ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 539 ชำระล้าง
ตอนที่ 539 ชำระล้าง
เย่เชียนก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและดูมันปรากฏว่าฮัวซงเจี๋ยที่โทรมาแล้วเย่เชียนก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะตอนที่อยู่ในสโมสรก่อนหน้านี้ฮัวซงเจี๋ยก็ขอเบอร์โทรศัพท์มือถือของเย่เชียนเอาไว้ ซึ่งถ้าหากเย่เชียนไม่ให้มันก็เหมือนกับว่าเขาได้ปฏิเสธการร่วมมือกับฮัวซงเจี๋ยดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาจึงให้เบอร์โทรศัพท์มือถือของตนให้ฮัวซงเจี๋ยไป ซึ่งเย่เชียนก็ไม่คาดคิดว่าฮัวซงเจี๋ยจะโทรมาหลังจากที่แยกกันได้ไม่นานหรือเป็นไปได้ไหมที่เหล่ยเจียงเริ่มคุกคามเขาแล้ว?
หลังจากรับโทรศัพท์เย่เฉียนก็ยิ้มและพูดว่า “คุณฮัวมีอะไรหรือครับทำไมถึงรีบโทรหาผมขนาดนี้? ”
“ผมขอโทษจริงๆ คุณเย่ที่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณ” ฮัวซงเจี๋ยพูด “เมื่อกี้นี้เฉินจงข่ายโทรมาบอกว่าหลัวป้อถูกปล้นเงินตอนที่เขากำลังจะนำมันมาส่งให้คุณ..เพราะงั้นเขาฝากผมมาบอกว่าจะผ่อนผันไปสักสองสามวันเพื่อที่เขาจะได้มีเวลาหาเงินมาคืนจะได้ไหม”
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มหลังจากนั้นก็ทำหน้าปกติและพูดอย่างเย็นชาว่า “คุณฮัวกำลังล้อผมเล่นอยู่หรือเปล่า..คุณเองก็อยู่ในแวดวงธุรกิจมานานเหมือนกันแล้วคุณเชื่อการโกหกแบบนี้หรอ..เขาเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจส่วนกลางแล้วจะมีใครกล้าขโมยเงินของเขาล่ะ”
“เมื่อกี้ผมก็พูดไปแล้วเหมือนกันเพราะเขาเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจส่วนกลางแต่กลับทำตัวแบบนี้มันก็เกินไปหน่อย..ผมต้องตำหนิเขาสักหน่อยแล้วล่ะ” ฮัวซงเจี๋ยพูด “ผมคิดว่าเงินสี่ล้านมันไม่ได้มากมายถึงขนาดนั้นเพราะงั้นผมจะช่วยออกให้เขาก่อนแล้วค่อยให้เขาหามาคืนผมทีหลัง”
แน่นอนว่าฮัวซงเจี๋ยไม่ใจดีขนาดนั้นและนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่จัดการกับเฉินจงข่ายเช่นนี้เพราะการที่เขานำเงินจำนวนสี่ล้านหยวนไปให้เฉินจงข่ายนั้นก็นับว่าเฉินจงข่ายเป็นหนี้บุญคุณจนดังนั้นเขาจึงมีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้ แน่นอนว่าฮัวซงเจี๋ยไม่กลัวว่าเฉินจงข่ายจะโกหกหรือชักดาบใดๆ เพราะสมาชิกในครอบครัวของเฉินจงข่ายทั้งหมดอยู่ในเมืองเจิ้งโจวและพวกเขาไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ถึงแม้ว่าพวกเขาต้องการก็ตามและยิ่งไปกว่านั้นเฉินจงข่ายเองก็ไม่ควรทำสิ่งที่โง่เขลาเช่นนั้นหรอกใช่ไหม? เพราะตราบใดที่เขายังเป็นผู้อำนวยการสำนักกรมตำรวจส่วนกลางอยู่เขาก็สามารถหาเงินสี่ล้านหยวนมาคืนได้อย่างง่ายดาย
“ในเมื่อคุณฮัวพูดอย่างนั้นก็ว่ากันตามนั้นเลยครับ..แต่มันก็น่าอายจริงๆ ที่ต้องให้คุณหัวลำบาก” เย่เชียนพูด
“ไม่เป็นไรครับคุณเย่เพราะเรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นในเขตของผมดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ผมควรจะทำ” ฮัวซงเจี๋ยพูด “คุณเย่เชิญคุณพักผ่อนเลยครับ..ไว้คุยกันวันหลัง”
“ครับ” เย่เชียนพูด หลังจากพูดจบเย่เชียนก็วางสายโทรศัพท์ไป ซึ่งนี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ฮัวซงเจี๋ยเน้นย้ำว่านี่คือเขตแดนของเขา ดังนั้นเย่เชียนจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาเพราะมันขึ้นอยู่กับว่าฮัวซงเจี๋ยจะประกาศต่อสาธารณะเมื่อใดนั่นเอง
จากนั้นเย่เชียนก็โบกรถแท็กซี่ไปยังบ้านเขาเพิ่งจะซื้อมา ซึ่งเย่เหวินนั้นก็ยังคงดูแลอันซืออยู่ในโรงพยาบาลเธอจึงไม่ได้กลับมา ดังนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเย่เชียนก็ไปที่ห้องนั่งเล่นและเริ่มฝึกการควบคุมการไหลของลมปราณในคัมภีร์ลับที่อันซือมอบให้เขา
ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างศิลปะการต่อสู้โบราณกับศิลปะการต่อสู้ธรรมดาก็คือศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นจะมีการฝึกพลังชี่และพลังลมปราณเพิ่มเติมจากพื้นฐานของการฝึกฝนร่างกายเพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีพลังชี่และลมปราณอยู่ในร่างกายดังนั้นผู้ฝึกตนส่วนใหญ่จะทำให้ลมปราณในร่างกายของเขาหมุนเวียนไปรอบๆ จากนั้นก็ดูดซับพลังจากโลกภายนอกผสมผสานเข้าด้วยกันและกลายเป็นพลังของพวกเขาเอง
เย่เชียนแตกต่างออกไปเพราะเขาไม่ได้มีเพียงแค่พลังที่มีมาแต่เดิมแต่ยังรวมไปถึงจิตวิญญาณชั่วร้ายที่เย่เจิ้งหรานได้ปลูกฝังให้เขาและพลังน่ากลัวซึ่งถูกหลอมรวมกันเข้าไปในตอนที่เขาอยู่ที่วัดหลิงหลงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจีนโดยมีพระชรารูปหนึ่งที่ไม่รู้จักปรากฏตัวออกมา ซึ่งพลังปราณดั้งเดิมของเย่เชียนนั้นไม่มีสถานะใดๆ เลยเพราะมันอ่อนแอเกินไปดังนั้นมันจะสามารถต้านทานความชั่วร้ายของพลังที่น่ากลัวได้ที่ไหน
เย่เชียนก็เองก็พยายามปลดปล่อยพลังปราณที่ชั่วร้ายออกมาเช่นกันแต่ดูเหมือนว่ามันไม่มีปฏิกิริยาเลยเพราะไม่ว่าเย่เชียนจะพยายามสักแค่ไหนแต่มันก็ยังคงอยู่ในที่ของมันได้อย่างมั่นคง แต่เมื่อใดที่เย่เชียนตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันล่ะก็พลังดังกล่าวก็จะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติและจะแข็งแกร่งขึ้นและดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีที่จะสลายมันออกไปได้เลย
เย่เชียนนั้นถือได้ว่าเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณเลยเพราะในกรณีนี้เขาไม่รู้เลยมันว่าเกิดอะไรขึ้นกับอันซือแม่ของเขาที่เคยเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้โบราณดังนั้นถ้าหากเย่เชียนไปถามเธอแล้วเขาก็อาจจะรู้แต่ทว่าตอนนี้อันซือได้สูญเสียพลังทั้งหมดของเธอไปเพราะอาการบาดเจ็บของเธอและถึงแม้ว่าโรงพยาบาลจะดำเนินการฟื้นฟูเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อจนทำให้การผ่าตัดก็ประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตามแต่ถึงยังไงก็ต้องมีการรักษาหลายครั้งก่อนจึงจะถือว่าหายดีอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามแม้ว่าการดำเนินการฟื้นฟูเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อและเส้นเลือดจะเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ตามแต่อันซือก็ไม่สามารถฟื้นคืนทักษะก่อนหน้านี้ได้โดยเร็ววันเพราะมันต้องพึ่งพาทักษะทางกายภาพที่เธอได้ฝึกฝนมาก่อน ส่วนสำหรับการนำไปต่อสู้จริงนั้นเกรงว่าเธอจะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไปและเธอก็ไม่ต้องการให้เย่เชียนกังวลดังนั้นเธอจึงไม่ได้บอกเย่เชียนเกี่ยวกับบางอย่างในร่างกายของเธอ
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็เป็นคนที่กล้าหาญที่ไม่ยอมถอดใจและไม่มองย้อนกลับไปง่ายๆ ซึ่งเขานั้นมักจะตระหนักถึงหลายๆ เรื่องก่อนและถ้าเขาไม่แน่ใจจริงๆ เขาก็จะปรึกษาคนอื่น แต่ทว่ามันเป็นความผิดปกติในร่างกายของเขาเองเขาจึงไม่รู้จะปรึกษาใครดังนั้นฉันจึงต้องทดลองด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามพลังมืดที่น่ากลัวนั้นดูเหมือนจะไม่มารบกวนการบ่มเพาะของเย่เชียนเลย
หลังจากตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้นเย่เชียนก็ออกไปวิ่งตามปกติจากนั้นก็ฝึกพลังชี่ตามลำพังที่ภูเขาด้านหลังของบ้าน การที่เย่เชียนมีสภาพร่างกายโดยกำเนิดที่ดีเช่นนี้มันก็สามารถลดระยะเวลาการฝึกฝนไปได้ ดังที่อันซือบอกว่าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณหลายคนนั้นริเริ่มการฝึกตั้งแต่ยังเด็กเนื่องจากการฝึกฝนของพลังชี่นั้นต้องการการสะสมและไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน ดังนั้นเนื่องจากเย่เชียนที่เสียเวลาไปหลายปีตอนนี้เขาจึงต้องฝึกฝนให้หนักขึ้นเพื่อทดแทนเวลาที่หายไปกลับคืนมา ซึ่งโชคดีที่เย่เจิ้งหรานผู้เป็นพ่อของเขาได้ทิ้งโชคอันล้ำค่าเอาไว้ให้เขาไม่เช่นนั้นเกรงว่าต่อให้เย่เชียนจะฝึกฝนอย่างหนักหน่วงสักแค่ไหนถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถฟื้นคืนเวลาที่หายไปได้
หลังจากฝึกฝนบ่มเพาะแล้วเย่เชียนก็กลับบ้านและอาบน้ำล้างตัวแต่ทว่ามันก็ยังมีร่องรอยบาดแผลบางอย่างอยู่ด้านนอกของผิวหนัง แต่เมื่อใดที่พวกเขาผ่านการฝึนฝนบ่มเพาะพลังชี่ล่ะก็ร่างกายของพวกเขาจะมีออร่าบางอย่างและจะก้าวเข้าสู่ประเภทผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณอย่างเป็นทางการ
เมื่อเห็นรอยแผลบนร่างกายของเขาเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพลางคิดว่าเขายังต้องฝึกฝนให้หนักขึ้นมากกว่าเดิมไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะเก่งและมีทักษะเหมือนกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและหูวเค่อ ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ต้องเทียบกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนได้ใช่ไหม? ไม่เช่นนั้นเย่เชียนก็นึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเขาจะเป็นยังไงเมื่อเขาเข้าสู่เมืองปักกิ่ง
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้เย่เชียนนั้นทำคนเดียวไม่ได้และยิ่งไปกว่านั้นสำนักความมั่นคงแห่งชาติก็ยังมีมังกรซ่อนเขี้ยวอยู่ที่อาจจะเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้โบราณใช่ไหม อย่างไรก็ตามเรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลาสักพักเพราะเย่เชียนนั้นกำลังฝึกบ่มเพาะและควบคุมพลังลมปราณอยู่จึงไม่สามารถคิดเรื่องนั้นได้ ส่วนสำหรับเทคนิคการฝึกฝนนั้นด้วยการที่เย่เชียนเป็นสมาชิกเขี้ยวหมาป่าที่เป็นดั่งนักรบอยู่แล้วตราบใดที่เขาตั้งใจฝึกฝนอย่างหนักหน่วงล่ะก็เขาก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
หลังจากอาบน้ำแล้วเย่เชียนก็โทรหาชิงเฟิงและบอกให้เขามารับตน
ไม่นานหลังจากนั้นชิงเฟิงก็ขับรถเข้ามาและเมื่อเขาเห็นบ้านของเย่เชียนแล้วชิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจและถามด้วยความประหลาดใจว่า “บอสซื้อบ้านหลังนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ”
“ฉันติดต่อหลี่จื้อเทียนให้ช่วยจัดหาให้..นายก็รู้หนิว่าฉันพบแม่และน้องสาวของฉันแล้วเพราะงั้นฉันก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ซอมซ่อแบบนั้นได้อีก” เย่เชียนพูด “เอาเถอะไม่ต้องถามเยอะพาฉันไปส่งที่โรงพยาบาลหน่อย”
“บอส! ..แล้วเงินสี่ล้านหยวนนี้ล่ะเราจะทำยังไงกับมันดี” ชิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มขณะสตาร์ทรถและออกจากบ้านไป
“หลังจากที่นายพาฉันไปส่งที่โรงพยาบาลแล้วนายก็ขับรถไปหาผู้จัดการอู๋และส่งเงินให้เขาสองล้านหยวนและบอกให้เขาเร่งดำเนินการขั้นตอนการแต่งเติมโรงแรม..ส่วนที่เหลืออีกสองล้านหยวนนายก็เก็บเอาไว้ใช้ตามที่นายต้องการได้เลย” เย่เชียนพูด “แต่จำไว้ล่ะว่าสร้างความวุ่นวายอะไรให้ฉันอีก”
ชิงเฟิงก็ฉีกยิ้มและพูดอย่างรีบร้อนว่า “ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไร..บอสรู้ไหมว่าเงินสองล้านหยวนในเมืองนี้น่ะมันทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง”
เย่เชียนก็เหลือบมองชิงเฟิงด้วยสายตาและพูดว่า “ไอ้บ้านี่เงินพวกนี้นายควรจะใช้มันอย่างมีเหตุผลไม่ใช่เอามาใช้สุรุ่ยสุร่าย..นอกจากนี้ก็อย่าลืมไปที่บ้านของฮัวซงเจี๋ยด้วยล่ะเขาโทรมาหาฉันเมื่อคืนนี้และบอกว่าเขาจะจ่ายเงินให้ 4.25 ล้านหยวนก่อน..แล้วก็ระวังฮัวซงเจี๋ยด้วยล่ะเพราะเขาน่ะร้ายกาจถ้าเขาพูดอะไรก็ทำตามที่เขาพูดไปก่อนก็แล้วกัน”
“บอส! ..บอสเป็นคนเดียวที่สามารถสั่งผมได้” ชิงเฟิงพูดอย่างมีชัย
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก ซึ่งเย่เชียนนั้นยังคงเชื่อในสิ่งนี้ถึงแม้ว่าชิงเฟิงจะไร้สาระก็ตามแต่เขานั้นไม่เคยโดยคำพูดของคนอื่นหลอกล่อเลยแม้แต่น้อยเพราะส่วนใหญ่มันก็เป็นเพียงเรื่องที่ไร้สาระสำหรับเขา ทว่าตรงกันข้ามเพราะชิงเฟิงนั้นสามารถหลอกล่อผู้คนผ่านเรื่องที่ไร้สาระของเขาได้อย่างดีเยี่ยม
เมื่อผ่านร้านแผงอาหารเช้าเย่เชียนก็สั่งแบบลวกๆ และหลังจากนั้นเขาก็ซื้อโจ๊กหนึ่งชามและซาลาเปาสองลูกจากร้านข้างทางและขับรถไปที่โรงพยาบาล
หลังจากส่งเย่เชียนถึงโรงพยาบาลแล้วชิงเฟิงก็ขับรถออกไปแต่ก่อนไปเย่เชียนได้หยิบเงินจากท้ายแล้วยัดใส่กระเป๋าของเขา ซึ่งถึงแม้ว่าเย่เชียนจะเป็นคนรวยก็ตามแต่ทว่าเขานั้นแทบจะไม่เคยได้ถือเงินเป็นจำนวนมากเช่นนี้มาก่อนเพราะส่วนใหญ่จะเป็นบัตรเครดิตและบัตรเดบิตเสียมากกว่า แน่นอนว่าบางครั้งเงินสดก็สะดวกกว่าเล็กน้อยเพราะบัตรเครดิตนั้นไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง เช่นถ้าหากต้องการเข้าห้องน้ำล่ะก็บัตรเครดิตคงจะใช้ไม่ได้ใช่ไหม?
.
.
.
.
.
.
.