ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 496 กฎเหล็กเจ็ดประการ
ตอนที่ 496 กฎเหล็กเจ็ดประการ
สาวกม่อจื๊อนั้นมีกฎเหล็กอยู่ 7 ประการ ซึ่งประการแรกนั้นก็คือห้ามทำร้ายผู้คนไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ประการที่สองไม่สิ้นเปลืองในทุกสิ่งทุกอย่างเพราะผู้คนเปรียบเสมือนความสมดุลและความมั่งคั่ง ประการที่สามความรักและการปรองดองและความสามัคคี ประการที่สี่โชคชะตาและการกลับชาติมาเกิดและลิขิตแห่งสวรรค์ ประการที่ห้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจงชนะตัวเองก่อนที่จะชนะผู้ใด ประการที่หกความยุติธรรมอันสูงส่งและต่อสู้กับความอยุติธรรมและสวรรค์กำหนดมาให้คอยช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอและปกป้องความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน ประการที่เจ็ดจงเชื่อฟังคำสั่งและคำมั่นสัญญาและความซื่อสัตย์
กฎเหล็กอยู่ 7 ประการนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเหมือนกฎเหล็กของเหล่านักฆ่าแห่งองค์กรเซเว่นคิลก็ว่าได้ อย่างไรก็ตามด้วยการพัฒนาของโลกและการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาจึงทำให้กฎเหล็กทั้งเจ็ดของม่อจื๊อจางหายไปและถึงแม้ว่ายังมีบางคนที่ปฏิบัติตามอยู่แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นคนล้าสมัยเสมอไป เช่นเดียวกับเหล่าขอทานที่ยังมีเสื้อผ้าที่สะอาดและอาหารการกินที่เหมือนคนทั่วไป
สาวกม่อนั้นแบ่งออกได้เป็นสามประเภท ได้แก่ ม่อเซีย, ม่อเค่อ และม่อจื๊อ ซึ่งม่อเซียนั้นเป็นนักศิลปะการต่อสู้และแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือดวงอาทิตย์,ดวงจันทร์และดวงดาว หนึ่งคือการใช้การรุกแทนการป้องกันอีกแบบคือการใช้การป้องกันเพื่อนำไปสู่การรุกและอย่างที่สามก็คือการใช้ทั้งการรุกและการป้องกันนั่นเอง ส่วนม่อเค่อนั้นเป็นนักสู้ที่เป็นศัตรูของม่อจื๊อและเก่งในศาสตร์ภูตผีและมนต์ดำ ส่วนม่อจื๊อนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเป็นนักวิจัยของยุคสมัยใหม่ทั้งหมด
ถึงแม้ว่าม่อเซียและม่อเค่อจะเก่งด้านศิลปะการต่อสู้ก็ตามแต่พวกเขาบางคนก็ด้อยกว่าผู้ที่เชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้ของม่อจื๊อ ซึ่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสักนักม่อเซียที่พ่ายแพ้ให้กับม่อเฟิงซึ่งเป็นปู่ของม่อหลงซึ่งเขาปรับใช้และให้ความสำคัญกับการต่อสู้ทั้งรูปแบบการรุกและการป้องกันควบคู่กันไปนั่นเอง
ผู้นำสูงสุดของสำนักม่อจื๊อนั้นถูกเรียกว่าผู้บุกเบิกและผู้สืบทอดของผู้บุกเบิกนั้นโดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะถ่ายทอดกันทางพันธุกรรมและต้องเป็นสายเลือดแท้เท่านั้น บรรพบุรุษของม่อหลงนั้นเป็นลูกหลานของผู้บุกเบิกม่อจื๊อโดยธรรมชาติแล้วทายาทคนนี้จะต้องได้รับการดูแลจากครอบครัวของเขา อย่างไรก็ตามผู้บุกเบิกยังได้จัดตั้งการประชุมของผู้อาวุโสขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สืบทอดอำนาจเหนือกว่าผู้บุกเบิกและนี่เป็นก็เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างประธานาธิบดีและรัฐสภาในตะวันตกและความแตกต่างก็คือหากผู้อาวุโสของสำนักเชื่อมั่นว่าผู้สืบทอดได้กระทำบางอย่างที่ละเมิดกฎเหล็กทั้ง 7 ประการของสำนักล่ะก็พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะปลดผู้สืบทอดออกจากตำแหน่ง
ในปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าสาวกม่อทั้งหลายนั้นได้กระจัดกระจายออกไปทั่วโลกและกระจายอยู่ในที่ต่างๆ โดยปกติแล้วพวกเขาอาจไม่ได้แสดงให้เห็นถึงตัวจนแต่แท้ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นสาวกที่สืบทอดกันมาหลายพันปี เช่นเดียวกับเฉินยี่ถ้าไม่ใช่เพราะม่อหลงตามหาแล้วใครจะรู้ล่ะว่าเขาคือสาวกม่อจื๊อ?
เหตุผลที่คำพูดของเฉินยี่ดุเดือดมากก็คือเขาต้องการให้ม่อหลงล้มเลิกความคิดที่จะมองหาสาวกและสำนักม่อจื๊อและล้มเลิกสิ่งที่เรียกว่าการแก้แค้นออกไปเพราะเฉินยี่จำฉากในปีนั้นได้อย่างชัดเจนมันเป็นเรื่องที่แย่มากและวันนี้ตระกูลม่อก็หลงเหลือทายาทคนสุดท้ายอย่างม่อหลงเพียงคนเดียวดังนั้นเฉินยี่จึงไม่ต้องการให้เขาตายจากไปอีก ต้องบอกว่าเฉินยี่นั้นไม่สามารถหลุดพ้นเรื่องในสมัยก่อนได้ ซึ่งครั้งนั้นผู้บุกเบิกทั้งหลายได้รวมตัวกันปลดม่อเฟิงออกจากตำแหน่งและถ้าหากม่อเฟิงไม่ก้าวลงมาจากตำแหน่งล่ะก็ตระกูลม่อก็คงจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานและพบเจอกับหายนะดังกล่าวอย่างแน่นอน
ด้วยองค์กรขนาดใหญ่อย่างม่อจื๊อนั้นแน่นอนว่าจะต้องมีคนส่อเสียดในหมู่พวกเขาตามธรรมชาติและก็จะมีบางคนที่แตกต่างเช่นกัน ถึงแม้ว่าม่อจื๊อในปัจจุบันจะยังคงมีอยู่แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เคยเป็นมาก่อนอีกต่อไปเพราะส่วนใหญ่คนเหล่านั้นได้ออกจากม่อจื๊ออย่างเป็นทางการและถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังถือว่าตัวเองเป็นสาวกก็ตามแต่พวกเขาก็ไม่ได้กังวลสิ่งต่างๆ อีกต่อไป นอกจากนี้ก็มีผู้บุกเบิกเพียงไม่กี่คนที่ออกจากสำนักม่อจื๊อมาและเฉินยี่เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“คุณเฉินคุณเป็นผู้อาวุโสของม่อหลงเพราะงั้นผมก็เชื่อว่าคุณน่าจะเข้าใจความคิดของม่อหลงนะ..เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเหมือนกับก้างปลาติดอยู่ในลำคอของม่อหลงแล้วถ้าเขาไม่กลืนมันหรือคายมันออกล่ะก็ม่อหลงก็จะมีชีวิตอยู่อย่างกังวลแบบนี้ตลอดไป..ผมเชื่อเลยว่าคุณเฉินคงไม่อยากให้เขาเป็นแบบนั้นหรอกใช่ไหม?” เย่เชียนพูดอย่างช้าๆ “ผมโตมากับม่อหลงและผมก็รู้นิสัยของม่อหลงเป็นอย่างดี..ถึงแม้ว่าเขาจะดูเหมือนสงบเสงี่ยมตลอดทั้งวันก็ตามและเขาที่ไม่ค่อยพูดและดูเหมือนนะจะไม่สนใจอะไรเลยแต่ผมน่ะรู้ดีว่าในหัวใจของเขากำลังเดือดพล่าน..เพราะงั้นความพ่ายแพ้ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงและมันก็ไม่สำคัญว่าม่อหลงจะแก้แค้นได้หรือเปล่า..แต่ถ้าเขาไม่ลองและไม่รู้ต่อไปแบบนี้เขาจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ยังไง?”
“ก็…”
เฉินยี่กำลังจะพูดแต่เย่เชียนขัดจังหวะเขาด้วยการโบกมือแล้วพูดว่า “ผมไม่รู้หรอกว่าสำนักม่อจื๊อของพวกคุณมีกฎแบบไหนและผมก็ไม่รู้ด้วยว่าสำนักของพวกคุณคืออะไร..แต่ผมรู้จักคำว่าเพื่อนและพี่น้องและผมก็จะไม่ยอมรับตราบใดที่ม่อหลงต้องการผมก็จะคอยสนับสนุนอย่างถูกต้อง..ผมรู้ว่าทักษะในปัจจุบันของพวกเรายังห่างไกลแต่ไม่ใช่ทุกสิ่งในโลกนี้ที่ต้องแก้ไขด้วยกำลัง..มันยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าปัญญาอยู่ด้วย..คุณเฉินคิดว่าไง?”
หลังจากนั้นไม่นานเฉินยี่ก็ถอนหายใจและพูดว่า “ข้าสามารถเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอ็งฟังได้แต่เอ็งต้องสัญญากับข้าอย่างหนึ่งก่อน”
“ผู้อาวุโสโปรดพูดมาเลย..ตราบใดที่ม่อหลงสามารถทำได้ผมจะทำอย่างแน่นอน” ม่อหลงพยักหน้าและพูดอย่างแน่วแน่
“ถึงแม้ว่าปู่ของเอ็งกับข้าจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบหัวหน้าและผู้ช่วยก็ตามแต่ปู่ของเอ็งก็ปฏิบัติกับข้าเหมือนน้องชายมาโดยตลอด..เพราะงั้นข้าไม่อยากเห็นลูกหลานคนเดียวของตระกูลม่อต้องตายจากไปอีก..เพราะงั้นข้าก็เลยอยากให้เอ็งสัญญากับข้าว่าถ้าเอ็งยังไม่ได้อยู่ภายใต้ความแข็งแกร่งใดๆ ก็อย่าเพิ่งคิดไปแก้แค้น..เอ็งสัญญาไหม? “เฉินยี่พูด
ม่อหลงเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ครับ..ผมสัญญากับคุณ”
เฉินยี่พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ปู่ของเอ็งได้มอบหน้าที่ในการเสาะหาผู้สืบทอดให้ข้าก่อนที่เขาจะตาย..แต่ข้าก็ล้มเหลวในการล้างแค้นให้ปู่ของเอ็งจนข้าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและต่อมาข้าก็หนีมาที่มูร์มันสค์..แต่ยังมีผู้บุกเบิกอยู่อีกหนึ่งคนถ้าเอ็งอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นเอ็งก็ลองไปถามเขาคนนั้นดู..ข้าเชื่อว่าเขาจะบอกเอ็งทุกอย่าง..และสำหรับสารสุดท้ายจากผู้บุกเบิกเขาก็จะมอบให้เอ็งด้วย..ตั้งใจล่ะนั่นคือศิลปะการต่อสู้ขั้นสูงสุดของสำนักม่อจื๊อของเรา”
“เขาคือใคร?” ม่อหลงถาม
“ผู้อำนวยการสำนักความมั่นคงแห่งชาติของจีนคนปัจจุบัน..หวงฟู่ชิงเตี๋ยน” เฉินยี่พูดช้าๆ
“ปู่นั่นเป็นสาวกม่อจื๊อเหรอ? เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะผงะและพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ นี่มันไม่น่าเชื่อเลยสักนิดที่ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของจีนผู้ทรงเกียรติกลับเป็นอดีตสาวกม่อจื๊อ สิ่งนี้ทำให้เย่เชียนตระหนักมากขึ้นว่าสำนักม่อจื๊อในตอนนั้นคงจะมีพลังและอำนาจมหาศาลเลยทีเดียว
“หือ..เอ็งรู้จักเขาเหรอ” เฉินยี่ถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ครับ..เขาเป็นสหายของผม..ผมติดต่อกับเขามาโดยตลอดแต่ผมไม่ได้คาดหวังเลยว่าเขาจะเป็นสาวกม่อจื๊อและเขาซ่อนตัวตนได้เก่งมาก! ” เย่เชียนพูด
“นี่เป็นเรื่องปกติมากเพราะสาวกม่อจื๊อไม่เคยบอกตัวตนของพวกเขาต่อหน้าบุคคลภายนอก..ซึ่งพวกเขาอาจเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือใครก็ได้” เฉินยี่พูด “เนื่องจากพวกเอ็งรู้จักกันมานานแล้วมันก็ยิ่งดีสำหรับพวกเอ็ง..พาเขาไปหาหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและแสดงสิ่งนี้ให้เขาดูและหลังจากนั้นเขาจะบอกเอ็งว่ามันเกิดอะไรขึ้นในอดีต” ขณะที่เฉินยี่พูดเขาก็หยิบจี้หยกเส้นหนึ่งออกจากกระเป๋าของเขาและส่งมอบให้
ม่อหลงก็รับมันเอาไว้อย่างระมัดระวังและถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินยี่ถึงไม่บอกเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวแต่เนื่องจากเฉินยี่ไม่ได้พูดแต่ให้ไปหาหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นมันจะต้องมีอะไรบางอย่างดังนั้นม่อหลงจึงต้องทำเช่นนั้น
จากนั้นเฉินยี่ก็หันไปมองเย่เชียนและค่อยๆ พูดว่า “พ่อหนุ่มเอ็งน่ะไม่ใช่คนธรรมดาเลยนะ..เอ็งมีพลังมหาศาลในร่างกายของเอ็ง..เนื่องจากเอ็งเป็นน้องชายของผู้สืบทอดข้าก็จะบอกเอ็งและข้าก็หวังว่าเอ็งจะสามารถใช้พลังนี้ได้อย่างชาญฉลาดและทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับตัวของเอ็งเอง”
เย่เชียนนั้นเคยเห็นหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและหูวเค่อมาก่อนดังนั้นเย่เชียนจึงจดจำความน่ากลัวและความประหลาดใจได้อย่างชัดเจนในสายตาของพวกเขา ตอนนั้นเขาคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นที่วัดหลิงหลงทางดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนที่มีพระภิกษุกล่าวเอาไว้และสิ่งนี้ทำให้เย่เชียนรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย ซึ่งตอนนี้เฉินยี่ก็พูดแบบเดียวกันและเย่เชียนก็ยิ่งสูญเสียอาการเพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีพลังมหาศาลในร่างกายได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่ามีดคลื่นโลหิตหมาป่านั้นเป็นอาวุธวิเศษ? หลังจากตระหนักดูแล้วเย่เชียนก็ส่ายหัวและปัดเป่าความคิดที่ไร้สาระเหล่านี้ออกไปจากความคิดของเขา
“คุณเฉินผมไม่ค่อยเข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร..คุณช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยได้ไหมครับ?” เย่เฉียนกล่าว
เฉินยี่ก็ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่เป็นกฎเหล็กข้าไม่สามารถพูดได้..และวันนี้ข้าก็พูดมากพอแล้ว..แต่ข้าบอกได้แค่ว่าในระยะสั้นเอ็งจะกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก..แล้วเอ็งจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ในอนาคต”
หัวใจของเย่เชียนหงุดหงิดและหดหู่เพราะหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนและตอนนี้เฉินยี่ก็พูดอีกครั้ง กฎเหล็กอะไร? สิ่งนี้ทำให้เย่เชียนงงงวย ดูเหมือนว่าถ้าเย่เชียนอยากรู้สิ่งเหล่านี้เย่เชียนก็ต้องรอตามที่พวกเขาพูดเอาไว้เท่านั้น
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฉินยี่ก็พูดว่า “เอาเถอะ..ข้าพูดไปหมดแล้ว..พวกเอ็งกลับไปกันเถอะ! ” ทันทีที่สิ้นเสียงคิ้วของเฉินยี่ก็ขมวดเข้าหากันแน่นและมีร่องรอยของความโกรธฉายอยู่ในดวงตาของเขาผสมกับความหวาดกลัวและประหม่า
ในเวลานี้โทรศัพท์มือถือของเย่เชียนก็ดังขึ้นและเขาก็ยิ้มอย่างขอโทษให้กับเฉินยี่และเย่เชียนรับสายโทรศัพท์มือถือของเขาและเสียงของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์ก็ดังขึ้นมา “มิสเตอร์เย่! ..ลูกน้องของผมข้างนอกบอกว่ามีคนกำลังจะเข้าไปในบ้านของเฉินยี่..เพราะงั้นระวังตัวด้วย”
เนื่องจากลูกน้องของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์ที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกไม่รู้จักเบอร์โทรศัพท์มือถือของเย่เชียนพวกเขาจึงต้องโทรไปรายงานให้อัสลานฮอร์ดมิลฟ์ หลังจากฟังคำพูดของอัสลานฮอร์ดมิลฟ์แล้วเย่เชียนก็ขมวดคิ้วโดยไม่สมัครใจพยักหน้าและวางสายโทรศัพท์ทันที
เย่เชียนนั้นยอมรับว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่พระเจ้าแต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนธรรมดาที่จะเข้ามาในห้องโดยที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นเลย ซึ่งถ้ามองจากการแสดงออกของเฉินยี่ในตอนนี้เย่เชียนก็รู้ดีเลยว่าตัวเขานั้นเป็นเพียงคนธรรมดาเพียงเท่านั้น
.
.
.
.
.
.
.