ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 542 ไม่คาดคิด
ตอนที่ 542 ไม่คาดคิด
คำพูดของเหล่ยเจียงนั้นไปกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเย่เชียนอย่างมาก ซึ่งคนที่ฉลาดอย่างเหล่ยเจียงนั้นรู้วิธีใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคลดังนั้นการใช้ผู้หญิงมาหลอกล่อก็เหมือนการพยายามเอาชนะเย่เชียน แต่ทว่าด้วยสถานะปัจจุบันของเย่เชียนแล้วใครจะไม่รู้ว่าการที่จะหานางแบบหรือคนดังมาอยู่เคียงข้างเขานั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ดังนั้นเย่เชียนจึงสงสัยว่าเหล่ยเจียงนั้นมีแผนการอะไรอยู่กันแน่
ที่เย่เชียนทำในตอนนี้เพียงเพื่อต้องการทำให้เหล่ยเจียงเข้าใจผิดว่าเขาบรรลุข้อตกลงความร่วมมือกับฮัวซงเจี๋ยแล้ว ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธคำเชิญของเหล่ยเจียงและตอนนี้ภาพลวงตานั้นก็ดูเหมือนจะบรรลุผลแล้วและเย่เชียนก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรอีกต่อไป
นอกจากนี้หลังจากคุยกับหมาป่าผีไป๋ฮวยเมื่อคืนเย่เชียนก็รู้แล้วว่าเหล่ยเจียงรู้ทุกอย่างที่เขาทำในคืนนั้นซึ่งหมายความว่าเหล่ยเจียงจะต้องมาพบตัวเองอย่างแน่นอน ดังนั้นเย่เชียนจึงเตรียมตัวเอาไว้แล้วและยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่ได้เร่งเคลื่อนไหวอะไรจนเกินไปเพราะมันจะเป็นการต่อต้านนั่นเอง
เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สิ่งที่คุณเหล่ยพูดมานั้นน่าสนใจจริงๆ ..ถ้าผมปฏิเสธไปก็น่าเสียดายแย่เพราะคุณเชิญผมด้วยความจริงใจขนาดนี้”
เหล่ยเจียงยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “เชิญครับ! ”
เย่เชียนก้ไม่ปฏิเสธเช่นกันจากนั้นก็ก้าวเข้าไปในรถของเหล่ยเจียงอย่างเปิดเผย “ไปขับรถของคุณเย่ตามมา! ..ระวังด้วยอย่าให้รถเสียหายล่ะ” เหล่ยเจียงสั่งลูกน้องของเขา
ถึงแม้ว่าลูกน้องเหล่านั้นจะบาดเจ็บจากการต่อสู้กับเย่เชียนก็ตามแต่ถึงยังไงพวกเขาก็ล้วนเป็นนักศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นความอดทนของพวกเขาจึงดีกว่าคนธรรมดาและสิ่งที่โชคดีที่สุดคือคนที่ถูกเย่เชียนโจมตีคนแรกนั้นถึงแม้ว่าเย่เชียนจะใช้พลังหมัดมากมายในเวลานั้นแต่เขาก็สามารถผ่อนแรงปะทะจากเย่เชียนได้ แต่ทว่าด้วยพลังแฝงของเย่เชียนนั้นจึงทำให้ปอดของเขาถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนรู้สึกหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมารถก็หยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง “คุณเย่วันนี้ผมได้เชิญเชฟชั้นนำจากต่างประเทศมาเป็นพิเศษ..ผมเชื่อว่าคุณจะต้องชอบถ้าได้ลิ้มลอง” เหล่ยเจียงพูด
“แต่ผมไม่ชอบอาหารฝรั่งสักเท่าไหร่” เย่เชียนยิ้มและพูด
เหล่ยเจียงก็ยิ้มและลูกน้องก็เปิดประตูให้เย่เชียนกับเหล่ยเจียงแล้วทั้งสองก็เดินออกจากรถ ซึ่งเหล่ยเจียงโยนเงินจำนวนหนึ่งให้กับลูกน้องและพูดว่า “ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลซะ..ถ้าเงินไม่พอก็ติดต่อฉันมา” จากนั้นเขาก็หันกลับไปและทำท่าทาง ‘เชิญ’ แล้วพูดว่า “เชิญครับคุณเย่! ”
เย่เชียนก็ไม่ได้วางตัวเป็นแขกเช่นกันเพราะเขาเดินเข้าไปข้างในบ้านด้วยท่าทางที่หยิ่งผยอง ซึ่งหลังจากเข้าในในบ้านเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นและสวมชุดสูทมืออาชีพด้วยท่าทางที่สง่างามมากและที่สำคัญผู้หญิงคนนี้ยังคงรู้จักกับเย่เชียนและยังคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอีกด้วย
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลินโรวโร่วและเย่เชียนก็ไม่อยากจะเชื่อและเขาก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะเมื่อเห็นการปรากฏตัวของหลินโรวโร่ว ซึ่งเหล่ยเจียงก็ไม่ได้ลักพาตัวเธอมาแล้วเธอจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? จากนั้นเย่เชียนก็มองไปที่เหล่ยเจียงด้วยความประหลาดใจซึ่งเหล่ยเจียงก็เพียงยิ้มเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรใดๆ
ทางด้านของหลินโรวโร่วก็ตกตะลึงเช่นกันเมื่อเธอเห็นเย่เชียนซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเหล่ยเจียงจะพาคนที่เธอรู้จักมาพบกับเธออย่างเย่เชียนคนนี้ หลังจากตกตะลึงไปชั่วขณะหลินโรวโร่วก็ยิ้มและทักทายว่า “ทำไมคุณถึงมาที่นี่? ” จากนั้นเธอก็หันไปมองเหล่ยเจียงแล้วพูดว่า “คุณเหล่ยเจียงรู้จักเขาหรอคะ?”
เหล่ยเจียงก็ยักไหล่และยิ้มอย่างคลุมเครือแล้วพูดว่า “ใช่ครับ..มีอะไรน่าแปลกใจหรอ”
หลินโรวโร่วก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ค่ะมันน่าประหลาดใจจริงๆ ” จากนั้นเธอก็หันกลับมามองเย่เชียนแล้วพูดว่า “หืม..ไม่เจอกันนานเลยนะ..คุณรู้ไหมว่าฉันคิดถึงคุณมากแค่ไหน”
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “แล้วคุณคิดถึงผมมากแค่ไหน” จากนั้นเขาก็โน้มตัวเข้าไปข้างๆ หูของเธอและพูดว่า “คุณคิดเรื่องนี้จนกระสับกระส่ายเลยหรือเปล่า? ”
หน้าของหลินโรวโร่วเปลี่ยนไปเป็นสีแดงและเธอก็มองเขาแล้วพูดว่า “เดี๋ยวเถอะ! ”
ในเวลานี้เหล่ยเจียงก็หันหน้าหนีไปทางอื่นและแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่เห็นอะไรและไม่ได้ยินอะไรเลย
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “แล้วทำไมคุณถึงมาที่เมืองเจิ้งโจวล่ะ..คุณกับคุณเหล่ยรู้จักกันหรอ? ”
“ใช่..ตอนที่ฉันเข้าร่วมในโครงการมูลนิธิกาชาดสากลในแอฟริกาใต้น่ะคุณเหล่ยเป็นผู้บริจาคสิ่งของบรรเทาทุกข์และเงินจำนวนหนึ่งไปที่นั่นเราจึงได้พบกัน..ฉันจึงคิดว่าคุณเหล่ยที่จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแพ่ที่ชอบการกุศลดังนั้นฉันจึงต้องการมาพบเขาและขอให้เขาบริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้กับกองทุนแห่งอนาคตของเรา” หลินโรวโร่วพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เพราะผู้หญิงคนนี้ไร้เดียงสาจริงๆ แต่ในเวลานี้เย่เชียนก็ไม่สะดวกที่จะบอกเธอให้ชัดเจนถึงเรื่องต่างๆ ดังนั้นเขาจึงต้องพูดอย่างครุมเครือ “จริงเหรอนั่นเป็นเรื่องดีจริงๆ ขอบคุณมากครับคุณเหล่ย..สมัยนี้มีไม่กี่คนที่เหมือนคุณเหล่ยในสังคมนี้ ”
เมื่อเหล่ยเจียงเห็นการแสดงออกของเย่เชียนแล้วเขาก็เข้าใจโดยธรรมชาติว่าเย่เชียนหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่รู้สึกอายเลยและตรงกันข้ามเขากลับยิ้มอย่างเฉยเมยแล้วพูดว่า “ทุกคนมีความรับผิดชอบในการมีส่วนร่วมในการกุศลและความรับผิดชอบต่อสังคม.ในเมื่อคุณเย่สร้างมูลนิธิกองทุนขนาดใหญ่แบบนี้แล้วมันก็คู่ควรกับการบริจาคของผม”
มันเป็นการดีที่จะแล่นเรือไปตามน้ำซึ่งเย่เชียนต้องชื่นชมเหล่ยเจียงเพราะผู้ชายคนนี้มีไหวพริบดีกว่าที่เขาคิดจริงๆ เพราะถ้าเขาไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะก็เย่เชียนก็กล้าที่จะสรุปว่าฮัวซงเจี๋ยนั้นจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่ยเจียงอย่างแน่นอน
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณเหล่ยวางแผนจะบริจาคเงินในครั้งนี้มากแค่ไหน..ในเมื่อผู้จัดการกองทุนมาด้วยตัวเองแบบนี้เราก็หวังว่าจำนวนเงินก็คงจะไม่น้อยเลยใช่ไหม”
ยิ่งไปกว่านั้นสายตาของเหล่ยเจียงที่จ้องมองหลินโรวโร่วนั้นมีความหมายอื่นอย่างชัดเจนและนั่นคือความชื่นชอบ ซึ่งเย่เชียนก็ไม่จำเป็นต้องถามและเขาก็กล้าที่จะสรุปได้ว่าตอนที่หลินโรวโร่วอยู่ในแอฟริกาใต้นั้นเหล่ยเจียงต้องไล่ตามจีบหลินโรวโร่วอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่หลินโรวโร่วนั้นไร้เดียงสาเกินไปและตอนนี้เขาก็รู้สึกเล็กน้อยว่าการให้หลินโรวโร่วไปจัดการกองทุนแห่งอนาคตนั้นถูกหรือผิดกันแน่
“คุณเย่สามารถมั่นใจได้เลย..มันต้องไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ อย่างแน่นอนครับ” เหล่ยเจียงยิ้มและพูด
“ยินดีครับคุณเหล่ย” เย่เชียนพูด “พูดตามตรงวันนี้ผมต้องขอบคุณจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคำเชิญชวนของคุณเหล่ยแล้วผมก็ไม่รู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้มาที่เมืองนี้”
“ผมบอกแล้วว่ามันคุ้มค่าครับ” เหล่ยเจียงหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “นั่งลงก่อนแล้วมาคุยกันเถอะ! ”
เย่เชียนก็ยิ้มและดึงหลินโรวโร่วไปนั่งลงบนโซฟา ส่วนเหล่ยเจียงก็สั่งให้คนรับใช้เสิร์ฟชา จากนั้นหลินโรวโร่วก็มองไปที่เย่เชียนและเหล่ยเจียงแล้วถามว่า “พวกคุณรู้จักกันได้ยังไง? ”
เหล่ยเจียงก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “นี่เป็นเรื่องบังเอิญผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นโชคชะตาของผมหรือความเมตตาของคุณเย่กันแน่..เพราะไม่งั้นผมคงตายไปนานแล้ว”
หลินโรวโร่วจ้องมองเย่เชียนด้วยความประหลาดใจและถึงแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เหล่ยเจียงพูดก็ตามแต่เธอก็รู้ว่าเย่เชียนและเหล่ยเจียงจะต้องมีความขัดแย้งกันอย่างแน่นอน ซึ่งเย่เชียนก็รู้ดีว่าเหล่ยเจียงหมายถึงเหตุการณ์ที่ชิงเฟิงโจมตีเขาในคืนนั้น “มันเป็นความประมาทของผมเองเพราะตอนนั้นผมค่อนข้างประเมินคุณเหล่ยต่ำไป” เย่เชียนก็ไม่รังเกียจที่จะยอมรับความประมาทของเขาและพูดอย่างไม่หยิ่งผยอง
เหล่ยเจียงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมชอบที่จะให้คนอื่นดูถูกดูแคลนผมก่อนผมจึงจะตอบโต้พวกเขาอย่างไม่คาดคิด..อันที่จริงไม่ใช่ว่าคุณเย่ประเมินผมต่ำไปแต่คุณเย่เลือกคนผิดเพราะถ้าคุณทำแบบนี้กับฮัวซงเจี๋ยล่ะก็เขาคงจะไม่คิดเหมือนผมแน่ๆ”
“คุณเหล่ยเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมาก” เย่เชียนยิ้มและพูด
“คุณเหล่ยอาหารกลางวันพร้อมแล้วค่ะ..คุณจะรับเลยไหมคะ?” แม่บ้านคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัวและพูดอย่างสุภาพ
“คุณเย่คุณหลินเรามาคุยกันระหว่างทานอาหารกันเถอะ” เหล่ยเจียงลุกขึ้นยืนและพูด
“ได้ครับ! ” เย่เชียนตอบและจับมือหลินโรวโร่วแล้วเดินตามเหล่ยเจียงเข้าไปในห้องอาหาร
การตกแต่งโซนห้องอาหารนั้นเป็นสไตล์ยุโรปโดยมีโต๊ะยาวตรงกลางพร้อมเชิงเทียนแบบคลาสสิก ซึ่งหลังจากทั้งสามคนนั่งลงแล้วเหล่ยเจียงก็โบกมือให้กับแม่บ้านแม่บ้านพยักหน้าและไปที่ห้องครัวเพื่อเสิร์ฟอาหารให้อาหาร จากนั้นเธอก็เดินกลับมาแล้วเปิดขวดไวน์แดงและรินให้ทั้งสามคน
“นี่คือไวน์ปี 1982 ผมไม่รู้ว่าพวกคุณทั้งสองจะชอบมันหรือเปล่า” เหล่ยเจียงถามด้วยรอยยิ้ม
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมดื่มไวน์ไม่เป็นผมเป็นคนหยาบๆ ..ผมไม่รู้วิธีชิมไวน์เลย”
หลินโรวโร่วเหลือบมองเย่เชียนด้วยหางตาแล้วพูดว่า “นิสัยเขาเป็นแบบนี้แหละคุณเหล่ยอย่าถือโทษโกรธเขาเลย..ไวน์ขวดนี้ดีมาก..มันน่าจะแพงมากเลยใช่มั้ย? ”
“ผมไม่ได้คาดหวังว่าคุณหลินจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการชิมไวน์..ทำไมผมถึงไม่รู้ตอนที่คุณอยู่ที่แอฟริกาใต้ครั้งที่แล้ว..มันน่าเสียดายจริงๆ ” เหล่ยเจียงพูด
หลินโรวโร่วก็ยิ้มเบสๆ ส่วนเย่เชียนก็เบะปากในขณะที่จิบไวน์ “คุณเหล่ยที่คุณเชิญผมมาในวันนี้ก็เพื่อเซอร์ไพรผมใช่มั้ย..อย่าอ้อมค้อมเลยพูดมันออกมาตรงๆ เลยดีกว่า”
เหล่ยเจียงหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คุณเย่นี่เป็นคนที่รีบร้อนจริงๆ ..อีกอย่างคุณเย่ก็น่าจะเดาเหตุผลได้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมผมถึงชวนคุณมาในวันนี้ใช่ไหม?”
“พูดตามตรง! ” เย่เชียนพูด “ผมไม่รู้! ”
.
.
.
.
.
.
.