ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 520 แม่กับลูก
ตอนที่ 520 แม่กับลูก
ต้องบอกว่าความสามารถของในการจีบสาวของชิงเฟิงนั้นไม่ธรรมดาเลยเพราะแค่พูดเพียงไม่กี่คำก็สามารถทำให้เสี่ยวหยวนเคลิ้มได้และเธอไม่เพียงแค่อธิบายสถานการณ์ที่บ้านของเย่เหวินเท่านั้นเพราะแม้แต่ที่อยู่บ้านของเธอเองเธอก็ยังบอกชิงเฟิงด้วย
ถ้าอยากรู้ว่าทำไมเย่เหวินถึงได้มองเย่เชียนแบบนั้นวิธีเดียวคือต้องแอบตามเธอไปอย่างลับๆ เพราะทุกอย่างล้วนมีเบาะแสอยู่เสมอ หลังจากจ่ายเงินค่าอาหารเรียบร้อยแล้วเย่เชียนและชิงเฟิงก็ออกจากภัตตาคารไปและขับรถไปที่บ้านของเย่เหวิน ซึ่งระหว่างทางเย่เชียนก็โทรหาแจ็คและบอกให้เขาดึงข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับฮัวซงเจี๋ยและเหล่ยเจียงโดยเร็วที่สุดจากนั้นก็ส่งอีเมลถึงเขาทันที
เรื่องแบบนี้น่าจะถูกใจแจ็คมากเพราะแจ็คสามารถใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ของตัวเองในการบุกรุกฐานข้อมูลลับของรัฐบาลเพื่อถ่ายโอนไฟล์ ซึ่งหน่วยข่าวกรองของเขี้ยวหมาป่าเองก็ส่งข้อมูลต่างๆ ให้แจ็คอย่างต่อเนื่องทุกวัน ดังนั้นเย่เชียนจึงเชื่อว่าการตรวจสอบข้อมูลภูมิหลังของสองคนนี้นั้นจะสามารถเป็นไปอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีปัญหาใดๆ
หลังจากเป็นหุ้นส่วนกับหลี่จื้อเทียนมาสักพักหนึ่งนั้นแผนการทั้งหมดหลี่จื้อเทียนก็เป็นคนดำเนินการมาตลอด ดังนั้นเย่เชียนก็รู้สึกว่าเขาควรทำอะไรสักอย่าง ซึ่งครั้งล่าสุดนั้นถ้าหากเย่เชียนมาลงสนามเองพวกเขาก็อาจจะไม่ได้แพ้อย่างเลวร้ายและอาจจะไม่พ่ายแพ้เลยก็ได้ แต่เย่เชียนจะไม่ทำให้สิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับเขาซ้ำสองเป็นแน่ ตั้งแต่ที่เย่เชียนมาที่มณฑลเหอหนานนั่นก็หมายความว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นโลกของเย่เชียนในอนาคตและยิ่งไปกว่านั้นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมณฑลเหอหนานนั้นก็พิเศษมากและก็ต้องการพึ่งพาสถานะพิเศษของมณฑลเหอหนานเพื่อเบิกทางสู่เมืองหลวงอย่างปักกิ่ง
ส่วนไต้หวันนั้นก็เป็นแค่เกาะเล็กๆ แต่ก็สามารถพัฒนาได้ดีและเย่เชียนก็เชื่อว่ามณฑลเหอหนานก็สามารถทำได้เช่นกัน ด้วยเครือข่ายของมณฑลเหอหนานนั้นเย่เชียนจะสามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับประเทศสิงคโปร์และไทยและอินโดนีเซียและประเทศอื่นๆ ในด้านของการขนส่งทางทะเล ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่ต้องการปล่อยสถานที่ดีๆ และโอกาสดีๆ เช่นนี้ไป
ที่สำคัญกว่านั้นเย่เชียนก็ยังต้องการที่จะก้าวไปอีกขั้นในอาชีพการงานของเขาและในความเป็นจริงกองกำลังใต้ดินของเขี้ยวหมาป่าก็พัฒนาไปได้ไม่ค่อยดีนัก และหลี่เหว่ยเองก็ต้องการเงินทุนจำนวนมากเพื่อพัฒนากองกำลังใต้ดินและเย่เชียนก็ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมายและรวมกลุ่มและพัฒนาเศรษฐกิจใต้ดินของเขี้ยวหมาป่าให้เป็นระบบ
บ้านของเย่เหวินนั้นอาศัยอยู่ในเขตชนบทของเมือง ซึ่งสภาพบ้านก็ผุพังและดูเหมือนว่ามันอาจจะถล่มได้ทุกเมื่อ และทันทีที่เย่เชียนและชิงเฟิงขับรถไปถึงที่นั่นพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้จากระยะไกลรวมถึงเสียงร้องไห้ที่ชวนให้ขมขื่นของเย่เหวินและเสียงร้องของหญิงวัยกลางคนซึ่งฟังดูแล้วหดหู่มากและทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะหดหู่ตามไปด้วย
“บอส! ..เอาไงดีเราจะเข้าไปตอนนี้เลยไหม? ” ชิงเฟิงถาม
“ไหนๆ เราก็มากันแล้วเพราะงั้นเราก็ต้องเข้าไป” เย่เชียนพูด “มีซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่ใกล้ๆ ..นายไปซื้อของเยี่ยมเยือนมาที..เพราะมันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่จะเข้าไปมือเปล่า”
“หืมบอส! ..ดูเหมือนบอสกำลังจะไปเจอแม่ยายเลย” ชิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ครั้งแรกที่ฉันพบแม่ยายฉันก็ไม่เคยให้ของขวัญอะไรเลย..รีบๆ ไปซะ” เย่เชียนทำท่าเตะเขาและชิงเฟิงก็วิ่งไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตทันที เมื่อจำสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อยราวกับว่าเขาไม่ได้ให้ของขวัญในครั้งแรกที่เขาพบแม่ยายจริงๆ และไม่ว่าจะเป็นแม่ของหลินโรวโร่วหรือฉินหยูหรือจ้าวหยาก็ตาม
ไม่นานหลังจากนั้นชิงเฟิงก็เดินกลับมาพร้อมกับของกินของใช้จำนวนหนึ่งและทั้งสองก็เดินไปที่บ้านของเย่เหวินและนี่คือเขตชนบทและบ้านทั้งหมดก็เป็นบ้านหลังเล็กๆ แบบครอบครัวเดี่ยวแต่มีเพียงครอบครัวของเย่เหวินเท่านั้นที่เป็นบังกะโลและมันเก่ามากประตูไม่ได้ปิดและทั้งสองก็เดินตรงเข้าไป
มีกลิ่นยาในห้องอย่างเห็นได้ชัดซึ่งเป็นเพราะแม่ของเย่เหวินนั้นกินยามาตลอดทั้งปีและการตกแต่งภายในยังเรียบง่ายและดูโทรม ซึ่งเมื่อเห็นฉากนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะจำฉากที่อยู่กับพ่อของเขาตอนเด็กๆ ตอนที่เขาอาศัยอยู่ในบ้านแบบนี้ ตอนนั้นบ้านมีชีวิตชีวามากถึงแม้ว่าฐานะครอบครัวจะยากจนก็ตามแต่ก็มีความอบอุ่นและเสียงหัวเราะเหมือนอยู่บ้านจริงๆ
หลังจากเคาะประตูห้องนอนได้ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกและเมื่อเห็นเย่เชียนกับชิงเฟิงแล้วเย่เหวินก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอาศัยอยู่ที่นี่? ”
“ใครมาหรอเสี่ยวเหวิน” หญิงวัยกลางคนบนเตียงพูดอย่างอ่อนแรง
“พวกเขาเป็นเพื่อนของนู๋เอง” เย่เหวินตอบ แต่ในขณะที่เย่เหวินหันกลับมาหญิงวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเตียงที่เห็นเย่เชียนนั้นเธอก็ดูตกใจและสีหน้าของเธอก็ดูตื่นเต้นอย่างมาก ซึ่งเย่เชียนนั้นก็มองเห็นหญิงวัยกลางคนคนนั้นบนเตียงอย่างเป็นธรรมชาติและความประทับใจที่เลือนรางในใจของเขาก็กระจ่างชัดราวกับว่าเขาเคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาก่อน
“เสี่ยว..เสี่ยวเชียนหรอ..ใช่นู๋หรือเปล่า? ” หญิงวัยกลางคนพยายามลุกขึ้นนั่งและพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นมาก ซึ่งเย่เหวินก็รีบหันกลับมาและช่วยพยุงแม่ของเธอลุกขึ้นนั่ง
เมื่อได้ยินชื่อนี้สีหน้าของเย่เชียนก็ดูประหลาดใจอย่างมากเพราะความคุ้นเคยของชื่อนี้นั้นเกินกว่าจะบรรยายได้ ส่วนชิงเฟิงก็จ้องมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจ
เย่เชียนก็เดินเข้าไปอย่างช้าๆ และพูดว่า “คุณป้าคุณรู้จักชื่อของผมได้ยังไง?”
“เพลี้ย! ” ทันใดนั้นหญิงวัยกลางคนก็ตบหน้าของเย่เชียนอย่างรุนแรงและมีรอยฝ่ามือปรากฏอยู่บนใบหน้าของเย่เชียนทันที ซึ่งเย่เหวินก็ตกใจและพูดอย่างรีบร้อนว่า “แม่ทำอะไรน่ะ..ทำไมแม่ถึงตบเขาแบบไม่มีเหตุผลล่ะ? ” จากนั้นเธอก็รีบแสดงความขอโทษต่อเย่เชียนโดยพูดว่า “ฉันขอโทษค่ะคุณเย่..แม่ของฉันคงเข้าใจผิดไป”
หลังจากเห็นพฤติกรรมของหญิงวัยกลางคนแล้วปฏิกิริยาแรกของชิงเฟิงคือเขาก็จะไปสั่งสอนเธอ แต่หลังจากก้าวไปได้สองก้าวเย่เชียนก็ยื่นมือออกมาเพื่อหยุดเขา
“ทำไมแกถึงหายไปจากบ้านนานถึงขนาดนี้..แกยังมีแม่และน้องสาวอยู่นะ” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างเดือดดาล
เย่เชียนกำลังสูญเสียอาการและเขาก็สงบสติอารมณ์ของเขาและพูดว่า “คุณป้าผมคิดว่าคุณคงเข้าใจผิด”
“ใช่แม่! ..เขาแค่มีชื่อคล้ายๆ กับพี่ชาย..นอกจากนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบ 20 ปีแล้ว..และรูปร่างหน้าตาของเขาต้องเปลี่ยนไปมากสิ” เย่เหวินพูด
“ฉันให้กำเนิดเขามาทำไมฉันจะจำไม่ได้ล่ะ!” หญิงวัยกลางคนพูด “ตอนนั้นฉันในฐานะคนเป็นแม่ฉันไม่ได้ปกป้องแก..และปล่อยให้แกถูกพรากไป..ต่อให้แกจะเกลียดฉันก็ตามแต่ความเกลียดชังหลายปีก็ควรจะหายไปสิ..แกรู้ไหมว่าแม่คิดถึงแกมากแค่ไหน..กลางวันและกลางคืนได้แต่คิดถึงเสี่ยวเชียนของฉัน..และทุกๆ ครั้งที่ฉันคิดถึงแกนั้นหัวใจของคนเป็นแม่ก็เหมือนจะถูกตัดออกไปทีละนิด..แล้วหายไปไหนมาตั้งหลายปี..ทำไมไม่กลับบ้าน! ”
เย่เหวินก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนอย่างขอโทษแล้วพูดกับหญิงวัยกลางคนว่า “แม่เขาไม่ใช่พี่ชายของนู๋หรอก..เพราะตอนนั้นเขาก็อายุแค่แปดขวบและต่อให้เขาจะอยากกลับมาก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็จำไม่ได้อยู่ดีว่าบ้านอยู่ที่ไหนและยิ่งไปกว่านั้นเราก็ย้ายบ้านมาด้วย..ถึงเขาอยากจะหามันแต่ก็คงหาไม่เจอหรอก”
“เขาจะลืมได้ยังไง! ..เขาเป็นลูกของเย่เจิ้งหราน..เขาลืมไปได้ยังไง” หญิงวัยกลางคนพูด
เย่เหวินก็มองไปที่เย่เชียนอย่างขอโทษและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแต่เธอรู้ดีว่าแม่ของเธอนั้นนอนติดเตียงมานานหลายปีแล้วดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความหดหู่ในจิตใจของเธอ ซึ่งเธอเองก็มักจะเห็นแม่ของเธอแอบดูรูปพี่ชายของเธอในตอนกลางคืนและร้องไห้โดยบอกว่าเธอเสียใจกับเขาและพ่อของเขาเย่เจิ้งหรานอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าแก้มของเย่เชียนเริ่มแดงและบวมมากขึ้นหญิงวัยกลางคนก็ยื่นมือออกมาแล้วลูบเบาๆ พร้อมพูดว่า “เสี่ยวเชียน..ลูกเจ็บมากไหม..แม่ขอโทษ..แม่ทิ้งให้ลูกอยู่คนเดียวมาโดยตลอด..ลูกจะให้อภัยแม่ได้ไหม”
เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงอย่างมากไปกับพฤติกรรมผิดปกติของเธอและเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองชิงเฟิงซึ่งชิงเฟิงก็ยักไหล่เล็กน้อยและหันหน้าหนีราวกับจะบอกว่านี่เป็นความรู้สึกของเย่เชียนเองและยากที่จะถาม ซึ่งเย่เชียนก็รู้สึกสับสนอย่างมากในตอนนี้และไม่แน่ใจว่าหหญิงวัยกลางคนคนนี้พูดจริงหรือเปล่า แต่ดูเหมือนเธอจะพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นอย่างมาก
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เย่เชียนก็พูดอย่างอดทนว่า “คุณป้า..ลูกชายของคุณที่หายไปเขามีลักษณะยังไง?”
“ลูกไม่รู้ลักษณะร่างกายของลูกหรือแค่ต้องการทดสอบฉันกัน..ถึงแม้ว่าฉันจะป่วยแต่สมองของฉันก็ไม่ได้ผิดปกตินะ..ฉันจำได้ว่าแกมีปานรูปดาบที่แขนซ้ายใช่ไหมล่ะ..แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ปาน..แต่มันถูกทำขึ้นโดยพ่อของแก” หญิงวัยกลางคนพูดด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกพูดออกมานั้นเย่เชียนกับชิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเพราะแท้ที่จริงแล้วมันมีเครื่องหมายรูปดาบอยู่ที่แขนซ้ายของเย่เชียน ซึ่งเหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่าก็มักจะล้อเลียนเขาว่าเย่เชียนเกิดมาเพื่อเป็นเครื่องจักรสังหารไม่เช่นนั้นปานรูปดาบก็คงจะไม่ปรากฏอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามมันก็มีอยู่หลายคนที่รู้ว่าเย่เชียนมีรอยรูปดาบนี้ที่แขนของเขาและพวกเขาไม่สามารถใช้สัญลักษณ์นี้เพื่อพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ของเขาได้ เมื่อเย่เชียนระงับความตื่นเต้นในใจแล้วเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามว่า “ไม่มีอย่างอื่นยืนยันอีกหรอ?”
“มีสิ..ลูกกินกุ้งไม่ได้ตั้งแต่เด็กและตราบใดที่ลูกกินกุ้งเข้าไปลูกจะมีผื่นคันทั่วร่างกาย..แล้วตอนนี้ยังเป็นแบบนั้นอยู่ไหม?”
“เธอเป็นแม่ของบอสจริงๆ ใช่ไหม!” ชิงเฟิงโน้มตัวเข้าไปข้างๆ หูของเย่เชียนและถามเบาๆ
เย่เชียนก็ถึงกับตกตะลึงอย่างมากในเวลานี้เพราะอันที่จริงแล้วเขาก็มีปัญหาเช่นนี้และเมื่อไหร่ที่เขาไปกินอาหารทะเลล่ะก็เย่เชียนจะไม่แตะต้องกุ้งเลยแม้แต่น้อย ซึ่งจำได้ว่าตอนที่เย่เชียนกินกุ้งไปครั้งหนึ่งเมื่อเขายังเป็นเด็กเขาก็มีผื่นแดงขึ้นและพ่อของเขากลัวมากจนอุ้มเขาไปรอบๆ กลางดึกและเคาะประตูคลินิกแทบจะทุกที่ ดังนั้นเย่เชียนก็ไม่เคยกินกุ้งเลยตั้งแต่นั้นมา
.
.
.
.
.
.
.