ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 444 ความทะเยอทะยานของแม่ม่ายดำ
ตอนที่ 444 ความทะเยอทะยานของแม่ม่ายดำ
ถึงแม้ว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะรู้ดีว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนที่ชอบพูดอะไรเกินจริงแต่เขาก็ไม่ได้สงสัยในคำพูดของเย่เชียนเลยเพราะท้ายที่สุดแล้วเขารู้ว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนฉลาดเพราะอเล็กซานเกอร์โซโรวิยอฟที่อยู่เบื้องหลังเซอร์เก้วิชพุชกินนั้นทรงพลังและทรงอิทธิพลมากและก็ไม่ง่ายนักที่จะจัดการกับเขา
ในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของจีนนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะไม่รู้เรื่องสมคบคิดและแผนการต่างๆ ของเซอร์เก้วิชพุชกินได้อย่างไร ซึ่งการที่เซอร์เก้วิชพุชกินได้นำการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่มาสู่เศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าไปแทรกแซงจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้ายนั่นเอง
สำหรับที่ดินที่อยู่ภายใต้แม่ม่ายดำจือเหวินนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็รู้มานานแล้วว่าประเทศรัสเซียกำลังเตรียมที่จะยึดดินแดนและชายแดนของประเทศจีนไป ซึ่งในความเป็นจริงนั้นแผนการต่างๆ ของเซอร์เก้วิชพุชกินนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้จงใจขอให้รัฐระงับแผนการยึดคืนที่ดินเพื่อชักจูงให้เซอร์เก้วิชพุชกินทำตามแผนการและลงเงินทุนอย่างเต็มที่
ซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็วางแผนเอาไว้ในระยะยาวเพราะถ้าหากไม่ใช่เพราะการแทรกแซงอย่างกะทันหันของเย่เชียนในครั้งนี้ที่ทำให้เซอร์เก้วิชพุชกินต้องสูญเสียไปอย่างมากเช่นนี้ได้อย่างไร? และถึงแม้ว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จะกลายเป็นราชาแห่งดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือแล้วถึงยังไงหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็สามารถใช้เขาเป็นเครื่องมือของรัฐบาลได้อยู่ดี ซึ่งในเวลานั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็จะกำจัดเขาและดึงเขาลงมาจากบัลลังก์เอง
เย่เชียนก็ใช้น้ำเสียงที่ดูเหมือนว่าจะทำอะไรไม่ถูกแล้วพูดว่า “ผมทำอะไรไม่ได้เลย..เขามีผู้ทรงอิทธิพลหนุนหลังอยู่..ผมก็เลยไม่กล้าที่จะไปท้าทายเขา..ซึ่งถึงยังไงปู่ก็จะกำจัดเขาอยู่แล้วในอนาคต..เพราะงั้นก็มาช่วยผมให้ได้รับมีดคลื่นโลหิตหมาป่ากลับมาสิ”
“ไหนเอ็งบอกว่าเอ็งไม่ต้องการมันแล้วไง” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูด
“แต่ถ้าคุณมีโอกาสทำไมไม่คว้ามันเอาไว้ล่ะ..ถึงยังไงมันก็เป็นเสมือนเงิน..เอาเถอะปู่ช่วยผมตามหาเขาหน่อยสิ” เย่เชียนพูดต่อ “ถ้าผมเดาไม่ผิดนะพวกคุณต้องการที่จะกำจัดเซอร์เก้วิชพุชกินอยู่แล้ว..เพราะเบื้องบนน่ะไม่ค่อยจะสนับสนุนการลงทุนของต่างชาติมาโดยตลอดใช่ไหม?”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในใจเพราะเขานั้นยังไม่รู้ว่าเย่เชียนจะรู้แผนการต่างๆ ของเขาหรือไม่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจึงยิ้มเจื่อนๆ และพูดว่า “ถ้างั้นแบบนี้เป็นไง? ..ฉันจะส่งคนไปช่วยเอ็งก็แล้วกัน..ถึงแม้ว่าเอ็งจะไม่สนใจเรื่องเงินและมูลค่าของมีดนั้นก็เถอะ..แต่มันก็คงจะมีความหมายกับเอ็ง”
เย่เชียนนั้นกำลังรอประโยคนี้อยู่และเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กยิ้มน้อยแต่เขาก็ยังคงแสร้งทำเป็นสงบและพูดว่า “ไม่..ผมไม่ต้องการ..เพราะมันน่ารำคาญเกินไป..ผมไม่อยากปวดหัว..ผมว่าปู่ไปหาแหล่งกบดานของเซอร์เก้วิชพุชกินให้ผมดีกว่า”
หลังจากพูดจบเย่เชียนก็วางสายโทรศัพท์ไปโดยไม่ลังเลเพราะนี่เป็นการต่อสู้ทางจิตวิทยาและมันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครที่จะมีเชิงมากกว่ากัน ซึ่งจากบทสนทนากับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนในตอนนี้นั้นเย่เชียนก็แน่ใจ 100% ว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้องเพราะหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นรู้แผนการต่างๆ ของเซอร์เก้วิชพุชกินมานานแล้วแต่เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ซึ่งชายชราผู้นี้มีความอดทนที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เนื่องจากการคาดเดาของเย่เชียนถูกต้องดังนั้นการมาถึงของเขานั้นต้องทำให้แผนของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนขัดข้องอย่างแน่นอน ดังนั้นเย่เชียนจึงมีเหตุผลที่แน่นอนที่จะเชื่อว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นจะไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงใดๆได้ อย่างไรก็ตามในกรณีนี้เย่เชียนก็ยังคงต้องตามหาเซอร์เก้วิชพุชกินอยู่ดีเพราะอย่างน้อยๆ ก็จะได้รู้ว่ามีดคลื่นโลหิตหมาป่านั้นยังอยู่ในมือของเขาหรือไม่
ณ ริมแม่น้ำซงฮัวในบ้านแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นเซอร์เก้วิชพุชกินกำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับแม่ม่ายดำจือเหวินพร้อมกับการแสดงออกที่น่าอึดอัดบนใบหน้าของเขา ซึ่งครั้งนี้เขาก็ไม่ได้คาดคิดเลยเพราะในตอนแรกเขาคิดว่าพลังและอำนาจของพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่นั้นจะเพียงพอที่จะจัดการกับแม่ม่ายดำจือเหวินเพราะการสนับสนุนของทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามเพียงเวลาแค่ชั่วข้ามคืนพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่และเหล่าทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะทั้งหมดต่างก็เสียชีวิตทั้งหมดซึ่งทำให้เซอร์เก้วิชพุชกินประหลาดใจอย่างมาก
ดังนั้นเซอร์เก้วิชพุชกินก็ต้องการมาหาแม่ม่ายดำจือเหวินเพราะมีเพียงเธอเท่านั้นที่สามารถทำตามแผนเธอได้ ส่วนเย่เชียนนั้นเซอร์เก้วิชพุชกินก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเย่เชียนเป็นใคร ซึ่งถึงแม้ว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จะบอกว่าพบคนชื่อเย่เชียนก็ตามแต่ถึงยังไงเซอร์เก้วิชพุชกินก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินเป็นคนทำ
การที่เธอสามารถฆ่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่และเหล่าทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะได้ในชั่วข้ามคืนนั้นก็สามารถมองเห็นพลังที่แท้จริงของแม่ม่ายดำจือเหวินได้และเขาก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะเข้าหาพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่ตั้งแต่แรกเพราะถ้าเขาไปร่วมมือกับแม่ม่ายดำจือเหวินล่ะก็เขาก็คิดว่าสิ่งต่างๆ คงจะเสร็จสิ้นไปแล้ว
อย่างไรก็ตามตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียใจเพราะเซอร์เก้วิชพุชกินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องแก้ไขสิ่งต่างๆ ซึ่งเมื่อคิดเช่นนั้นเซอร์เก้วิชพุชกินก็มอบของขวัญที่เตรียมเอาไว้ให้แล้วพูดว่า “คุณผู้หญิงจือ..นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของผมและผมก็หวังว่าคุณผู้หญิงจือจะรับเอาไว้”
เซอร์เก้วิชพุชกินนั้นก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นโปรดปรานอะไรและการให้เงินมันก็ดูหยาบคายจนเกินไปและสิ้นค้าที่หรูหรานั้นเขาก็เชื่อว่าแม่ม่ายดำจือเหวินไม่ได้ขัดสนสิ่งเหล่านี้ ซึ่งหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานเซอร์เก้วิชพุชกินก็รู้สึกว่าของขวัญชิ้นนี้นั้นเหมาะสมที่สุดที่จะมอบให้กับเธอ ซึ่งมันเป็นของที่พยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่เขาบอกว่ามันเป็นของเก่าจากราชวงศ์ฉินของประเทศจีน ซึ่งสำหรับสิ่งนี้เซอร์เก้วิชพุชกินก็ไม่ได้ศึกษาอะไรใดๆ แต่ทว่าสิ่งนี้มันดูสวยงามจริงๆ ดังนั้นเขาจึงใช้มันเป็นของขวัญให้กับแม่ม่ายดำจือเหวินเช่นนี้
มันคืออะไร? แน่นอนว่ามันคือมีดคลื่นโลหิตหมาป่าที่ถังเหวยซวนขโมยมันมาจากหมินเว่ยเหวินในเมืองเซี่ยงไฮ้นั่นเอง
แน่นอนว่าแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นก็รู้ดีว่าเซอร์เก้วิชพุชกินนั้นหมายถึงอะไรเพราะตอนนี้เธอเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้และที่ดินผืนนั้นก็เป็นของเธอเอง สำหรับเย่เชียนนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินก็รู้ว่าเย่เชียนนั้นไม่ได้อย่างที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และแน่นอนว่าเธอนั้นก็รู้ว่าเซอร์เก้วิชพุชกินไม่รู้สิ่งต่างๆ แต่สำหรับเย่เชียนนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินไม่จำเป็นต้องพูดเลย
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ค่อยๆ เอนกายลงบนโซฟาโดยไม่แม้แต่จะมองไปที่กล่องของขวัญเลยแม้แต่น้อยและพูดว่า “มิสเตอร์พุชกินคุณหมายถึงอะไร? ..คนโบราณมักจะพูดกันว่ามันไม่มีสิ่งใดที่ได้มาฟรีในโลกใบนี้หรอก”
เซอร์เก้วิชพุชกินก็ยิ้มเจื่อนๆ และพูดว่า “คุณผู้หญิง..ผมก็เป็นแค่นักธุรกิจ..ผมไม่รู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างคุณกับพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่หรอก..จริงๆ แล้วที่ผมมาที่ประเทศจีนก็เพราะจะมาลงทุน..และผมก็พบพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่..ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างเขากับคุณจือ..ไม่เช่นนั้นผมคงจะไม่เข้าไปหาเขาหรอก..ส่วนสิ่งที่ผมทำให้คุณขุ่นเคืองก่อนหน้านี้น่ะผมหวังว่าคุณจือจะไม่ถือโทษโกรธผม..เพราะงั้นผมก็เชื่อว่าการร่วมมือของเราในอนาคตน่ะจะต้องเป็นไปอย่างรุ่งโรจน์แน่นอน”
“ฉันคิดว่ามิสเตอร์พุชกินคงจะชัดเจนได้แล้วนะว่าฉันไม่ตกลงที่จะขายที่ดินให้คุณ..และสิ่งนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิ่งลี่เลย” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด “มิสเตอร์พุชกินเป็นนักธุรกิจเพราะงั้นคุณก็ต้องให้ความสำคัญกับผลกำไรสินะ…เพราะงั้นสิ่งที่ฉันกังวลก็มีแค่เรื่องข้อตกลงและความมุ่งมั่นมากกว่า”
เซอร์เก้วิชพุชกินก็แน่นิ่งไปพักหนึ่งแล้วหลังจากนั้นเขาจึงพูดว่า “เราสามารถคุยและตกลงเรื่องราคากันได้..และหลังจากที่ห้างสรรพสินค้าสร้างเสร็จแล้วผมจะให้ส่วนแบ่งคุณเป็น 20% ของหุ้นทั้งหมดคุณคิดว่าไงบ้าง? ..และแน่นอนว่าผมจะให้ราคาที่ดินของคุณสูงมาก”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ถึงกับผงะไปเพราะผลประโยชน์เช่นนี้นั้นหาได้ยากมาก ซึ่งถ้าหากต้องการสร้างห้างสรรพสินค้าในเมืองเสิ่นหยวนมันก็ต้องเป็นในแถบตัวเมืองไม่ใช่หรอกหรือ? ซึ่งที่ดินผืนนี้นั้นอยู่ในที่ห่างไกลจากตัวเมืองอยู่พอสมควร ดังนั้นเธอก็เชื่อว่ามันคงไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสร้างห้างสรรพสินค้าเช่นนี้ใช่ไหม? เนื่องจากเซอร์เก้วิชพุชกินขว้างเหยื่อขนาดใหญ่เช่นนี้มันก็จะต้องมีอย่างอื่นและจุดประสงค์อื่นอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน แม่ม่ายดำจือเหวินนั้นก็ถือได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาเพราะถึงแม้ว่าเธอจะมีส่วนร่วมในธุรกิจและวงการใต้ดินก็ตามแต่ทว่าความกล้าของเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าซ่งหลันเลย ดังนั้นยิ่งเซอร์เก้วิชพุชกินให้ผลประโยชน์แก่เธอมากเท่าไหร่มันก็ทำให้เธอประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “มิสเตอร์พุชกินฉันไม่เข้าใจว่าคุณจะทำอะไรนี่..คุณจะให้ฉันตกลงรับค่าตอบแทนมากมายโดยไม่รู้อะไรเลยหรือ?”
“ฮ่าๆ ..ใจเย็นๆ สิคุณจือ..ผมเชื่อว่าจากมุมมองทางธุรกิจของผมในฐานะนักธุรกิจน่ะแน่นอนว่าผมจะไม่ทำธุรกิจที่ขาดทุนอย่างแน่นอน..ดังนั้นเมื่อคุณตกลงตามนี้นั่นก็หมายความว่าการลงทุนในครั้งนี้จะต้องทำกำไรให้กับคุณได้..และตราบใดที่คุณจือเห็นด้วยล่ะก็ผมจะมอบ 20% ของหุ้นทั้งหมดของห้างสรรพสินค้าให้คุณ” เซอร์เก้วิชพุชกินพูด
“ฉันขอโทษ..ฉันไม่คิดว่าฉันจะเซ็นต์สัญญากับคุณได้” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด “ฉันแค่บอกว่าคุณเป็นนักธุรกิจและคุณให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่สุด..แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะที่ดินผืนนั้นมันมีความหมายที่สำคัญสำหรับฉันมาก..เพราะงั้นฉันจะไม่มีวันขายมันและไม่ว่ามิสเตอร์พุชกินจะเสนอมามากสักเท่าไหร่ถึงยังไงฉันก็จะไม่ขายมัน!”
เซอร์เก้วิชพุชกินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและมีสีหน้าที่หดหู่และความเศร้าหมองฉายอยู่ภายในดวงตาของเขา แต่เขาก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว “ถ้าคุณจือไม่สบายใจก็ให้ผมเช่าที่ดินของคุณก็ได้..ผมจะให้คุณ 40% ของหุ้นทั้งหมด…ดังนั้นคุณจือก็น่าจะสบายใจใช่มั้ย?” เซอร์เก้วิชพุชกินพูดหลังจากเงียบไปคู่หนึ่ง
ในใจของแม่ม่ายดำจือเหวินก็เริ่มมีความสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการที่เซอร์เก้วิชพุชกินโยนเหยื่อชิ้นใหญ่และข้อเสนอเช่นนี้เพื่อสร้างห้างสรรพสินค้าบนที่ดินที่ยังไม่เจริญมากนักเช่นนี้นั้นแน่นอนว่าแม่ม่ายดำจือเหวินจะต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าเซอร์เก้วิชพุชกินจะลงทุนไปเพื่อผลกำไรของห้างสรรพสินค้าเช่นนั้น ซึ่งมันต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ซ่อนอยู่ในนั้นเป็นแน่
.
.
.
.
.
.
.