ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 480 ประโยคเดียว
ตอนที่ 480 ประโยคเดียว
คูลอฟส์อังเดรและคูลอฟส์อาสเชฟที่มีสถานะเป็นลุงและหลานชายแต่ในครอบครัวมาเฟียเช่นนี้ความรักของลุงและหลานชายนั้นได้ถูกลืมไปนานแล้วเพราะการต่อสู้เพื่อผลกำไรและอิทธิพลของตนเองและตอนนี้นับประสาอะไรกับความรักของลุงและหลานชายเพราะทั้งสองฝ่ายนั้นก็พร้อมที่จะฆ่าฟันกันได้ทุกเมื่อ
ยิ่งเป็นครอบครัวใหญ่ความรักที่มีให้กันก็จะยิ่งน้อยลงมากขึ้นเท่านั้นและในครอบครัวเช่นนี้ผลประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดและการต่อสู้เพื่อสิทธิ์และอำนาจเพราะทุกคนล้วนอยากปีนขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดแล้วนับประสาอะไรกับลุงและหลานชายเพราะแม้แต่พี่น้องพ่อและแม่และลูกก็มีแนวโน้มที่จะหันหลังให้กัน ซึ่งนี่เป็นเช่นเดียวกับการแย่งชิงอำนาจในพระราชวังจีนโบราณเพราะความรักในครอบครัวทั้งหมดนั้นล้วนเป็นภาระทั้งสิ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของคูลอฟส์อังเดรและรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแล้วคูลอฟส์อาสเชฟพูดอย่างเย็นชาว่า “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าวลาดิเมียร์ตายยังไง..นี่แกฆ่าวลาดิเมียร์ใช่ไหม..ถึงแกจะสามารถซ่อนจากคนอื่นได้แต่แกไม่สามารถซ่อนมันจากฉันได้..เอาเถอะหนทางมันยังอีกยาวไกลลองมองไปรอบๆ ดูสิ..มันไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครจะฆ่าแกบ้าง”
“ลุงอาสเชฟผมไม่ชอบที่คุณพูดแบบนี้เลยพวกเรามีสถานะเป็นลุงและหลาน..ผมอดทนกับคุณมาตลอดหลายปี..แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผมจะกลัวคุณหรอกนะ..เพราะงั้นก็อย่ามาตำหนิผมที่ไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างลุงและหลานชายของเราก็แล้วกัน” คูลอฟส์อังเดรก็พูดอย่างมีชัยด้วยความมั่นใจในหัวใจของเขานั้นเขารู้สึกว่าตราบใดที่เขี้ยวหมาป่าของเย่เชียนยืนอยู่ข้างๆ เขาล่ะก็ไม่ช้าก็เร็วมาเฟียคูลอฟส์ทั้งหมดจะเป็นของเขาเอง
“อังเดรเอ๋ย..มีคำพูดในประเทศจีนที่ว่าไม่ควรจะมั่นใจอะไรเกินไป..มาดูกันเถอะยังมีเวลาอีกตั้งนาน..ฉันจะรอดูแกทำบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้ฉันตกตะลึงได้..ไม่งั้นสิ่งต่างๆ มันก็คงจะไม่มีความหมาย..อย่าโทษว่าฉันรังแกคนอ่อนแอกว่าล่ะฮ่าๆ!” คูลอฟส์อาสเชฟก็หัวเราะและเดินจากไป
เป็นเวลานานแล้วที่คูลอฟส์อังเดรอยู่ในฐานะลูกชายคนโตของตระกูลคูลอฟส์ที่ได้รับการฝึกฝนให้เป็นทายาทของตระกูลคูลอฟส์อังเดรอันยิ่งใหญ่ซึ่งอิทธิพลและอำนาจของเขานั้นยิ่งใหญ่มากและนั่นก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถถปฏิเสธได้ แต่คูลอฟส์อาสเชฟนั้นก็มีอำนาจและอิทธิพลที่แข็งแกร่งไม่ต่างจากคูลอฟส์อังเดรเพราะในเวลาเพียงไม่กี่ปีก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าคูลอฟส์อาสเชฟนั้นไม่ใช่ตัวละครที่เรียบง่าย ตามที่กล่าวไปมันก็ยากมากที่จะคาดเดาว่าใครจะเป็นผู้ชนะและใครที่จะเป็นผู้แพ้
เมื่อเห็นคูลอฟส์อาสเชฟจากไปคูลอฟส์อังเดรก็ตะคอกอย่างเย็นชาและมีเจตนาฆ่าที่เย็นยะเยือกเข้ามาในดวงตาของเขา ซึ่งในอดีตเขาเคยยอมรับและนับถือคูลอฟส์อาสเชฟแต่เขาคิดเพียงว่าจะโน้มน้าวผู้คนและจะรักษาคุณธรรมและความมั่นคงของตระกูลคูลอฟส์เอาไว้ได้อย่างไร แต่ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าถ้าเขาต้องการความมั่นคงที่แท้จริงของตระกูลคูลอฟส์เขาก็ต้องชัดเจนเกี่ยวกับศัตรูทั้งหมดของเขาและไม่ว่าจะเป็นคูลอฟส์อาสเชฟหรือกองกำลังและฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่สามารถเข้ากันได้กับเขาทั้งสิ้น
สิ่งที่เกิดขึ้นในมูร์มัคส์ครั้งนี้ก็ทำให้เขาเชื่อมั่นมากขึ้นถึงประโยชน์ที่ดีของการร่วมมือกับเย่เชียนและเขาก็ทำตามคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ของเย่เชียนและสร้างศักดิ์ศรีของเขาขึ้นมาใหม่ในตระกูลซึ่งสิ่งนี้สำหรับคูลอฟส์อังเดรแล้วมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างมาก
เมื่อเข้ามาในรถของเขาคูลอฟส์อังเดรก็สั่งให้คนขับรถขับไปที่บ้านของเขาพร้อมกับกดโทรศัพท์ของเย่เชียนซึ่งในเวลานี้เย่เชียนและหลินเฟิงกำลังนอนอยู่ในสปาพร้อมกับสาวสวยสองคนที่คอยนวดให้เขาอย่างสบายตัว หลังจากเห็นสายโทรศัพท์ของคูลอฟส์อังเดรแล้วเย่เชียนก็ฉีกยิ้มและรับสายโทรศัพท์แล้วพูดว่า “สวัสดีมิสเตอร์คูลอฟส์อังเดร..ต้องการให้ผมทำอะไรบ้าง!”
ในขณะที่พูดสาวหมอนวดก็กดไปที่กล้ามเนื้อข้างหนึ่งของเย่เชียนจนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นคูลอฟส์อังเดรก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและเขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ดูเหมือนมิสเตอร์เย่จะสนุกนะ..เป็นไงผู้หญิงคนนั้นน่ารักมั้ย?”
เย่เชียนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและหลังจากที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “นี่คุณจะโทรมาหาผมเพื่อแค่คุยเรื่องพวกนี้ใช่ไหม” ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเข้าใจความหมายในคำของคูลอฟส์อังเดรก็ตามแต่เรื่องแบบนี้ยิ่งอธิบายให้ใครฟังเขาคนนั้นก็มักจะไม่เชื่อและนอกจากนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลย
“เอ่อ..ไม่ใช่แบบนั้น” คูลอฟศ์อังเดรพูดอย่างรีบร้อน “มิสเตอร์เย่หลังจากการประชุมผู้นำของตระกูลมาเฟียของพวกเราแล้วคือพวกเขาต้องการ…”
“คุณต้องการให้ผมเริ่มทันทีใช่ไหม” เย่เชียนฉีกยิ้มและขัดจังหวะคูลอฟส์อังเดร
“มิสเตอร์เย่เป็นคนมีไหวพริบจริงๆ ..ไม่มีอะไรที่ปิดบังคุณได้เลย” คูลอฟส์อังเดรพูดต่อ “มิสเตอร์เย่คุณคิดยังไง? ”
“นี่มันปัญหาของคุณแล้วทำไมถึงต้องมาถามผมล่ะ..คุณยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลยเหรอ?” เย่เชียนพูดอย่างเรียบเฉย เพราะตั้งแต่ที่คูลอฟส์อังเดรโทรมาหาเขานั่นก็หมายความว่าเขาพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้นำของตระกูลคูลอฟส์เพื่อเริ่มกวาดล้างตระกูลสลาดาร์แล้วและเหตุผลในการโทรครั้งนี้ก็เพื่อบอกเย่เชียนถึงสิ่งต่างๆ อย่างเป็นมารยาท
ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นคูลอฟส์อังเดรก็พูดว่า “ผมคิดเอาไว้แล้สแต่ผมอยากจะฟังความคิดเห็นของมิสเตอร์เย่ก่อน..อย่างไรก็ตามทุกอย่างในครั้งนี้ผมคงทำไม่ได้ถ้าหากไม่มีมิสเตอร์เย่”
“เนื่องจากนายมิสเตอร์คูลอฟส์อังเดรเชื่อผมมากขนาดนั้นผมก็จะแสดงความคิดเห็นก็แล้วกัน..ตาคุณจะรับฟังมันหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณที่จะตัดสินใจ” เย่เชียนพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ฟังแน่นอนถ้ามิสเตอร์มีความคิดเห็นก็พูดมันออกมาเลย..ผมจะรับฟังอย่างแน่นอน” คูลอฟส์อังเดรพูดอย่างรีบร้อน เพราะในความคิดของเขาตอนนี้เขานั้นเข้าใจเย่เชียนอย่างจริงจังและสร้างพันธมิตรที่ลึกซึ้งกับเขาเพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของตัวเองให้มั่นคงยิ่งขึ้น มิฉะนั้นเมื่อเย่เชียนกลายเป็นพันธมิตรกับศัตรูของเขาเช่นนั้นเกรงว่าเขาจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย
แม้ว่คูลอฟส์อังเดรจะชัดเจนมากว่าเหตุผลที่เย่เชียนเลือกที่จะร่วมมือกับตัวเองในครั้งนี้นั้นค่อนข้างเกี่ยวข้องกับโปดันโนว่านั้นแต่มาเฟียก็ยังเป็นมาเฟียและกลุ่มธุรกิจของโปดันโนว่าก็มีความแตกต่างกันถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ร่วมมือกับเขาแต่ถึงยังไงเย่เชียนก็ยังสามารถร่วมมือกับโปดันโนว่าได้ ดังนั้นคูลอฟส์อังเดรจึงต้องลดทัศนคติของเขาและแสดงท่าทางที่อ่อนน้อมถ่อมตน
แน่นอนว่าเย่เชียนเองก็รู้ดีเช่นกันว่าคูลอฟส์อังเดรมีทัศนคติเช่นนี้เพราะเขายังมีค่าที่จะใช้ ดังนั้นเย่เชียนจะไม่ถือว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนของคูลอฟส์อังเดรนั้นเหมือนกับว่าคูลอฟส์อังเดรเชื่อมั่นในตัวเขาแล้วเพราะการที่จะควบคุมคูลอฟส์อังเดรอย่างสมบูรณ์นั้นก็ยังคงต้องการวิธีการและเวลาอีกมาก อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในตระกูลคูลอฟส์ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะสูญเสียอำนาจและอิทธิพลไปแต่ก็เทียบไม่ได้กับคนธรรมดาอยู่ดี
“ผมมีแค่ประโยคเดียว!” เย่เชียนพูดช้าๆ “นั่นคือรอและก็รอต่อไป..มิสเตอร์คูลอฟส์อังเดรคิดว่าไง?”
คูลอฟส์อังเดรก็เงียบไปครู่หนึ่งและเขาก็คิดว่ามันเป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้วทำไมเขาถึงต้องรอ? ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำของตระกูลคูลอฟส์ก็กำลังเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อตนเองและมีความหวังก็สูงขึ้นอย่างมากดังนั้นก็ควรถึงเวลาที่พวกเขาจะสร้างผลงาน และถึงแม้ว่าเขาจะสับสนแต่คูลอฟส์อังเดรก็ยังต้องอดทนและถามว่า “มิสเตอร์เย่ช่วยอธิบายอีกครั้งได้ไหมผมไม่เข้าใจ”
เย่เชียนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นและโบกมือให้หญิงสาวสองคนที่กำลังนวดและบอกให้พวกเธอออกไป ในความเป็นจริงความฉลาดและไหวพริบของคูลอฟส์อังเดรนั้นก็ปกติมากและเขาก็อยู่ในระดับปานกลางที่ไม่ได้โง่หรือไร้เดียงสา แต่ความคิดของเย่เชียนนั้นมักจะลึกล้ำเกินไปดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะปรับตัวให้เข้าใจได้
นอกเหนือจากหมาป่าผีไป๋ฮวยแล้วก็ยังมีการประเมินว่ามีเพียงหลินเฟิงเท่านั้นที่เก่งในการใช้วิธีการคิดเช่นนี้และเขาก็ฉลาดกว่าเย่เชียนเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นกับวลาดิเมียร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ความบังเอิญของหลินเฟิงแต่เป็นความตั้งใจเพราะแทนที่จะจัดการกับเหล่าองค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะก่อนในขณะที่ปล่อยวลาดิเมียร์มีชีวิตอยู่ต่อโดยทำให้ตัวเองมีอันตรายและความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่จึงคิดที่จะกำจัดวลาดิเมียร์ไปเสียก่อนจะดีกว่าและทำให้อันตรายและความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่นี้หมดไปโดยสิ้นเชิง
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “มันง่ายมากเพราะตอนนี้ครอบครัวของคุณเห็นแต่ข้อเสียในมูร์มัคส์และต้องการให้คุณสืบทอดองค์กรมาเฟียในขณะที่องค์กรสลาดาร์กำลังขยายอิทธิพลขึ้นทุกวันๆ ดังนั้นคุณควรจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของคุณและบอกให้พวกเขารู้ว่าคูลอฟส์อังเดรคนนี้มีความสำคัญต่อตระกูลคูลอฟส์อย่างยิ่ง..ดังนั้นความคิดของผมก็คือรอและรอจนกว่าอิทธิพลขององค์กรสลาดาร์จะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้และรอจนกว่าผู้นำของคุณจะถึงจุดวิตกกังวลมากที่สุด..หากเป็นเช่นนั้นผลลัพธ์ทั้งหมดก็จะเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครั้งเดียว”
หลังจากตระหนักและไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ไปชั่วขณะคูลอฟส์อังเดรก็พยักหน้าเล็กน้อยและหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เย่เชียนพูดออกมานั้นเป็นความจริง “มิสเตอร์เย่ผมเชื่อคุณอย่างสมบูรณ์..ถ้างั้นคนของผมทั้งหมดจะทำตามข้อเสนอของมิสเตอร์เย่!” เครือน่านฟ้ากรุ๊ปพูดด้วยความรีบร้อน
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วคุณคิดว่าเราจะจัดการกับคำถามของผู้นำของคุณยังไงดี? ..ถ้าคุณไม่ทำอะไรเลยเป็นเวลานานพวกเขาก็จะถามคุณอย่างแน่นอน..เพราะงั้นคุณต้องหาวิธีตอบคำถามและถ้าคุณพลาดนั้นคุณไม่เพียงแค่ปล่อยให้พวกเขาปล่อยเรื่องนี้ให้คนอื่นจัดการเท่านั้นแต่คุณจะสูญเสียความมั่นใจในตัวคุณไปด้วย”
.
.
.
.
.
.
.