ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 494 ตามหาเฉินยี่
ตอนที่ 494 ตามหาเฉินยี่
สถานที่นัดพบนั้นอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
เมื่อเย่เชียนและม่อหลงมาถึงที่น้านฟาแกก็พบว่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่านั้นมารออยู่แล้วแต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มา ซึ่งเขาเป็นหน่วยภาคสนามที่รับผิดชอบการเก็บข้อมูลในปฏิบัติการนั้นๆ ประจำเขี้ยวหมาป่าและชื่อของเขาคือจางจิวเหว่ย เขาคนนี้เคยเป็นตัวแทนของหน่วยข่าวกรองของประเทศสหรัฐอเมริกาแต่ครั้งหนึ่งเมื่อเขาออกปฏิบัติภารกิจกับประเทศจีนเขาได้พลั้งฆ่าคู่หูของเขาจึงทำให้เขาถูกปลดออกจากหน้าที่และมาเข้าร่วมเขี้ยวหมาป่าในที่สุด
แม้ว่าจางจิวเหว่ยจะมีสัญชาติอเมริกันแต่เขาก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนจีน ดังนั้นเขาจึงเต็มใจที่จะทำสิ่งต่างๆ และเมื่อจางจิวเหว่ยพ่ายแพ้ให้กับเขี้ยวหมาป่าในครั้งนั้นกัปตันเทียนเฟิงก็ได้พิจารณาบางอย่างและเชื่อมั่นว่าจางจิวเหว่ยไม่ใช่ศัตรูเลยแต่เพียงแค่เขาทำอะไรแบบนั้นเพราะความรู้สึกของชาติดังนั้นกัปตันเทียนเฟิงจึงยอมรับจางจิวเหว่ยและรับเข้ามายังเขี้ยวหมาป่า
ตั้งแต่ที่จางจิวเหว่ยเข้าร่วมเขี้ยวหมาป่านั้นสิ่งที่เขาแสดงออกมานั้นสามารถเชื่อถือได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเขาเคยเป็นตัวแทนของสำนักงานข่าวกรองกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาเขาจึงคุ้นเคยกับวิธีการและขั้นตอนต่างๆ มากมายของสำนักงานข่าวกรองกลาง ซึ่งในตอนนั้นเย่เชียนได้ถูกควบคุมตัวโดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกาแต่ต้องขอบคุณจางจิวเหว่ยผู้นี้ที่ทำให้เย่เชียนสามารถเดินออกมาได้อย่างปลอดภัย
เมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาจางจิวเหว่ยก็รีบลุกขึ้นยืนและตะโกนว่า “สวัสดีครับบอส! ” และเมื่อเขาเห็นม่อหลงอยู่ข้างหลังเย่เชียนเช่นนั้นจางจิวเหว่ยก็อดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ม่อหลง! ..ทำไมนายถึงมาด้วยล่ะ? ..นายมาทำอะไรที่มูร์มันสค์?”
“ม่อหลงมาทำธุระอะไรบางอย่างน่ะ” เย่เชียนพูด “นั่งลง..นั่งลง! ” ในขณะที่เขาพูดเขาก็ดึงเก้าอี้ออกและนั่งลงแล้วพูดว่า “เป็นไง..มีความคืบหน้าเรื่องการเคลื่อนไหวของพวกจิ้งจอกหิมะไหม?”
“ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่คนจากมอสโกเพิ่งไปพบเบอร์นาร์ดสกี้และพูดคุยกันเป็นเวลานาน..ผมสันนิษฐานว่าข้างในคงจะมีการเจรจาข้อตกลงการร่วมมือกันบางอย่างครับ”
“เขาคือคูลอฟศ์อาสเชฟใช่ไหม” เย่เชียนถามด้วยรอยยิ้ม
จางจิวเหว่ยก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะแล้วเขาก็หัวเราะและพูดว่า “บอสนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ..ไม่สามารถซ่อนอะไรจากบอสได้เลย..อันที่จริงบุคคลนั้นอยู่ภายใต้คูลอฟส์อาสเชฟ”
“ผมว่าแล้วเพราะอัสลานฮอร์ดมิลฟ์บอกผมเมื่อคืนที่ผ่านมาว่าพวกจิ้งจอกหิมะกับคูลอฟส์อาสเชฟบรรลุข้อตกลงการร่วมมือกันแล้ว..เพราะงั้นผมจึงเดาได้” เย่เชียนพูดต่อ “คุณได้ตรวจสอบแผนที่และรูปแบบและกำลังคนของสำนักงานใหญ่ประจำองค์กรของจิ้งจอกหิมะแล้วหรือยัง..กลยุทธ์ของพวกนั้นเป็นยังไงบ้าง”
จางจิวเหว่ยก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขาและวางไว้บนโต๊ะและพูดว่า “นี่คือแผนกลยุทธิ์ของจิ้งจอกหิมะ..แต่ก็ไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก..มันมีอยู่หลายจุดที่พวกเราไม่สามารถเข้าไปได้เลย..เรื่องกำลังพลแค่คิดคร่าวๆ นะสมาชิกจิ้งจอกหิมมะมีอยู่ราวๆ สองร้อยถึงสามร้อยคน..ส่วนทักษะของแต่ละคนก็ไม่ค่อยต่างจากเรามาก”
เย่เชียนมองดูแผนผังสำนักงานใหญ่ขององค์กรจิ้งจองหิมะอย่างระมัดระวังและขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเขาไม่รู้โครงสร้างภายในของสำนักงานใหญ่จิ้งจอกหิมะอย่างละเอียด ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมากที่จะโจมตีแต่หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “ฉันจะเอาแผนผังนี้กลับไปก่อนและหลังจากที่คุณกลับไปก็ไปบอกพี่น้องของเราว่าอย่าเพิ่งทำตามอำเภอใจ..เพราะการกวาดล้างจิ้งจอกหิมะในครั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย..ผมจะให้อัสลานฮอร์ดมิลฟ์ส่งพวกมาเฟียมาช่วยโจมตีระลอกแรก..ส่วนคนของเราและนักฆ่าของเซเว่นคิลจะรอโอกาสที่เหมาะสม”
“รับทราบ! ” จางจิวเหว่ยพยักหน้าและตอบกลับ
ในภาพยนตร์ชื่อดังเหล่านั้นแม่ทัพและผู้นำที่สั่งให้กองทหารของตัวเองไปตายด้วยการโจมตีแบบไม่คิดหน้าไม่คิดหลังนั้นเขาไม่ใช่ผู้นำที่ดีเลยจริงๆ เนื่องจากการปะทะครั้งแรกนั้นเราจะสูญเสียพี่น้องจำนวนมากอย่างแน่นอนและมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถอธิบายได้นั่นเราต้องการชนะ ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นเพราะตราบใดที่จิ้งจอกหิมะถูกกำจัดไม่ว่าใครก็ตามที่ทำเช่นนั้น แน่นอนว่าเย่เชียนจะไม่เอาชีวิตพี่น้องของเขาไปเสี่ยงต่อสู้เพื่อชัยชนะอะไรแบบนั้นอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเขี้ยวหมาป่าจะยิ่งใหญ่ก็ตามแต่ก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่คิดว่าสามารถจัดการกับจิ้งจอกหิมะที่มีกำลังพลมากกว่า 200 คนได้ เพราะท้ายที่สุดนี่เป็นการต่อสู้ซึ่งๆ หน้าไม่ใช่การล่าหัวทั่วไป นอกจากนี้องค์กรทหารรับจ้างจิ้งจอกหิมะนั้นต่างก็เป็นทหารรับจ้างที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นกันไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการรบส่วนบุคคลหรือความสามารถในการต่อสู้แบบประสานงานก็ไม่สามารถมองข้ามได้เลย ดังนั้นจางจิ่วเหว่ยจึงไม่ได้พูดอะไรหลังจากได้ยินคำสั่งของเย่เชียน
นอกจากนี้หลังจากติดตามเย่เชียนมานานจางจิวเหว่ยก็เข้าใจอารมณ์ของเย่เชียนเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะมีการกล่าวกันว่าเย่เชียนจะให้มาเฟียของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์เป็นกลุ่มโจมตีระลอกสองสามรอบแรกแต่จุดประสงค์ก็คือการลดความแข็งแกร่งของสุนัขจิ้งจอกหิมะ จากนั้นจึงส่งสมาชิกเขี้ยวหมาป่าออกไป ส่วนสำหรับเบอร์นาร์ดสกี้จางจิวเหว่ยก็เชื่อว่าเย่เชียนจะจัดการได้อย่างแน่นอน
หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องแผนการเสร็จแล้วทั้งสามก็คุยกันอย่างไม่เป็นทางการอีกสองสามคำก่อนที่เย่เชียนและม่อหลงจะลุกขึ้นและออกจากร้านกาแฟไป การป้องกันของจิ้งจอกหิมะนั้นไม่เข้มงวดมากนักแต่ก้ก็ปวดหัวเพราะถึงแม้ว่าเขาจะใช้กำลังคนของอัสลันฮอร์ดมิลฟ์แต่การสูญเสียก็ไม่น้อยเลยเว้นแต่จะเป็นการโจมตีทางอากาศโดยใช้กองทัพอากาศของประเทศรัสเซียแต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยและตอนนี้เขารอให้หลินเฟิงกลับมาและดูว่าข้อมูลในด้านของเขาจะละเอียดมากขึ้นหรือไม่เพราะท้ายที่สุดแล้วคนขององค์กรเซเว่นคิลก็ล่วนเป็นนักฆ่าและพวกเขาก็เก่งในเรื่องการลอบเร้นและการลอบสังหารดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
หลังจากออกจากร้านกาแฟแล้วเย่เชียนก็พาม่อหลงไปเที่ยวรอบๆ เพื่อช่วยให้ม่อหลงผ่อนคลายเพื่อที่จะไม่ต้องกังวลมากเกินไปในการตามหาม่อจื๊อซึ่งมันจะไม่ดีต่อสุขภาพของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะม่อหลงทำตัวเป็นตัวปิดกั้นและมีสมาธิถึงขนาดนี้เกรงว่าเขาอาจจะถูกอารมณ์ความกังวลกลืนกินไปแล้ว
ม่อหลงก็เข้าใจการกระทำและความตั้งใจของเย่เชียนเช่นกันดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธและนอกจากนี้เขายังรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่เขาจะกังวลแต่ตอนนี้เขาไม่มีเบาะแสอะไรเลยและมีเพียงเบาะแสเดียวที่อยู่กับเฉินยี่และตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงรอให้อัสลานฮอร์ดมิลฟ์สืบหาที่อยู่ของเฉินยี่เท่านั้น
เย่เชียนนั้นอยู่กับม่อหลงตลอดทั้งวันซึ่งทำให้ม่อหลงประหลาดใจเพราะหลังจากติดตามเย่เชียนมานานหลายปีม่อหลงก็รู้ถึงนิสัยของเย่เชียนเป็นอย่างดีซึ่งเย่เชียนไม่เคยเอาใจใส่ผู้ชายด้วยกันเองเลย อย่างไรก็ตามวันนี้เย่เชียนกลับเอาใจใส่เขามากดังนั้นจะไม่ทำให้ม่อหลงแปลกใจได้อย่างไร? ม่อหลงเองก็ยังแอบคิดเลยว่าคราวหน้าเขาจะไม่แสดงอาการแบบนี้ออกมาอีกเพื่อไม่ให้เย่เชียนลำบากและกังวลไปกับเขาด้วย
เย่เชียนนั้นเลือกร้านอาหารฝรั่งเศสสำหรับมื้อค่ำ ซึ่งเดิมที่เย่เชียนต้องการหาร้านอาหารจีนแต่มันก็ยากมากที่จะหาได้จากที่นี่ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกร้านอาหารแห่งนี้
ขณะที่รับประทานอาหารเย่เชียนก็ได้รับโทรศัพท์จากอัสลานฮอร์ดมิลฟ์โดยบอกว่าเขาได้ข้อมูลของเฉินยี่แล้วและบอกที่อยู่ของเฉินยี่ให้เย่เชียนทราบ ซึ่งเมื่อเย่เชียนพูดคำเหล่านี้ม่อหลงก็กระตือรือร้นทันทีและรีบเดินออกไปอย่างตื่นเต้น
ในตอนนี้ม่อหลงแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้พบกับเฉินยี่และต้องการสอบถามเกี่ยวกับสำนักม่อจื๊อในเวลานั้นเพราะหลังจากรอคอยมานานหลายปีในที่สุดเขาก็ทำบางอย่างสำเร็จแล้ว
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และจับไหล่ม่อหลงแล้วพูดว่า “นั่งลงก่อนสิ..ยังไงพี่ก็ต้องได้พบเขาอยู่แล้ว..ตอนนี้คนของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นั่น..เพราะงั้นไม่ต้องรีบมากินข้าวกันก่อน..ผมจะไปกับพี่หลังกินอาหารมื้อนี้เสร็จ..ผมไม่มีอะไรทำตอนนี้”
ม่อหลงก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและนั่งลงในที่สุด อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าเขายังคงกังวลเล็กน้อยเพราะแทนที่จะหั่นสเต๊กชิ้นใหญ่ด้วยมีดแต่เขากลับกินมันทันทีจนเย่เชียนถึงกับตกตะลึง
เย่เชียนก็ถอนหายใจอย่างลับๆ เพราะแน่นอนว่าเขาเข้าใจว่าม่อหลงกังวลมากเย่เชียนจึงรีบกินเช่นกันและหลังจากกินไปสองสามคำแล้วเย่เชียนก็เช็ดปากและลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ..ผมจะไปกับพี่!”
ม่อหลงก็พยักหน้าและเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไร
เฉินยี่นั้นเป็นคนรุ่นเดียวกับปู่ของม่อหลงและเขาก็เป็นสาวกชั้นสูงของสำนักม่อจื๊อและเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในม่อจื๊ออีกด้วย อย่างไรก็ตามหลังจากการตายของปู่ของม่อหลงนั้นเขาคนนี้ก็ค่อยๆ จางหายไปจากสำนักม่อจื๊อและถึงแม้ว่าเขาจะยังคงเป็นสมาชิกของม่อจื๊อก็ตามแต่โดยพื้นฐานแล้วเขาก็ไม่ได้กังวลอะไรกับม่อจื๊ออีกต่อไป
นับตั้งแต่ย้ายไปอาศัยอยู่ที่เมืองมูร์มันสค์นั้นเฉินยี่ก็ได้ตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับม่อจื๊อไปและใช้ชีวิตอย่างไม่มีพันธะใดๆ และถึงแม้ว่าบางครั้งเขาจะนึกถึงกิลด์สำนักม่อจื๊อก็ตามแต่เขาก็ได้ตัดสินใจแล้วที่จะไม่กลับไปที่สำนักเพราะเขารู้สึกว่าตอนนี้ชีวิตแบบนี้ดีมากและเรียบง่ายและไม่มีข้อพิพาทใดๆ เลย
ในมูร์มันสค์นั้นเฉินยี่มีร้านขายของชำเป็นของตัวเองและถึงแม้ว่าธุรกิจจะไม่ค่อยดีนักแต่เขาก็มีความสุขมากเพราะสำหรับอุดมคติของม่อจื๊อนั้นเฉินยี่ก็ลืมมันไปนานแล้ว
สำนักม่อจื๊อนั้นเป็นสถานที่พบปะของคนที่มาบรรจบกันและรับผิดชอบในการปกป้องผู้อื่นซึ่งมันเป็นความรับผิดชอบของมนุษย์ เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในประวัติศาสตร์ ดังนั้นในฐานะสาวกม่อจื๊อเขาต้องมีศิลปะการต่อสู้ที่ดีไม่เช่นนั้นเขาจะเป็นคนสำคัญของสำนักม่อจื๊อได้อย่างไร อย่างไรก็ตามด้วยกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปกฎและข้อปฏิบัติของบรรพบุรุษในสำนักม่อจื๊อก็ค่อยๆ จางหายไปและพวกเขาก็เริ่มมีส่วนร่วมในธุรกิจและการเมือง อย่างไรก็ตามเรื่องการสอนศิลปะการต่อสู้ก็ยังมีมาเรื่อยๆ
บ้านของเฉินยี่นั้นอยู่ทางตอนเหนือสุดของเมืองมูร์มันสค์ ซึ่งบ้านหลังนี้เรียบง่ายและมีบรรยากาศที่เงียบสงบ ซึ่งงานอดิเรกของเฉินยี่ก็คือการชงชาในห้องด้วยน้ำร้อนที่เดือดหลังจากร้านขายของชำปิดในทุกๆ วันและเพลิดเพลินไปกับมันอย่างเงียบๆ
เมื่อเย่เชียนและม่อหลงมาถึงที่ประตูของบ้านของเฉินยี่นั้นม่อหลงก็แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะยกมือขึ้นเคาะประตู อย่างไรก็ตามทันทีที่ยกมือขึ้นเสียงของเฉินยี่ก็ดังมาจากข้างใน “เข้ามาสิประตูไม่ได้ล็อก” เฉินยี่เป็นปรมาจารย์ยอดฝีมือเพราะเขารู้ตั้งแต่ที่คนของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์มาเฝ้าสังเกตการณ์เขาแล้ว แต่เมื่อเขารู้ว่าคนเหล่านั้นไม่เคลื่อนไหวอะไรเขาก็รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องมาสำรวจทางและคนที่ต้องการพบตัวเขาเองจริงๆ จะต้องมาถึงในภายหลัง
เย่เชียนและม่อหลงก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปแต่พวกเขาก็ผลักประตูและเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ซึ่งทันทีที่เขาเดินเข้าไปเย่เชียนก็พบว่ามีถ้วยชาสามใบบนโต๊ะกาแฟตรงหน้าเฉินยี่และชาก็ยังคงร้อนอยู่
.
.
.
.
.
.
.