ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 452 พระภิกษุ
ตอนที่ 452 พระภิกษุ
หลังจากเซ็นสัญญาแล้วเซอร์เก้วิชพุชกินก็ใช้คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเพื่อโอนเงินใส่บัญชีแม่ม่ายดำจือเหวินทันทีเป็นจำนวนสามสิบล้านและจ่ายงวดเดียวถ้วน ซึ่งเซอร์เก้วิชพุชกินก็ไม่ได้ลังเลเลยเพราะท้ายที่สุดแล้วแหล่งน้ำมันใต้ดินอันล้ำค่านั้นมันมีมูลค่ามากกว่าสามสิบล้านหยวน ซึ่งมันสามารถทำเงินได้ถึง 30 ล้านหยวนและจากการสำรวจก่อนหน้านี้นั้นน้ำสามารถขุดได้อย่างน้อยแปดปีและถ้าหากพวกเขาทำงานหนักล่ะก็อย่างน้อยๆ สี่หรือห้าปีเมื่อถึงเวลานั้นห้างสรรพสินค้าจะต้องทำเงินได้อย่างมหาศาลและกำไรเป็นกอบเป็นกำ
“ยินดีด้วยกับการร่วมมือ!” เซอร์เก้วิชพุชกินเอื้อมมือออกไปและพูด
แม่ม่ายดำจือเหวินก็จับมือกับเซอร์เก้วิชพุชกินอย่างสุภาพและพูดว่า “เช่นกันค่ะ!” อย่างไรก็ตามรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้ผู้คนสงสัย ซึ่งเซอร์เก้วิชพุชกินเองก็อดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปชั่วขณะโดยไม่รู้ว่ารอยยิ้มของหญิงม่ายดำจือเหวินนั้นหมายถึงอะไรแล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติจีนกำลังจับตาดูเขาอยู่และวางแผนเกี่ยวกับเขาเอาไว้มานานแล้ว
“ฉันมีธุระที่ต้องไปทำเพราะงั้นฉันไม่ไปส่งคุณนะ” แม่ม่ายดำจือเหวินพูด
“ไม่เป็นไรครับ..ผมไปเองได้” เซอร์เก้วิชพุชกินพูดด้วยยิ้มแล้วเดินออกไป
หลังจากออกจากบ้านของแม่ม่ายดำจือเหวินแล้วเซอร์เก้วิชพุชกินก็แทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะโทรหาอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟผู้เป็นเจ้านายของเขาจนเขาได้รับคำชมมากมายจากเจ้านายจนเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้วเหลือแค่รอเวลาเท่านั้น ซึ่งตราบใดที่ท่อส่งน้ำมันใต้ดินถูกดำเนินการเมื่อห้างสรรพสินค้าถูกสร้างเสร็จนั้นน้ำมันที่นี่จะสามารถส่งออกไปยังชายแดนระหว่างประเทศจีนกับประเทศรัสเซียได้อย่างต่อเนื่อง
หลังจากวางสายไปแล้วเซอร์เก้วิชพุชกินก็รีบไปที่สำนักงานเทศบาลเมืองทันทีโดยหวังว่าเขาจะจัดการสิทธิ์ในการพัฒนาและขั้นตอนทั้งหมดที่นั่นให้ถูกอนุมัติโดยเร็วที่สุด ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ง่ายกว่าการเจรจาเรื่องที่ดินกับแม่ม่ายดำจือเหวินอย่างมากเพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่าการมอบซองอั่งเปาสีแดงนั่นเอง
ในตอนนี้เย่เชียนก็นั่งอยู่บนยอดเขาเอ๋อหลงและกำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งเอ๋อหลงภูเขานั้นเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงในเมืองเสิ่นหยวนและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามสิบแห่งและสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมถึงสี่แห่งซึ่งทั้งหมดนี้สะดุดตาและสวยงามอย่างมาก
ภูเขาเอ๋อหลงนั้นยังมีเทพนิยายที่สวยงามมากซึ่งกาลครั้งหนึ่งที่แห่งนี้ได้เกิดภัยแล้งอย่างรุนแรงและรอบๆ บริเวณเขื่อนในอ่างเก็บน้ำต่างก็มีผู้คนปลูกกะหล่ำปลีเอาไว้ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีตลอดรอบภูเขาที่คดเคี้ยวทั้งสองของเขื่อนของอ่างเก็บน้ำจนมีต้นไม้เขียวชอุ่มและมีหน้าผาซ่อนอยู่ด้านหลังที่เรียกว่า ‘สองมังกรคู่’ ตามตำนานเมื่อนานมาแล้วพื้นที่แห่งนี้มักจะถูกน้ำท่วมจนทำให้ผู้คนต้องพลัดถิ่นอยู่สม่ำเสมอเพราะภายในหนึ่งปีจะมีฝนตกหนักและน้ำท่วมบ้านและท่วมทุ่งนาทั้งหมดจนกลายเป็นมหาสมุทร ซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งนี้นั้นก็ถูกยุติด้วยมังกรสองตัวที่ต้องการจะยับยั้งภัยพิบัติครั้งนี้ด้วยร่างกายของพวกเขาเพื่อไม่ให้มนุษยชาติต้องสูญสิ้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกเขาได้ละเมิดกฎของสวรรค์จึงถูกจักรพรรดิบัลลังก์หยกสั่งให้องครักษ์แห่งสวรรค์ลงทัณฑ์พวกเขาและทำให้ร่างของมังกรทั้งสองกลายเป็นภูเขาที่สง่างามสองลูกและเลือดของพวกเขาก็กลายเป็นแผ่นดิน
นี่คือที่มาของชื่อภูเขาเอ๋อหลง!
ในตอนเช้าเย่เชียนก็ไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้าไปยังวัดหลิงหลงซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ในบริเวณนี้และมักจะมีการจุดธูปซึ่งในความเป็นจริงเย่เชียนก็ไม่เชื่อในศาสนาพุทธสักเท่าไหร่เพราะเขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่แท้จริงและไม่มีความเชื่อทางศาสนาใดๆ แต่ครั้งนี้เขาตัดสินใจที่จะมาที่วัดหลิงหลงเพื่อมาจุดธูปแต่เขาก็ไม่ต้องการขอพรจากพระโพธิสัตว์เพราะมันเป็นเพียงแค่ความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นรูปปั้นของพระโพธิสัตว์ในวิหารเย่เชียนก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวทันที
หลังจากจุดธูปในห้องโถงแล้วเย่เชียนก็ไปที่สวนหลังวัดและนี่ก็คือสถานที่ที่พระสงฆ์อาศัยอยู่โดยทั่วไปเขาจะไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปรบกวนพวกเขาโดยกล่าวว่าจะเป็นการรบกวนการทำกิจของพวกเขา ซึ่งวัดหลิงหลงนั้นแบ่งออกเป็นสองประเภทของพระสงฆ์องค์หนึ่งเป็นผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์และให้ความสำคัญกับความปรารถนาและละทางโลกทุกอย่าง และอีกประเภทจะเป็นเหมือนสาวกฆราวาสที่สามารถแต่งงานและมีลูกได้เหมือนคนทั่วๆ ไป
แต่น่าแปลกที่วันนี้พระสงฆ์เหล่านั้นเห็นเย่เชียนเข้ามาแต่พวกเขาไม่ได้หยุดเย่เชียนเอาไว้แต่ยังยิ้มให้เย่เชียนอีกด้วย ซึ่งเดิมทีเย่เชียนคิดว่าสวนหลังวัดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถมาเยี่ยมชมได้ แต่เมื่อเย่เชียนเห็นว่าที่แห่งนี้ห้ามนักท่องเที่ยวคนอื่นเข้ามาเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปมากนักเพราะทิวทัศน์หลังวัดแห่งนี้ก็สวยงามกว่าภาพก่อนหน้านี้มากและเผยให้เห็นบรรยากาศที่เงียบสงบซึ่งดูเหมือนว่าจะสามารถทำให้อารมณ์ต่างๆ สงบลงได้ในทันที “นี่คือดินแดนแห่งการชำระล้างทั้งหกและละทางโลกที่พระพุทธศาสนากล่าวเอาไว้หรือเปล่านะ” เย่เชียนพึมพำ
ในสวนหลังวัดหลิงหลงนั้นมีอนุสาวรีย์หินตั้งตระหง่านซึ่งกล่าวกันว่ามันเป็นหางของมังกรเพราะหลังจากที่องครักษ์แห่งสวรรค์ลงทัณฑ์มังกรแล้วหางของพวกเขาก็ตกลงมาที่นี่จนกลายเป็นอนุสาวรีย์หิน ซึ่งรูปร่างของอนุสาวรีย์หินนี้ก็คล้ายกับหางมังกร 2 ตัว ตามตำนานกล่าวขานกันว่าผู้ก่อตั้งวัดหลงหลิงนั้นเมื่อเขาได้เห็นอนุสาวรีย์หินนี้แล้วเขาก็กลายเป็นพระพุทธเจ้าและต่อมาเขาก็ได้สร้างวัดหลิงหลงขึ้นที่นี อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นเพียงตำนานเช่นกันและไม่มีใครเห็นด้วยตาของพวกเขาเองเลยสักคน แต่ถ้าไปถามผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้ล่ะก็พวกเขาก็สามารถบอกเล่าตำนานนี้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดจริงๆ
ไม่รู้ว่ามันคืออะไรที่ทำให้เย่เชียนมาที่อนุสาวรีย์ได้ซึ่งบางทีมันอาจถูกลิขิตเอาไว้ในห้วงมืดก็เป็นได้เพราะถ้าหากถังเหวยซวนไม่ได้ขโมยมีดคลื่นโลหิตหมาป่าไปล่ะก็เย่เชียนคงจะไม่ได้มาที่ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือแห่งนี้เป็นแน่ ดังนั้นถ้าเขาไม่ได้มาที่ดินแดงภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้วเขาจะมาที่วัดหลิงหลงโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร
เมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปที่อนุสาวรีย์หินแล้วก็ดูเหมือนจะเห็นว่าเย่เชียนจะเห็นว่าหินนั้นมันเหมือนกับมังกรยักษ์สองตัวที่หางแกว่งไปมาจนเขาถึงกับต้องขยี้ตาแรงๆ ซึ่งเขานึกว่าเขาแค่ตาฝาดไปแต่ทว่าเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็ยังคงเห็นเช่นเดิม ในเวลาเดียวกันทันใดนั้นเย่เชียนก็เกิดความคิดที่น่าหงุดหงิดอย่างมากและอารมณ์ที่กระหายเลือดก็พลุ่งพล่านอยู่ในร่างกายของเขาจนดวงตาของเย่เชียนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงโดยไม่ได้ตั้งใจราวกับว่าเขากำลังจะระเบิด
“เฮือก…” จู่ๆ ทันใดนั้นก็มีเลือดไหลออกมาภายในร่างกายของเขา อย่างไรก็ตามพลังฉีและเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายดูเหมือนจะไม่มีท่าที่จะสงบลงเลยจนเย่เชียนรู้สึกว่าถ้าเขาไม่สามารถควบคุมมันได้เขากลัวว่าเขาจะอาเจียนเป็นเลือดและจะต้องตายลงไปในไม่ช้าอย่างแน่นอน
ในวัดที่เงียบสงบเช่นนี้มีอนุสาวรีย์หินที่สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกเดือดพล่านได้ซึ่งทำให้เย่เชียนรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองคิดมากเกินไปได้ในเวลานี้เพราะถ้าหากเขาไม่ระงับอารมณ์ที่ไม่สงบเอาไว้ล่ะก็เย่เชียนคงจะไม่สามารถยื้อชีวิตของตัวเองจากที่นี่ในวันนี้ได้
“อมิตาพุทธ!” ทันใดนั้นเสียงของพระที่ดังอย่างมากก็เข้ามาในหูของเย่เชียน ซึ่งเสียงของพระนั้นเป็นเหมือนเสียงของสวรรค์มีพลังมหาศาลและทันใดนั้นเลือดที่เดือดพล่านในหัวใจของเย่เชียนก็จางหายไปในทันที
เย่เชียนก็หันกลับมาอย่างว่างเปล่าและเห็นพระภิกษุเคราสีขาวยืนอยู่ข้างๆ เขา แต่ผิวของเขานั้นแดงก่ำและไม่มีริ้วรอยบนใบหน้าซึ่งเย่เชียนนั้นไม่ทราบอายุของเขาเลย ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะตอนนี้เย่เชียนก็รีบโค้งคำนับเขาด้วยความขอบคุณและประสานมือกันอย่างเคารพ
พระรูปนั้นก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยซึ่งรอยยิ้มที่ปราศจากทุกสรรพสิ่งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาแล้วเขาก็พูดว่า “ในที่สุดผู้สืบทอดก็มาถึงที่แห่งนี้แล้ว!”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและเขาก็จำได้ว่าเมื่อเขาเดินเข้ามาในที่แห่งนี้ก็ไม่มีพระรูปไหนหยุดเขาเอาไว้เลยจนเขาอดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่พระรูปนี้ตั้งใจทำเช่นนี้ หลังจากที่แน่นิ่งไปชั่วครู่เย่เชียนก็ถามว่า “ท่านรู้มาก่อนหรอว่าผมจะมาที่นี่”
พระภิกษุก็พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ข้ารอท่านมาเกือบสามสิบปีแล้ว..ข้าควรจะได้ไปพบพระพุทธเจ้าตั้งนานแล้ว..แต่ข้ายังมีพันธะบางอย่างเหลืออยู่”
เกือบสามสิบปี? เย่เชียนก็แอบคิดอย่างลับๆ ซึ่งนั่นคงไม่ได้หมายความว่าพระภิกษุผู้นี้รู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่าตนจะมาที่นี่ตั้งแต่ที่ตนเกิดมาแล้ว? สำหรับคนรุ่นใหม่เรื่องนี้ค่อนข้างลึกลับเกินไป อย่างไรก็ตามมันยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างในโลกใบนี้ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับคำสาปของฟาโรห์ในอียิปต์ที่เย่เชียนนั้นไม่เชื่อแต่เขาก็ยังไม่ปฏิเสธอยู่ดี
หลังจากนั้นไม่นานพระภิกษุก็พูดต่อ “เมื่อกี้นี้ท่านผู้สืบทอดเห็นอะไรหรือ”
“เห็นหางมังกรทั้งสองเกี่ยวกันราวกับว่าพวกมันกำลังจะบินออกไป” เย่เชียนตอบตามความเป็นจริง
“กาลเวลาก็เป็นชะตากรรมและโชคชะตาก็ช่างเป็นสิ่งที่เลวร้ายเช่นกัน” พระภิกษุก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “อมิตาพุทธ”
เย่เชียนก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ และรออยู่อย่างเงียบๆ เพราะด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อเขาเห็นพระภิกษุรูปนี้แล้วก็เหมือนกับว่าพระภิกษุรูปนี้มีอำนาจที่มองไม่เห็นคอยกักขังเขาเอาไว้ ซึ่งมันเป็นออร่าชนิดหนึ่งและมองไม่เห็นและดูสงบและมั่นคงอย่างยิ่งจนเย่เชียนไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดออกมา
“ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนมีความผิด..เช่นเดียวกับข้าที่เป็นพระภิกษุ..ส่วนเจ้านั้นได้ถูกลิขิตให้กระทำความชั่วร้ายมานับไม่ถ้วนตลอดช่วงชีวิตนั่นก็เป็นเพราะโชคชะตาของเจ้าเอง” พระภิกษุพูดต่อ “ท่านผู้สืบทอดอยากจะฟังสิ่งที่ข้าจะพูดต่อจากนี้ไหม?”
“ครับท่าน..ได้โปรดเล่าสิ่งต่างๆ ให้ผมฟังด้วย” เย่เชียนพูดด้วยความเคารพ
พระภิกษุก็พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าเราจะโหดเหี้ยมแค่ไหนแต่เราก็ต้องเมตตาด้วย!”
เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงเพราะเขานึกถึงคำพูดของพระภิกษุรูปหนึ่งที่ดังกึกก้องอยู่ในใจ “เด็กคนนี้ไม่รู้อะไรเลย..ได้โปรดชี้นำผมด้วย” เย่เชียนพูด
พระภิกษุก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “พระพุทธเจ้าจะไม่พูดสิ่งใดทั้งสิ้น..เพราะท่านผู้สืบทอดมีความสามารถและมีปัญญาที่ล้ำเลิศ..ดังนั้นข้าก็เชื่อว่าท่านผู้สืบทอดจะสามารถเข้าใจถึงความหมายได้..ทั้งท่านและข้าก็ได้พบกันแล้วดังนั้นข้าก็สามารถไปพบพระพุทธเจ้าของข้าได้แล้ว..จงโชคดี..อมิตาพุทธ!” พระภิกษุก็ตบบ่าของเย่เชียนเบาๆ แล้วจากไป
อย่างไรก็ตามด้วยการสัมผัสเบาๆ จากพระภิกษุนั้นก็ทำให้เย่เชียนรู้สึกได้ถึงกระแสอากาศและพลังงานบางอย่างที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาและมันก็ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาในทันทีจนเขารู้สึกเหมือนกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ หลังจากนั้นเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและเขาก็มองไปที่พระภิกษุที่จากไปแล้วพึมพำว่า ‘เขาคือปรมาจารย์หรือเปล่า?’ แต่เห็นได้ชัดว่าขอบเขตและพลังของพระภิกษุรูปนี้นั้นสูงกว่าของหลินจินไท่อาจารย์ของเขาอย่างมาก
.
.
.
.
.
.
.