ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 451 สัญญาเช่า
ตอนที่ 451 สัญญาเช่า
เมื่อมาถึงบริเวณด้านนอกบ้านของแม่ม่ายดำจือเหวินแล้วเซอร์เก้วิชพุชกินก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความคิดที่วุ่นวายในจิตใจของเขาแล้วหลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากรถ
เนื่องจากแม่ม่ายดำจือเหวินได้บอกลูกน้องของเธอเอาไว้ล่วงหน้าแล้วเมื่อเซอร์เก้วิชพุชกินบอกชื่อของเขาแล้วคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรเขาและพาเขาเข้าไปทันที ซึ่งแม่ม่ายดำจือเหวินก็กำลังนั่งจิบชาร้อนๆ อยู่ที่ระเบียงพร้อมกับหรี่ตาเล็กน้อยราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“หัวหน้าเขามาแล้วครับ” ลูกน้องพูดด้วยความเคารพ
“หืม!” แม่หม้ายดำจือเหวินก็พยักหน้าเล็กน้อยและค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แล้วหันหน้าไปมองเซอร์เก้วิชพุชกินและโบกมือให้ผู้ติดตามของเซอร์เก้วิชพุชกินถอยออกไปด้วยความเคารพ
“สวัสดีคุณจือ!” เซอร์เก้วิชพุชกินก็พยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มที่สุภาพ
“โอ้..คุณพุชกินเองหรอ..คุณมาตรงเวลามาก!” แม่ม่ายดำจือเหวินก็ยกแขนขึ้นมาเพื่อมองนาฬิกาข้อมือและพูดว่า “นั่งลงก่อนสิ!”
คุณสมบัติของสุนัขรับใช้นั้นคืออะไร? นั่นคือต่อหน้าเจ้านายแล้วเขาก็ต้องร้องขอความเมตตาลูกสุนัขแต่ทว่าต่อหน้าคนอื่นเขาต้องดุร้ายเหมือนสุนัขพันธุ์ทิเบตัน ซึ่งเซอร์เก้วิชพุชกินนั้นเป็นสุนัขที่มีความสามารถและมีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างมาก ไม่เช่นนั้นเขาจะทนกับทัศนคติของแม่ม่ายดำจือเหวินได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามในฐานะสุนัขรับใช้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่เราสามารถเสแสร้งและสามารถลดทัศนคติและปกปิดตัวตนต่อหน้าใครก็ได้ ซึ่งในเรื่องนี้เซอร์เก้วิชพุชกินก็ทำได้ดีอย่างมากเช่นกันดังนั้นทัศนคติที่ติดลบของแม่ม่ายดำจือเหวินจึงไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเขาเลยแม้แต่น้อย นอกจากการที่แม่ม่ายดำจือเหวินตกลงที่จะพบปะกับเขาอีกครั้งเช่นนี้นั้นนั่นก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งต่างๆ กำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เซอร์เก้วิชพุชกินก็เดินไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามกับแม่ม่ายดำจือเหวินหลังจากนั้นเขาก็โบกมือให้ลูกน้องของเขาถอยออกไปพลางรับของขวัญจางลูกน้องของเขาที่ยื่นมาให้ “คุณจือ..นี่เป็นของสมนาคุณเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าคุณจะชอบ” เซอร์เก้วิชพุชกินพูด
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “มิสเตอร์พุชกินเป็นคนใจกว้างมาก..คราวที่แล้วคุณก็ให้ของขวัญฉันและคราวนี้คุณก็ยังให้ฉันอีก”
เนื่องจากเธอไม่ได้ปฏิเสธซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธอตกลงที่จะยอมรับมันแล้วซึ่งเซอร์เก้วิชพุชกินนั้นก็รู้ดีเพราะไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะอยู่ในวงการเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อคิดเช่นนั้นเซอร์เก้วิชพุชกินก็ยิ้มเล็กน้อยและส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องของเขาวางของขวัญลงแล้วออกไปจากนั้นก็พูดว่า “มันเป็นแค่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ..มันไม่ได้มีค่าอะไรมากหรอก”
“มาคุยกันเถอะ” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด “มิสเตอร์พุชกินมีอะไรหรือ?”
เซอร์เก้วิชพุชกินก็กวาดสายตามองไปรอบๆ และถามอย่างว่างเปล่าว่า “หือ..คุณเย่ไม่อยู่หรอ” เห็นได้ชัดเลยว่าจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้เซอร์เก้วิชพุชกินดูเหมือนจะคิดว่าเย่เชียนนั้นเป็นคนสนิทของแม่ม่ายดำจือเหวิน เพราะทัศนคติที่เปลี่ยนไปของแม่ม่ายจือเหวินที่มีต่อเย่เชียนดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามเช่นนี้ แต่ทันทีที่พูดออกไปเซอร์เก้วิชพุชกินก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยเพราะถ้าหากเย่เชียนกับแม่ม่ายดำจือเหวินมีความสัมพันธ์เช่นนั้นมันก็คงจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นในก็เหมือนกับการล้วงความลับคนอื่นไม่ใช่หรือ?
แน่นอนว่าการแสดงออกของแม่ม่ายดำจือเหวินกลายเป็นเย็นชาและน้ำเสียงของเธอก็เบาลงโดยพูดว่า “มิสเตอร์พุชกินมาหาคุณเย่หรือ? ..ถ้างั้นฉันคิดว่าคุณมาผิดที่แล้ว..เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านของฉัน”
เซอร์เก้วิชพุชกินก็ยิ้มอย่างหดหู่แล้วพูดว่า “เอ่อไม่ๆ ..ผมก็แค่ถามเฉยๆ ..คือเรื่องที่ผมคุยกับคุณเมื่อวานนี้คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้บ้าง”
“มีอะไรหรอ” แม่ม่ายดำจือเหวินจงใจถามและแสร้งทำเป็นสับสน
“ก็เรื่องที่ดินของคุณจือน่ะ..ผมอยากจะซื้อมันจริงๆ” เซอร์เก้วิชพุชกินพูด “ราคาก็เป็นไปตามที่ระบุเอาไว้เมื่อวานนี้..และผมก็จะมอบหุ้น 20% ของห้างสรรพสินค้าให้..คุณคิดยังไงบ้าง?”
“ฉันอยากจะบอกว่าที่ดินผืนนั้นมีความหมายสำหรับฉันมาก..ถึงยังไงฉันก็ขายมันไม่ได้อยู่ดี” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด
เซอร์เก้วิชพุชกินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าแม่ม่ายดำจือเหวินนั้นคิดอะไรอยู่ ซึ่งเขาก็คิดว่าเงื่อนไขของเขานั้นไม่ดีพอใช่ไหม? หลังจากหยุดไปชั่วขณะเซอร์เก้วิชพุชกินก็พูดว่า “คุณจือคิดว่าราคามันยังไม่ดีพอหรอ..ถ้างั้นเราก็มาคุยเรื่องนี้กันสิ”
“งั้นแบบนี้เป็นไง! ” แม่ม่ายดำจือเหวินแสร้งทำสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “ฉันจะปล่อยให้คุณเช่าที่ดินผืนนั้นเป็นเวลาสิบปีและค่าเช่าสิบปีก็ต้องจ่ายเป็นเงินก้อนเดียว..ส่วนหุ้นของห้างสรรพสินค้านั้นฉันไม่ต้องการมัน..มิสเตอร์พุชกินคิดยังไงบ้าง?”
เซอร์เก้วิชพุชกินก็รู้สึกประหลาดใจว่าข้อเสนอของเขานั้นไม่ถูกใจหรือยังไง? อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาคาดหวังก็คือน้ำมันใต้ดินส่วนจะซื้อหรือเช่าที่ดินผืนนั้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรและเขาก็ไม่ได้คิดเกี่ยวกับการพัฒนาระยะยาวที่นี่เพราะมันไม่สำคัญว่าที่ดินผืนนี้จะเป็นจองใครเพราะหลังจากที่เขาส่งออกน้ำมันใต้ดินหมดแล้วเมื่อนั้นห้างสรรพสินค้าก็จะถูกโอนไปยังผู้อื่น
“คุณจือแน่ใจหรอ” เซอร์เกวิชพุชกินพูดด้วยความตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงเล็กน้อย “ถ้าคุณจือจะให้ผมเช่าที่ดินผมก็ยินดี..ไม่ทราบว่าคุณจือจะปล่อยเช่าในราคาเท่าไหร่? ”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ชูสามนิ้ว “สามแสนหรอ?” เซอร์เก้วิชพุชกินพูดด้วยความประหลาดใจเพราะมันเหลือเชื่อมากและเขาก็สงสัยว่าราคาเช่ามันไม่ถูกเกินไปหน่อยหรือ?
หลังจากนั้นแม่ม่ายดำจือเหวินก็พูดว่า “มิสเตอร์พุชกินคุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม..คุณเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ขนาดนี้แล้วทำไมคุณถึงได้คิดแบบนั้นกันล่ะ..มันไม่น่าจะออกมาจากปากของคนที่ประสบความสำเร็จอย่างมิสเตอร์พุชกินเลย”
เซอร์เก้วิชพุชกินก็ยิ้มเจื่อนๆ เพราะสิ่งที่เขาพูดออกไปเมื่อครู่นี้เขาก็คาดไม่ถึงจริงๆ เพราะมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ที่ดินผืนใหญ่ขนาดนี้จะถูกปล่อยให้เช่าในราคา 300,000 หยวนต่อปี อย่างไรก็ตามถ้าเป็น 3,000,000 ต่อปีนั้นก็แพงเกินไปอยู่ดีเพราะถ้าหากซื้อที่ดินโดยตรงล่ะก็เงินประมาณสิบล้านก็มากเกินพอแล้ว แต่ทว่าราคาเช่าครั้งนี้กลายเป็นสามล้านต่อปีดังนั้นสิบปีคือ 30 ล้านและต้องจ่ายเป็นเงินก้อนเดียวซึ่งมันก็มากเกินไป
อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงแหล่งน้ำมันที่อุดมสมบูรณ์ที่มีอยู่ในที่ดินผืนนั้นแล้วเซอร์เก้วิชพุชกินก็ตกลงโดยไม่ต้องพิจารณาใด ๆ อย่างไรก็ตามในฐานะนักธุรกิจแล้วถึงแม้ว่าเขาจะพอใจกับราคาที่เสนอแต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถตกลงได้ทันที หลังจากที่หยุดไปชั่วขณะเซอร์เก้วิชพุชกินก็พูดว่า “คุณจือ..คือว่าผมขอราคาที่ต่ำกว่านี้จะได้ไหม..เพราะสามล้านต่อปีถ้าตีเป็นสิบปีก็จะประมาณสามล้านหยวนนั้นมันก็มากเกินไป”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและยกมือขึ้นเพื่อดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือและพูดว่า “มันไม่ได้มากเกินไปหรอก..เอาเถอะมิสเตอร์พุชกิน…ฉันขอโทษฉันต้องรีบไปที่บริษัทเพื่อประชุม..ถ้าคุณไม่เห็นด้วยก็ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ”
ขณะที่แม่ม่ายดำจือเหวินพูดเธอก็ลุกขึ้นยืนและการกระทำของเธอก็ดูเหมือนจะเร่งรีบอย่างมากจนเซอร์เก้วิชพุชกินรีบลุกขึ้นยืนและพูดว่า “เดี๋ยวก่อนคุณจือ! ..เดี๋ยวก่อน! ..เรามาคุยกันต่อเถอะ”
“ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว..เรื่องค่าเช่าก็ตามนี้..ถ้ามิสเตอร์พุชกินตกลงเราก็จะเซ็นสัญญากันทันที..แต่ถ้าไม่ฉันก็ไม่มีเวลามากพอที่จะมาคุยเรื่องที่ไร้สาระเหล่านี้อีกแล้ว” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด
“ก็ได้ก็ได้..สามล้านก็สามล้าน!” เซอร์เก้วิชพุชกินพูดซ้ำๆ อย่างร้อนรน “แต่ตอนนี้ผมยังไม่ได้นำสัญญาเช่ามานะ”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็มองเวลาที่นาฬิกาข้อมืออีกครั้งและนั่งลงแล้วพูดว่า “ถ้างั้นคุณรอสักครู่ฉันจะเชิญทนายมาและเซ็นสัญญาทันที”
แน่นอนว่าเซอร์เก้วิชพุชกินก็เห็นด้วยอย่างใจจดใจจ่อและเขาก็กลัวอย่างยิ่งว่าแม่ม่ายดำจือเหวินจะเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน ซึ่งเซอร์เก้วิชพุชกินก็รีบพูดว่า “ได้เลยครับคุณจือ”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็พยักหน้าเล็กน้อยแฃะหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาเพื่อโทรหาทนายของเธอและอธิบายเรื่องนี้สั้นๆ จากนั้นก็วางสายไป
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเอกสารพลางพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นแม่ม่ายดำจือเหวินและเขาก็พูดว่า “สวัสดีครับหัวหน้าจือ!” เขาเป็นทนายความของราชินีแม่ม่ายดำจือเหวินหรือที่ผู้คนในเมืองเสิ่นหยวนเรียกเขากันว่าทนายโกงและไม่ว่าจะเป็นสัญญาธุรกิจแบบไหนก็ตามถึงยังไงแม่ม่ายดำจือเหวินก็ได้เปรียบอย่างมาก
“หืม!” แม่ม่ายดำจือเหวินก็พยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “นำสัญญามาแล้วหรือยัง? ”
“เรียบร้อยครับ!” ทนายความพูดขณะนั่งลงและเปิดกระเป๋าพลางหยิบใบสัญญาทั้งสองฉบับออกมาและพูดว่า “คุณจือนี่เป็นสัญญาที่ทำตามข้อกำหนดของคุณ..ลองดูสิ”
แม่ม่ายดำจือเหวินก็พยักหน้าเล็กน้อยและยื่นเอกสารสัญญาให้กับเซอร์เก้วิชพุชกินและพูดว่า “มิสเตอร์พุชกินลองเช็คดูสิว่ามันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
หลังจากที่เซอร์เก้วิชพุชกินอ่านผ่านๆ แบบลวกๆ แล้วเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ไม่มีปัญหาอะไร..ฉันเชื่อใจคุณจือ” อันที่จริงเขาคุ้นเคยกับสัญญาเช่นนี้ดี ดังนั้นเพียงแค่เหลือบมองไม่กี่ครั้งก็เพียงพอแล้วที่จะรู้ว่ามันมีอะไรผิดปกติในนั้น
“เนื่องจากไม่มีปัญหาอะไรถ้างั้นเราก็มาเซ็นสัญญากันเถอะ” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด หลังจากนั้นทนายก็ยื่นปากกาให้พวกเขาแต่ละคนเพื่อเซ็นชื่อในใบสัญญา
.
.
.
.
.
.
.