ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 471 เจตนารมณ์ของอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟ
ตอนที่ 471 เจตนารมณ์ของอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟ
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วเซอร์เก้วิชพุชกินก็เชิญให้เย่เชียนขึ้นรถจากนั้นก็ขับรถไปที่บ้านของอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟ ส่วนหลินเฟิงไม่ได้ไปด้วยและถึงแม้ว่าเซอร์เก้วิชพุชกินจะสับสนเล็กน้อยก็ตามแต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากนอกจากนี้ยังเป็นเย่เชียนเองที่ไปเจรจากับอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟในครั้งนี้และมันก็ไม่สำคัญว่าหลินเฟิงจะมาด้วยหรือไม่
แน่นอนว่าหลินเฟิงไม่ได้ออกไปสนุกสนานแต่เขาไปติดต่อกับเหล่านักฆ่าขององค์กรเซเว่นคิลเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์และการกระจายอำนาจของกองกำลังสำคัญของเมืองมอสโกและถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจมาก่อนแล้วก็ตามแต่สิ่งต่างๆ ก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแล้วใครจะรู้ได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีกหลังจากผ่านมานาน ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่จะทำการตรวจสอบสิ่งต่างๆ โดยละเอียด
ในตอนนี้แม้แต่หลินเฟิงเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเชื่อคำพูดของเย่เชียนและปฏิบัติตามโดยไม่สงสัย หรือนี่น่าจะเรียกว่าพี่น้องใช่มั้ย? บางทีตามที่เล่าลือกันไปทั่วโลกเขากับเย่เชียนและหมาป่าผีไป๋ฮวยนั้นเดิมทีพวกเขาเป็นดั่งดวงดาวสามดวงลงร่วงหล่นมาจากท้อวฟ้าเพื่อเป็นกองทัพและถูกกำหนดให้คอยรับใช้เย่เชียน
เย่เชียนใช้เวลานั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงภายใต้การขับโดยเซอร์เก้วิชพุชกินมาที่บ้านของอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟ แต่เมื่อมองแวบแรกกลับดูเหมือนพระราชวังหรูหราและเทียบได้กับเครมลินในประเทศรัสเซีย
บริเวณนอกนั้นเป็นลานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ต้นไม้ใบหญ้าและตรงกลางเป็นถนนที่ทำจากหยกขาวและหินอ่อนที่ตรงเข้าสู่บ้านและยังมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่ข้างๆ ซึ่งภายในสระว่ายน้ำก็ยังมีน้ำพุร้อนโดยตรงจากภูเขาไฟอีกด้วย
เมื่อเห็นบ้านที่หรูหราเช่นนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะเลียบปากของเขาและถอนหายใจอย่างลับๆ แล้วคิดในใจว่า ‘นี่หรือความหรูหรา’
หลังจากการตรวจบริเวณนอกบ้านอย่างเรียบง่ายแล้วรถก็ขับตรงเข้าไปในโรงรถจากนั้นเซอร์เก้วิชพุชกินก็พาเย่เย่เชียนเข้าไปในบ้านอย่างสุภาพ ในห้องนั่งเล่นอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟก็กำลังเอนกายอยู่บนโซฟาและดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อยและสูบซิการ์ในมืออย่างช้าๆ
อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟคือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้านการนำเข้าและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นตำนานของประเทศรัสเซียและว่ากันว่าตอนที่เขายังเด็กนั้นเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับประธานาธิบดีรัสเซียคนปัจจุบันและพวกเขาก็เคยทนทุกข์และทุกข์ทรมานมาด้วยกันและเป็นเหมือนพี่น้องกันอีกด้วย ซึ่งอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟนั้นเป็นเด็กที่ซนมากเพราะเมื่อเขายังเด็กในตอนนั้นเขาได้แสดงความสามารถทางธุรกิจที่ไม่ธรรมดาของเขาและทำเงินได้ 20,000 ดอลลาร์ในช่วงวัยรุ่นและตอนนั้นเงิน 20,000 ดอลลาร์นั้นก็ไม่ใช่น้อยๆ นับประสาอะไรกับตอนนี้
หลังจากออกจากโรงเรียนอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟก็เข้าทำงานเป็นคนงานเหมืองและบริกรในโรงแรมและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อย่างไรก็ตามอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟก็รู้สึกว่างานเหล่านี้ไม่เหมาะกับเขาเลยและสิ่งที่เหมาะกับเขานั้นก็คือการทำธุรกิจและต้องเป็นธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น
หลังจากเข้าสู่วงการธุรกิจแล้วเขาก็เริ่มดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการและด้วยนิสัยส่วนตัวของเขาจึงทำให้บุคลิกภาพที่เป็นเอกลักษณ์และความรู้ทางธุรกิจที่กระตือรือร้นนั้นทำให้เขาประสบความสำเร็จในตลาดได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นอาชีพการงานของเขาก็เติบโตขึ้นอย่างใหญ่โตและรวดเร็วอย่างมาก
สิบปีที่ต่อมาอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟก็เข้าสู่อุตสาหกรรมน้ำและปิโคเลียมมันอย่างเป็นทางการและไม่เพียงแค่ได้รับการตั้งหลักอย่างรวดเร็วแต่ยังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วอีกด้วยและในเวลาเพียงไม่กี่ปีอาณาจักรน้ำมันของอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟก็ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซีย ชื่อของเขาอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟก็ยังรวมอยู่ในการจัดอันดับของ Forbes และติดอันดับที่ดีที่สุดอีกด้วย
เมื่อเห็นอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟแล้วเย่เชียนก็ตกตะลึงเล็กน้อยเพราะชายคนนี้ในวัยห้าสิบของเขาดูไม่แก่มาก แต่มีจิตวิญญาณกล้าหาญที่แข็งแกร่งมากบนใบหน้าของเขา
“หัวหน้าครับ..มิสเตอร์เย่มาแล้ว!” เซอร์เก้วิชพุชกินพูดด้วยความเคารพ
“หืม!” อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟค่อยๆ ลืมตาขึ้นและมองไปที่เย่เชียนและในทันใดนั้นเย่เชียนก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่แหลมคมแทงเข้าไปในอกของเขาราวกับมีดคมจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะสั่นไปทั้งตัวและคิดอย่างลับๆ ว่า “เขาไม่ใช่คนธรรมดาๆ เลย”
ด้วยการมองเช่นนี้เย่เชียนดูเหมือนจะได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมายเพราะเขาเห็นว่าผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซียซึ่งเป็นเจ้านายของอาณาจักรธุรกิจขนาดใหญ่นี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เซอร์เก้วิชพุชกินกล่าวเพราะด้วยเหตุผลบางอย่างเย่เชียนรู้สึกเบาๆ ว่ามันไม่เพียงแค่อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่หลังจากผ่านมาหลายปีชายชราคนนี้กลับมีอำนาจมากยิ่งขึ้นแต่นั่นมันก็เมื่อสมัยก่อนเพราะตอนนี้อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟกำลังซุ่มเงียบ
แม้แต่เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดกับตัวเองว่าความขัดแย้งระหว่างเซอร์เก้วิชพุชกินและโปดันโนว่าและคนจากตระกูลอเล็กซานเดอร์นั้นได้รับการริเริ่มและกำหนดโดยชายชราผู้นี้เองและนี่ก็เป็นเพียงความรู้สึกที่เย่เชียนไม่สามารถพูดได้ว่าทำไม
“สวัสดีครับมิสเตอร์อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟ!” เย่เชียนทักทายด้วยรอยยิ้ม
อเล็กซานเดอร์โซโลวิยอฟก็พยักหน้าเล็กน้อยและหรี่ตาอันเฉียบคมที่เขามีในตอนนี้จากนั้นเขาก็ยิ้มและยืนขึ้นยื่นมือออกไปจับมือกับเย่เชียนและพูดว่า “ราชาหมาป่าเย่เชียน..ผมชื่นชมชื่อเสียงของคุณมานานแล้ว..ยินดีที่ได้พบ!”
เย่เชียนก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัดกับความกระตือรือร้นที่มากเกินไปของอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟและเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะจากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า “ผมเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับคุณมานานแล้ว..ชื่อเสียงของมิสเตอร์อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ..แต่ผมไม่เคยมีโอกาสเลย..วันนี้มันเป็นความโชคดีของผมอย่างมาก”
“ยินดีๆ” อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟยิ้มและพูดว่า “เชิญนั่งลงก่อน” ในขณะที่พูดเขาจับมือของเย่เชียนและนั่งลงราวกับว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก
เย่เชียนเห็นฉากแบบนี้มากมายและสำหรับคนใหญ่คนโต่อย่างอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟนั้นก็ไม่ควรถือเอาความกรุณาของเขาที่มีต่อคุณในฐานะคนสนิทเพราะอันที่จริงมันไม่ใช่เมื่อมีบางสิ่งที่ต้องร่วมมือกันมันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องแสดงสุภาพออกมา แต่เมื่อเขาหันหน้าหนีไปมันก็จะไร้ความรู้สึกเช่นนั้น
เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆ และปล่อยให้อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟพาตัวเองไปนั่งลงบนโซฟา หลังจากนั้นก็เหลือบไปที่เซอร์เก้วิชพุชกินและพูดว่า “พุชกิน! ..กลับไปที่บริษัทก่อน”
เซอร์เก้วิชพุชกินก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและดูประหลาดใจและอธิบายไม่ถูกและก็สับสนอย่างมากเกี่ยวกับความหมายของอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟหัวหน้าของเขา เพราะเขาเป็นคนพาเย่เชียนมาคุยเรื่องความร่วมมือแต่เขากลับถูกขับไล่ออกไปอย่างไม่มีเหตุผลได้อย่างไร? อย่างไรก็ตามแม้เขาจะประหลาดใจมากสักแค่ไหนแต่เขาก็ไม่เคยกล้าที่จะละเมิดคำพูดของอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟเลย
“ครับหัวหน้า..ผมจะไปเดี๋ยวนี้! ” เซอร์เก้วิชพุชกินก็พยักหน้าอย่างเคารพจากนั้นหันไปมองเย่เชียนเล็กน้อยแล้วเขาก็ออกไป
หลังจากเห็นเซอร์เก้วิชพุชกินเดินออกไปแล้วอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟก็พูดว่า “มิสเตอร์เย่..เห็นว่าเซอร์เก้วิชพุชกินบอกว่าคุณได้ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ที่ประเทศจีนใช่ไหม..ขอบคุณมากเพราะถ้าไม่ใช่เพราะคุณล่ะก็ผมเกรงว่าฉันคงจะเสียมือขวาคนนี้ไปแล้ว”
เย่เชียนก็เริ่มสับสนเพราะเซอร์เก้วิชพุชกินนั้นเป็นคนที่ทำให้เกิดการเจรจาและความร่วมมือในการหารือครั้งนี้ดังนั้นอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟก็ไม่จำเป็นต้องไล่เซอร์เก้วิชพุชกินออกจากที่นี่ไป แต่ตามสถานการณ์ปัจจุบันเห็นได้ชัดว่าอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟคนนี้ดูเหมือนจะไม่ไว้วางใจเซอร์เก้วิชพุชกินเลย
แต่แทนที่จะคิดเรื่องนี้กลับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเพราะอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟนั้นก็กำลังถูกทั้งสามฝ่ายที่อยู่ภายใต้มือของเขาหักหลังได้อย่างง่ายดาย แต่จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะถึงแม้ว่าเขาจะสั่นคลอนก็ตามแต่เขาจะต้านทานการต่อสู้ของทั้งสามฝ่ายนี้ได้อย่างไร? เมื่อเย่เชียนตระหนักถึงเรื่องนี้แล้วก็อาจเป็นเพราะคนนี้ที่มีแผนพิเศษอะไร? หรือบางทีอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟคนนี้ต้องการกำจัดทั้งสามฝ่ายนี้มานานแล้ว?
หากเราเป็นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งล่ะก็เราจะต้องมีจิตสำนึกที่กล้าหาญที่จะลงทัณฑ์องครักษ์ที่ภักดีเพราะองครักษ์คนใดคนหนึ่งอาจพัฒนาไปสู่ตัวตนที่ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้สำเร็จ ซึ่งอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟเป็นดั่งจักรพรรดิแห่งอาณาจักรธุรกิจของเขาและตระกูลอเล็กซานเดอร์และเซอร์เก้วิชพุชกินและแม้แต่โปดันโนว่าต่างก็เป็นเหมือนวีรบุรุษและองครักษ์ของอาณาจักรธุรกิจ ซึ่งพวกเขาทั้งสามฝ่ายดูเหมือนจะไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่อีกต่อไปซึ่งจะเป็นภัยคุกคามต่ออเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟอย่างแน่นอน
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มิสเตอร์อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟครับมันก็ไม่ขนาดนั้น..ผมก็แค่บังเอิญช่วยเขาเอาไว้เท่านั้น..เพราะมิสเตอร์พุชกินน่ะมีทั้งความสามารถมากและจริงใจซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอิจฉาจริงๆ”
“หึ!” อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟตะคอกเบาๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเย่เชียนและสิ่งนี้ก็ทำให้เย่เชียนยืนยันความคิดภายในของเขามากขึ้นเพราะอันที่จริงอเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟมีความคิดที่จะกำจัดกองกำลังทั้งสามนี้ออกไปแล้ว ตามสถานการณ์ปัจจุบันเย่เชียนเกรงว่าสิ่งต่างๆ มันอาจจะเริ่มดำเนินการอยู่แล้วก็เป็นได้
“ผมเชื่อมาตลอดว่าในโลกใบนี้ไม่มีความจริงใจอย่างแน่นอน..เพราะผลประโยชน์การทรยศนั้นมันไม่คุ้มสำหรับการทรยศเลย..แล้วถ้าหากแม้แต่คนใกล้ชิดของคุณก็ยังหักหลังคุณได้ล่ะก็..มิสเตอร์เย่คุณคิดว่าไง?” อเล็กซานเดอร์โซโรวิยอฟพูด
“นั่นคือความจริง..เพราะนิสัยคนเราไม่เข้าใครออกใคร” เย่เชียนพูดอย่างเห็นด้วย
.
.
.
.
.
.
.