่พบที่อยู่ของเย่เชียน เพราะนั่นคือจุดจบที่ดีที่สุดโดยไม่ทำให้อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟขุ่นเคืองและไม่ทำให้องค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ไม่เช่นนั้นเหล่าจิ้งจอกหิมะก็จะเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายอย่างไม่รู้จบเป็นแน่
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงความคิดและความปรารถนาของไมคาอินอฟเอง ซึ่งมันมักจะเป็นเช่นนี้ที่ยิ่งเรากังวลกับสิ่งนั้นมากเท่าไหร่สิ่งสิ่งนั้นมันก็มักจะปรากฏขึ้นมาเสมอ
เย่เชียนและหลินเฟิงก็นั่งแท็กซี่ไปยังบ้านพักของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ซึ่งพวกเขานั้นสั่งให้คนขับจอดในพื้นที่ที่ห่างไกลจากตัวบ้านพอสมควร ซึ่งทั้งสองก็เดินไปที่ด้านข้างของบ้านและเห็นว่าการ์ดทั้งหมดที่รอบนอกนั้นไม่อยู่แล้วดังนั้นพวกเขาจึงยิ้มให้กันเพราะนั่นแสดงให้เห็นว่านักฆ่าขององค์กรเซเว่นคิลทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จ
“เชิญเลยน้องเย่!” หลินเฟิงแสดงท่าทางเชิญให้เย่เชียนราวกับว่าบ้านหลังนี้นั้นเป็นบ้านของเขา
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ครับพี่หลิน!”
ทั้งสองก็เดินเข้าไปในบ้านและเมื่อมาถึงหน้าประตูคิ้วของเย่เชียนก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเพราะเขาเห็นศพของสมาชิกองค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะสองคนที่ถูกสังหารโดยนักฆ่าขององค์กรเซเว่นคิล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเย่เชียนนั้นจำรอยสักบนแขนของพวกเขาได้และเย่เชียนก็รู้สึกแปลกใจอย่างมากที่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นติดต่อกับคนขององค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะได้และเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงชาวต่างชาติคนนั้นที่เขาเห็นในบ้านของแม่ม่ายดำจือเหวินในวันนั้น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์บางอย่างของชาวต่างชาติคนนั้นกับองค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะ
หลินเฟิงก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและถามว่า “มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? ”
“พวกจิ้งจอกหิมะ!” เย่เชียนชี้ไปที่ศพทั้งสองและพูด
หลินเฟิงก็หันไปมองที่เย่เชียนและขมวดคิ้วโดยไม่ได้ตั้งใจและพูดว่า “ทำไมถึงมีพวกทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะอยู่ล่ะ! ..พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่มีเครือข่ายกับพวกองค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะงั้นเหรอ?”
“ไม่น่าจะใช่..ถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็..พวกนี้น่าจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติคนนั้น” เย่เชียนพูด “ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่กับชาวต่างชาติคนนั้นไปหาแม่ม่ายดำจือเหวิน..เพราะงั้นผมคิดว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่กำลังร่วมมือกับพวกรัสเซียอย่างแน่นอน”
หลินเฟิงก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “เพื่อนเก่าของนายสินะฮ่าๆ ..ความหยิ่งผยองของพวกต่างชาตินี่นับวันยิ่งเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ”
เย่เชียนก็ยิ้มและเดินเข้าไปพร้อมกับหลินเฟิง ซึ่งการมีส่วนร่วมขององค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะในเรื่องนี้นั้นทำให้เย่เชียนรู้สึกลำบากเล็กน้อยและเขาก็สงสัยว่ามีดคลื่นโลหิตหมาป่ายังอยู่ในมือของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่หรือไม่
ทันทีที่เดินเข้าไปในบ้านเย่เชียนก็ได้ยินเสียงร้องจากข้างในและไฟในบ้านทั้งหมดก็เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากนั้นไมคาอินอฟก็เดินออกมาจากห้องและมีสมาชิกทหารรับจ้างจิ้งจองหิมะสองสามคนตามเขาออกมาด้วยและในทันใดนั้นเมื่อพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ได้ยินเสียงบางอย่างเขาก็รีบเดินออกมาจากห้องของเขาและหลังจากนั้นไม่นานคนของเขาหลายคนก็มารวมตัวกันรอบๆ ตัวเขาอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวขององค์กรเซเว่นคิลนั้นทำให้ไมคาอินอฟตกใจซึ่งเขานั้นยังไมได้หลับไป ซึ่งในช่วงเวลาที่ไฟภายในบ้านถูกเปิดสว่างขึ้นนั้นสมาชิกขององค์กรเซเว่นคิลก็ได้ทำการโจมตีอย่างรวดเร็ว ซึ่งเย่เชียนและหลินเฟิงเองก็ไม่ลังเลใดๆ และรีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ซึ่งหลินเฟิงนั้นเลือกไมคาอินอฟเป็นเป้าหมายโดยตรงเพราะพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นเป็นเป้าหมายของเย่เชียนโดยธรรมชาติ ซึ่งในเวลานี้เย่เชียนกับเหล่านักฆ่าปะทะเหล่าทหารรับจ้าง ซึ่งใครจะเก่งกว่ากัน? แต่ทว่าต่อหน้าไมคาอินอฟแล้วเห็นได้ชัดว่าหลินเฟิงนั้นผอมแห้งและตัวเล็กเกินไปสำหรับเขา
ในช่วงเวลาที่ไมคาอินอฟเห็นหน้าของเย่เชียนแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก และถึงแม้ว่าเขาจะคาดเดาผลลัพธ์เช่นนี้มานานแล้วก็ตามแต่ถึงยังไงเมื่อเขาเห็นเย่เชียนตัวเป็นๆ แล้วเขาก็ยังรู้สึกประหม่าอย่างมาก แต่เมื่อเห็นการโจมตีที่รวดเร็วของหลินเฟิงแล้วไมคาอินอฟก็ไม่มีเวลามากพอที่จะคิดถึงเรื่องนี้ดังนั้นเขาจึงรีบระงับความคิดที่สับสนและประหม่าของเขาออกไปในทันที
ไมคาอินอฟนั้นไม่รู้จักหลินเฟิงแต่เมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวและความสามารถของหลินเฟิงแล้วเขาจึงคิดว่าหลินเฟิงนั้นเป็นสมาชิกของเขี้ยวหมาป่า ซึ่งไมคาอินอฟก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างมากและคิดอย่างลับๆ ว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่องค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมสป่าถูกยกย่องว่าเป็นราชาแห่งโลกของทหารรับจ้างเพราะปรากฏว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ซึ่งทักษะการต่อสู้ของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นก็ไม่ได้อ่อนแอซึ่งมันเกินความคาดหมายของเย่เชียนไปเล็กน้อย แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้วพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็ไมได้อยู่ในระดับเดียวกันกับเย่เชียนอยู่ดี ซึ่งไม่เหมือนกับเย่เชียนที่มีชีวิตที่ขมขื่นเพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้นำของทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าผู้ยิ่งใหญ่ก็ตามและเป็นถึงCEOของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแต่เขาก็ต้องทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองเสมอ อย่างไรก็ตามพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็เป็นที่รู้จักกันดีในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้ ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาก็แทบจะไม่ได้ทำเลยและขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไปและมักจะใช้ชีวิตที่สะดวกสบายจนทำให้ทักษะการต่อสู้ของเขาลดลงไปอย่างมาก
ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานนั้นมันก็เหมือนกับการต่อสู้กับกระแสน้ำเพราะถ้าคุณไม่ก้าวหน้าคุณก็จะถดถอยไปอย่างมาก ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเย่เชียนถึงตื่นแต่เช้ามาวิ่งออกกำลังกายเพราะนั่นเป็นการฝึกแบบหนึ่ง เนื่องจากความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นจะช่วยทำให้ทักษะการต่อสู้นั้นยอดเยี่ยมขึ้นอย่างมากอีกด้วย
“เย่เชียน! ..ฉันกำลังจะไปตามล่าหาตัวแกอยู่พอดีเลย..ก็ดีที่แกมาที่นี่ด้วยตัวเอง..แกจะไม่มีทางขึ้นสวรรค์และจะไม่มีทางตกนรกใดๆ ทั้งสิ้น..วันนี้แกจะไม่ได้มีชีวิตรอดออกไปจากบ้านหลังนี้อีก!” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ก็พูดด้วยความเดือดดาลและความโกรธเกรี้ยวภายในดวงตาของเขาก็รุกโชนยิ่งขึ้น
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนของคุณ..แต่มันตรงกันข้ามเลย..เพราะผมอยากเห็นพวกคุณสิ้นหวัง!” เย่เชียนพูดต่อ “หืม..ไม่เคยมีใครที่สามารถต้านทานการโจมตีของเขี้ยวหมาป่าไปได้! ..พวกคุณก็ไม่มีข้อยกเว้น!”
“แกเป็นแค่หมาป่าแต่ฉันเป็นถึงเสือแห่งดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ…มันคือโลกของเสือ..แกมันก็แค่หมาป่านอกรีตที่ต้องถูกเสือเขมือบ!” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูดด้วยความหยิ่งผยอง
“ถ้าคุณตายแล้วใครจะคอยดูแลลูกของคุณล่ะ? ..ลูกของคุณคงจะต้องตายอย่างน่าอนาถมาก..ฮ่าๆ!” เย่เชียนพูดแล้วหัวเราะ
“ไม่ต้องห่วง..เขาไปรอแกที่ประตูแห่งความตายแล้ว..ฉันจะส่งแกลงไปหาเขาเร็วๆ นี้แหละ” พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่พูดอย่างเดือดดาล ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงอย่างมากเพราะได้ยินว่าหลินเฟิงพูดว่าหลวนห่าวนั้นนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ดังนั้นหลวนห่าวจึงไม่ควรที่จะสิ้นชีพไวเช่นนี้ ซึ่งเมื่อเห็นสายตาของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่แล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวเหน็บเล็กน้อยพลางคิดว่า ‘เขาฆ่าลูกชายของตัวเองเหรอ?’
.
.
.
.
.
.
.