ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 512 แก่ชรา
ตอนที่ 512 แก่ชรา
องค์กรทุกองค์กรต่างก็มีความขัดแย้งภายในกันทั้งนั้นซึ่งสำนักม่อจื๊อเองก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่ถ้าหากไม่ใช่เพราะการต่อสู้ระหว่างม่อหมิงและม่อเจิงแล้วล่ะก็มันจะไม่กลายเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เพราะจากข้อมูลของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นสาวกม่อจื๊อได้กระจายไปทั่วทุกสารทิศทั่วทุกอุตสาหกรรมและนั่นก็เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่งหากสาวกทั้งหมดสามารถรวมกันได้เหมือนสมัยก่อน
ความหมายของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนนั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าครอบครัวของม่อหลงทั้งหมดต่างก็เสียชีวิตไปในศึกสงครามระหว่างม่อหมิงและม่อเจิง ดังนั้นศัตรูของม่อหลงก็คือสาวกแห่งความมืดที่นำโดยม่อเจิงที่กวาดล้างและปฏิรูปสำนักม่อในครั้งนั้น ซึ่งนี่ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าการเผชิญหน้ากับม่อเจิงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและพลังของม่อจื๊อสายมืดนั้นก็ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นความแข็งแกร่งในปัจจุบันของม่อหลงก็ไม่เพียงพอที่จะแก้แค้นได้เลย
อย่างไรก็ตามในมุมมองของเย่เชียนนั้นม่อเจิงคนนี้ก็ไม่ใช่คนเลวโดยไร้ประโยชน์เพราะเขาต้องการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและนี่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ด้วยและยิ่งไปกว่านั้นม่อเจิงก็ไม่ได้ฆ่าสาวกของม่อกหมิงไปเสียหมดซึ่งพิสูจน์ได้ว่าม่อเจิงนั้นต้องการที่จะเป็นผู้นำของสำนักม่อจื๊อจริงๆ และบางทีดั่งที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดเอาไว้ว่าทั้งม่อเจิงและม่อหมิงนั้นต่างก็มีทัศนคติที่แตกต่างกันและผู้คนที่แตกต่างกันและแนวคิดของพวกเขาก็แตกต่างกันแต่ทว่าเป้าหมายของพวกเขานั้นก็เหมือนกัน อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่ม่อเจิงไม่กวาดล้างคนของม่อหมิงทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นเพราะถึงแม้ว่าม่อหมิงจะตายไปแต่ม่อหมิงอาจจะยังคงมีอำนาจและพลังอยู่ดังนั้นม่อเจิงจึงไม่ฝืนทำในสิ่งที่เขาไม่รู้
หลังจากฟังคำพูดของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วม่อหลงก็กำหมัดแน่นจนมีเสียงข้อกรุดูกดังลั่นซึ่งไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าตอนนี้เขาโกรธแค่ไหน อย่างไรก็ตามม่อหลงก็รู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการกับม่อเจิงเลย
เย่เชียนก็มองเห็นทุกอย่างเกี่ยวกับม่อหลงได้อย่างชัดเจนในสายตาของเขา ดังนั้นเย่เชียนจึงตบไหล่ม่อหลงเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ซุ่งม่อหลงนั้นก็สามารถสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเย่เชียนที่มีต่อเขา เมื่อเห็นเช่นนั้นม่อหลงก็ส่งยิ้มให้เย่เชียน
“ตอนนี้สาวกแห่งราตรีอยู่ที่ไหน?” ม่อหลงถาม
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไปทั้งตัวและพูดว่า “ผู้สืบทอด! ..ฉันไม่สามารถพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้..ฉันไม่ต้องการให้คุณเสียสละโดยไม่จำเป็น..เพราะด้วยความสามารถในปัจจุบันของคุณนั้นไม่มีทางเลยที่จะไปล้างแค้นได้และต่อให้เรารวบรวมสาวกทั้งหมดของเราในสาวกแห่งอรุณก็ตามมันอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะประสบความสำเร็จ..และถึงแม้ว่าคุณจะใช้ตัวตนของผู้นำเพื่อกดดันฉันแต่ฉันก็จะไม่พูด..ฉันยอมตายเสียดีกว่าถ้าจะทำสิ่งที่เปล่าประโยชน์แบบนั้น” หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดอย่างหนักแน่น
“พี่ม่อหลงนี่เป็นสิ่งที่พี่ไม่สามารถเร่งหรือใจร้อนเกินไปได้..ผมรู้ว่าตอนนี้พี่รู้สึกยังไงแต่ปู่เขาพูดถูกแล้วและผมเองก็เห็นด้วยกับเขา!” เย่เชียนพูด จากนั้นเขาก็โน้มตัวไปข้างๆ หูของม่อหลงแล้วกระซิบว่า “พี่จำสิ่งที่เฉินยี่พูดได้ไหม..ผมหวังว่าพี่จะศึกษามันได้นะ..และเมื่อไหร่พี่มีความสามารถจริงๆ ล่ะก็ผมจะไม่หยุดพี่เลย..และผมจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยพี่เอง!”
ม่อหลงก็หันไปมองที่เย่เชียนจากนั้นพยักหน้าอย่างหนักหน่วง อย่างไรก็ตามการแสดงออกของม่อหลงก็ยังคงมีความยุ่งเหยิงเพราะเขารู้แล้วว่าศัตรูของเขานั้นคือใครแต่เขาไม่มีทางที่จะแก้แค้นได้เลย ซึ่งความเจ็บปวดนี้นั้นไม่สามารถจินตนาการได้เลย ซึ่งม่อหลงเองก็รู้ดีเช่นกันว่าสิ่งที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนและเย่เชียนพูดนั้นถูกต้องและตอนนี้เขาก็สามารถทนได้แล้วนับประสาอะไรกับการแก้แค้นและเขาก็คิดว่าต่อให้เขารู้ว่าสาวกม่อจือแห่งราตรีนั้นอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เมื่อเห็นการแสดงออกของม่อหลงแล้วหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและตราบใดที่ม่อหลงสามารถอดทนได้ล่ะก็หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็มีความมั่นใจในการติดต่อกับสาวกแห่งอรุณ จากนั้นก็ฝึกฝนม่อหลงเพื่อช่วยให้ม่อหลงกลายเป็นผู้นำที่แท้จริงและที่สำคัญกว่านั้นม่อหลงยังมี่น้องชายอย่างเย่เชียนอยู่อีก ซึ่งถึงแม้ว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจะไม่ค่อยชัดเจนเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างในร่างกายของเย่เชียนก็ตามแต่เขาก็รู้ดีว่าตราบใดที่เย่เชียนสามารถควบคุมมันได้ละก็เย่เชียนจะเหนือกว่าตัวเองหลายเท่าอย่างแน่นอน
“ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว..ปู่ผมฝากพี่ชายผมด้วยนะ..ผมหวังว่าครั้งต่อไปที่ผมเจอเขานั้นเขาจะต้องข้ามไปอีกขั้นแล้วนะ” เย่เชียนพูด จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่ม่อหลงแล้วพูดว่า “พี่ม่อหลงถึงแม้ว่าปู่คนนี้จะเจ้าเล่ห์ก็ตามแต่ผมก็เชื่อว่าเขาจะสอนพี่อย่างจริงจังได้..พี่ไม่ต้องกังวลเรื่องเขี้ยวหมาป่านะ..พี่สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเขาได้อย่างสบายใจ..ผมหวังว่าพี่จะเหนือกว่าผมเมื่อเราพบกันครั้งหน้านะ”
หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเหลือบมองเย่เชียนด้วยหางตาแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ เพราะเขายังคงมีความสุขในใจของเขา เพ่ะหลังจากเผชิญหน้ากับเย่เชียนมาหลายครั้งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็รู้จักนิสัยและการแสดงออกของเด็กคนนี้ดี ซึ่งเย่เชียนมักจะมีคำพูดปลอบใจคนอื่นในรูปแบบของตัวเอง ซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็ดีใจมากที่ม่อหลงสามารถเข้ากันได้ดีกับเย่เชียนและรู้จักกันมานานหลายปีและกลายเป็นพี่น้องกับเย่เชียนได้ ซึ่งหวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็เชื่อว่าภายใต้อิทธิพลของเย่เชียนแล้วม่อหลงจะสามารถเป็นผู้นำที่แท้จริงของสำนักม่อจื๊อได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ม่อหลงก็เหลือบมองเย่เชียนอย่างซาบซึ้งและพยักหน้าอย่างหนักแน่นและพูดว่า “ขอบคุณครับบอส! ..ครั้งหน้าถ้าเราเจอกันฉันจะเอาชนะบอสอย่างแน่นอน”
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เอาล่ะอย่าทำให้ผมผิดหวังล่ะ”
หลังจากกล่าวคำอำลากับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและม่อหลงแล้วเย่เชียนก็ออกจากสโมสรเจิดจรัสและขับรถกลับบ้าน ต้องบอกว่าประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเดินทางไปประเทศรัสเซียครั้งนี้คือการช่วยม่อหลงตามหาลัทธิม่อจื๊อและหวงฟู่ชิงเตี๋ยนจนพบว่าม่อหลงนั้นเป็นผู้สืบทอดของสำนักม่อจื๊อและเรื่องราวในอดีตของสำนักม่อจื๊อและครอบครัวของม่อหลงนั่นเอง
การส่งม่อหลงให้หวงฟู่ชิงเตี๋ยนดูแลนั้นเย่เชียนก็โล่งใจมากเพราะภายใต้ความช่วยเหลือของหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วเย่เชียนก็เชื่อว่าม่อหลงจะเติบโตและก้างหน้าได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่และไม่ว่าจะเป็นด้านกลยุทธ์หรือทักษะนั้นล้วนพัฒนาไปอย่างยอดเยี่ยมแน่นอน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เย่เชียนรู้สึกหดหู่ใจที่สุดก็คือเขายังไม่รู้ว่าในร่างกายของเขานั้นมันมีอะไรผิดปกติเพราะแม้แต่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนเองก็ยังไม่สามารถรู้ได้และเขาก็ไม่รู้ว่าจะไปภามใคร
ในบรรดาคนเหล่านี้เย่เชียนรู้จักเพียงหลินจินไท่,หวงฟู่ชิงเตี๋ยน,หูวเค่อ,เฉินยี่และพระจากหวันหลิงหลง แต่ทว่าคนอย่างหวงฟู่ชิงเตี๋ยนกลับไม่รู้ ส่วนหลินจินไท่นั้นก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านี้และสำหรับเฉินยี่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้แต่เย่เชียนก็ไม่รู้ว่าจะตามหาเขาที่ไหน ซึ่งเหลือเพียงสองและนั่นก็คือหูวเค่อและพระจากวัดหลิงหลงแต่พระรูปนั้นลึกลับมากจนเย่เชียนไม่รู้ว่าเขาจะได้พบอีกหรือไม่ ดังนั้นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ก็คือหูวเค่อ ซึ่งเย่เชียนก็หวังว่าเธอจะสามารถตอบเขาได้
ในตอนเย็นเย่เชียนก็กลับบ้านไปรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวอย่างอบอุ่นกับหลินโรวโร่วและซ่งหลันและเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ซึ่งหลังมื้อเย็นเย่เชียนก็ขับรถพาเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ กลับไปหาพ่อเป็นการส่วนตัวและไปเยี่ยมพ่อเป็นการส่วนตัวด้วย เห็นได้ชัดว่าร่างกายของพ่อนั้นไม่ดีเหมือนก่อนเพราะหลังเริ่มค่อมมากขึ้นและสุขภาพก็ไม่ดีเหมือนเดิม
ชายชราผู้ซึ่งทำงานหนักมาตลอดชีวิตนั้นไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วแม้กระทั่งการเดินก็มีความยากลำบากและเมื่อเขาเห็นพ่อของเขาเช่นนี้เย่เชียนก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดและโกรธเล็กน้อยเพราะหลี่ฮ่าวนั้นอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้สุขภาพของพ่อนั้นแย่มากแต่กลับไม่ได้พาพ่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซึ่งมันไม่มีเหตุผลจริงๆ
หลังจากกดเบอร์โทรศัพท์ของหลี่ฮ่าวแล้สเย่เชียนก็ตำหนิเขาอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งหลี่ฮ่าวก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อได้ยินว่าสภาพร่างกายของพ่อในตอนนี้ไม่ดีเขาก็ไม่กล้าที่จะลังเลในตอนนี้และรีบขับรถมาหาอย่างเร่งรีบ
“เอาหน่า..มันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ น่ะ..อย่าไปโทษน้องสามเลย..เขามีงานมากมายและยุ่งมาก..นอกจากนี้พ่อเองก็รู้ว่าร่างกายของพ่อน่ะเป็นยังไง..พ่อไม่อยากไปโรงพยาบาลเพื่อเสียเงินและพ่อก็ไม่ชอบกลิ่นยาด้วย” พ่อพูด
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเพราะเขาตำหนิหลี่ฮ่าวได้แต่ตัวเขาเองล่ะ? ตอนที่เขายังเด็กเขสก็หนีไปต่างประเทศและอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาแปดปีและเมื่อเขากลับมาเขาก็ไม่สามารถอยู่กับพ่อได้ตลอด เพราะเขาเองก็มีความรับผิดชอบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
“พ่อไม่ต้องพูดอะไรแล้วผมจองห้องโรงพยาบาลให้แล้วเมื่อกี้..มันเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์และสิ่งแวดล้อมที่ดีผมจะพาพ่อไปที่นั่นในวันพรุ่งนี้..ถึงแม้ว่าร่างกายของพ่อจะไม่ได้ป่วยแต่พ่อก็ต้องมีหมอเฉพาะทางในโรงพยาบาลเพื่อดูแลและพวกเขายังสามารถดูแลพ่อได้อย่างเป็นทางการ..ผมสัญญาเลยว่าเมื่อไหรที่พ่อดีขึ้นผมจะไปรับพ่อทันที..พ่อไม่ต้องการให้ผมและน้องสามและน้องสาวสี่เป็นห่วงหรอกใช่มั้ย?” เย่เชียนพูด
พ่อนั้นรู้นิสัยของเย่เชียนเป็นอย่างดีและเมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธได้เขาก็แค่พยักหน้าเล็กน้อยและยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้ว่าสภาพร่างกายในปัจจุบันของเขานั้นไม่ดีแต่ฮันเซ่วก็กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนและเขาก็ไม่อยากเป็นภาระของเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ “เสี่ยวเอ๋อพาพ่อไปโรงพยาบาลได้แต่ลูกต้องสัญญากับพ่อนะว่าต้องพาหลินหลินมาหาพาอบ่อยๆ ” พ่อพูด
“อืม! ” เย่เชียนพยักหน้าและพูด “เอาล่ะ..พ่อกลับไปที่ห้องของพ่อแล้วไปพักผ่อนเถอะ..ผมจะนอนที่นี่คืนนี้”
เย่เชียนก็ช่วยพยุงพ่อเข้าไปในห้องและหลังจากนั้นเย่เชียนก็ปิดประตูและเดินออกมา หลังจากนั้นไม่นานเสียงออดก็ดังขึ้นด้านนอกประตูเย่เชียนจึงเดินไปเปิดและเห็นท่าทางที่ประหม่าและกระวนกระวายของหลี่ฮ่าว ซึ่งหลี่ฮ่าวก็พูดอย่างร้อนรนว่า “พี่สองๆ ..พ่อเป็นยังไงบ้าง..พ่อเป็นอะไรไหม..ผมขอโทษพี่สองช่วงนี้ผมยุ่งมาก..มันเป็นความผิดของผมเองที่ไม่ได้มาเยี่ยมพ่อเลย”
เย่เชียนตบไหล่หลี่ฮ่าวเบาๆ และพูดว่า “ขอโทษนะ..เมื่อกี้นี้ฉันไม่ควรตำหนินายอย่างดุเดือดเลย..จริงๆ แล้วฉันเองก็ผิดเพราะฉันมัวแต่ออกไปข้างนอกและไม่มีเวลามาดูแลพ่อเลย..พวกเรานี่เป็นลูกที่ไม่กตัญญูเลย”
หลี่ฮ่าวก็ถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิดบนใบหน้าของเขา ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ชายชราคนเดียวจะสามารถเลี้ยงดูพวกเขาด้วยความเจ็บปวดอย่างมากได้และถ้าไม่ใช่เพราะการเลี้ยงดูพวกเขาล่ะก็พ่อก็คงจะไม่ได้อยู่คนเดียวเพียงลำพังโดยไม่มีภรรยาเช่นนี้เป็นแน่ อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นพ่อนั้นจะไม่เรียกร้องอะไรกับลูกของเขาเลยแต่สำหรับผู้เป็นลูกนั้นพวกเขามีความผิดจริงๆ
เย่เชียนก็พาหลี่ฮ่าวไปนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นและพูดว่า “ร่างกายของพ่อไม่ได้ดีเหมือนเดิมเลย..ฉันติดต่อโรงพยาบาลเอกชนไปแล้วและพรุ่งนี้เช้าฉันจะไปส่งเขาที่นั่น…น้องสามไม่ว่างานของนายในเซี่ยงไฮ้จะยุ่งแค่ไหนก็ตามแต่นายควรใช้เวลากับพ่อให้มากขึ้นโดยการพาภรรยาและลูกๆ มาเยี่ยมพ่อและให้พ่อของเรารู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านน่ะ”
“ผมรู้ครับ” หลี่ฮ่าวพูด “ไม่ต้องกังวลไปพี่สอง..จากนี้ไปผมสัญญาเลยว่าผมมาเยี่ยมพ่อของผมทุกวันเพื่อที่เขาจะได้ไม่รู้สึกเหงา
.
.
.
.
.
.
.