ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 559 ลูกหลานจอมหยิ่งผยอง
ตอนที่ 559 ลูกหลานจอมหยิ่งผยอง
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้จักกับเย่เชียนได้ไม่นานมากนักแต่คูลอฟส์อังเดรก็ไม่ได้รังเกียจวิธีการพูดแบบติดตลกของเย่เชียนเลยและก็ไม่ได้คิดว่าเย่เชียนนั้นจงใจล้อเลียนตัวเอง ซึ่งในทางตรงกันข้ามคูลอฟส์อังเดรชอบวิธีการพูดของและอารมณ์ขันของเย่เชียนมากโดยคิดว่ามันเป็นอารมณ์ที่เย่เชียนจะแสดงออกก็ต่อเมื่อเขาพูดคุยกับคนที่คุ้นเคยกับเขา
คูลอฟส์อังเดรก็พูดด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงผมมองการณ์ไกลมากแต่ว่าผมอาจจะไม่เก่งเท่าหุ้นส่วนของคุณ..ผมน่ะสามารถเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวมิสเตอร์เย่ได้ตั้งแต่แวบแรก..ผมถึงกับตกตะลึงเลยเมื่อเห็นความสามารถของคุณ”
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปจากนั้นเขาก็หัวเราะเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองมอสโกที่เย่เชียนบังเอิญเข้าร่วมการแข่งการต่อสู้ใต้ดิน ซึ่งตอนแรกคูลอฟส์อังเดรมองว่าเขาเป็นแค่นักสู้เท่านั้นแต่เมื่อโปดันโนว่าแนะนำให้เขารู้จักกับเย่เชียนอย่างแท้จริงแล้วเขาจึงเลือกที่จะร่วมมือกับเย่เชียน
ใช้เวลาไม่นานรถก็มาถึงไซต์ก่อสร้างของโครงการดินแดนแอนิเมชั่น ซึ่งบริเวณโดยรอบถูกล้อมรอบไปด้วยแผ่นเหล็กและสำหรับการประมาณคร่าวๆ ก็ไม่น่าจะน้อยกว่า 1,250 ไร่ ซึ่งจากระยะไกลผู้คนสามารถได้ยินเสียงสบถและตะโกนดังมาจากข้างใน
ในเวลานี้เครื่องจักรทั้งหมดในไซต์ก่อสร้างต่างก็หยุดนิ่งและไม่มีการดำเนินงายใดๆ ส่วนคนงานก่อสร้างก็นั่งกันเป็นกลุ่มเงียบๆ และเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขาโดยที่หลี่จื้อเทียนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนและมีเหอปิงผู้ช่วยของเขายืนอยู่ข้างๆ เขาและมีบอดี้การ์ดอีกสี่คนคอยดูแลความปลอดภัยของหลี่จื้อเทียนอยู่ที่ด้านหน้าอย่างใกล้ชิด
ฝั่งตรงข้ามหลี่จื้อเทียนมีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ประมาณยี่สิบคนและคนที่ดูเป็นหัวหน้าก็อยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ เท่านั้น คนที่ดูเป็นหัวหน้าสวมชุดลำลองแบรนด์เนมและสวมแว่นตากันแดดสีน้ำตาลคู่หนึ่งและมีบุหรี่อยู่ในปากของเขา ซึ่งเขายืนเอียงคอจนดูเหมือนคนโง่
นอกไซต์ก่อสร้างมีรถสองสามคันจอดอยู่อย่างไม่เป็นทางการและที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ BMW i8 ซึ่งโดดเด่นและหรูหราเป็นพิเศษ ซึ่งเย่เชียนก็แทบไม่ต้องถามอะไรเพราะสามารถเดาได้ว่ารถพวกนั้นน่าจะเป็นของคนพวกนั้น เนื่องจากรถคันอื่นจอดอย่างเป็นระเบียบแต่รถกลุ่มนี้จอดอย่างเร่งรีบนั่นเอง
เย่เชียนก็เปิดประตูและเดินลงไปแล้วเดินเข้าไปในไซต์ก่อสร้างโดยมีคูลอฟส์อังเดรเดินไปพร้อมๆ กันส่วนชิงเฟิงก็เดินตามมาทางด้านซ้ายของเย่เชียนส่วนลูกน้องสองคนของคูลอฟส์อังเดรก็คอยคุ้มกันคูลอฟส์อังเดรจากทางด้านขวา ถึงแม้ว่าเย่เชียนคาดหวังว่าคนเหล่านั้นจะไม่ใช่คนที่มีอิทธิพลมากนักแต่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ไม่น่าจะใช่พวกนักเลงธรรมดาๆ ใช่ไหม? เพราะในมณฑลเหอหนานเหล่ยเจียงและฮัวซงเจี๋ยนั้นไม่ใช่บุคคลที่ทรงอำนาจอยู่แค่สองคนแต่ยังมีบุคคลทรงอำนาจอีกมากมาย อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้ต่อหน้าเย่เชียนแล้วดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นเพียงเด็กน้อยที่น่ารังเกียจและคนที่ดูเหมือนหัวหน้าจะเป็นแค่ข้าราชการที่สืบทอดและใช้อำนาจของครอบครัวเสียมากกว่า
เมื่อเห็นเย่เชียนมาหลี่จื้อเทียนก็ยิ้มและทักทายเขาอย่างรวดเร็วและยื่นมือออกมาและพูดว่า “น้องเย่มาแล้วหรอ! ”
เย่เชียนก็พยักหน้าและยื่นมือออกไปเพื่อจับมือกับหลี่จื้อเทียนจากนั้นก็พูดว่า “พี่หลี่..ผมขอแนะนำนี่คือมิสเตอร์คูลอฟส์อังเดรจากตระกูลคูลอฟส์แห่งรัสเซีย..ในประเทศรัสเซียน่ะธุรกิจของตระกูลคูลอฟส์กว้างขวางมาก”
หลี่จื้อเทียนก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและรีบยื่นมือออกไปเพื่อจับมือ ซึ่งก่อนหน้านี้หลี่จื้อเทียนได้ทำการลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศดังนั้นโดยปกติแล้วเขาจึงเคยได้ยินเกี่ยวกับตระกูลคูลอฟส์ซึ่งเป็นตระกูลมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศรัสเซียดังนั้นเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้จักตำแหน่งของคูลอฟส์อังเดรในตระกูลคูลอฟส์ก็ตามแต่จากมุมมองที่คนอย่างเย่เชียนมากับคูลอฟส์อังเดรนั้นหลี่จื้อเทียนก็สามารถเดาได้ว่าตำแหน่งและจุดยืนในตระกูลคูลอฟส์ของคูลอฟส์อังเดรคนนี้นั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“สวัสดีครับมิสเตอร์คูลอฟส์อังเดร..ยินดีที่ได้รู้จักครับ..วันนี้ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” หลี่จื้อเทียนพูดอย่างสุภาพ
คูลอฟส์อังเดรก็ยื่นมือออกไปและจับมือกับหลี่จื้อเทียนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันเป็นเกียรติของผมต่างหาก..ผมมักจะได้ยินมิสเตอร์เย่พูดถึงมิสเตอร์หลี่..การกระทำของมิสเตอร์หลี่น่าชื่นชมมาก..มันเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าที่เราได้พบกันในวันนี้ ”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นว่าคูลอฟส์อังเดรมีอัธยาศัยที่ดีจริงๆ เพราะคูลอฟส์อังเดรเพิ่งจะโกหกซึ่งเชานั้นได้ยินเกี่ยวกับหลี่จื้อเทียนก่อนที่จะมายังที่นี่เองแต่เขากลับบอกว่าตัวเองเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้วและเขาก็ยังพูดถ่อมตัวอีกด้วย
“ผมต้องขอโทษจริงๆ ตอนนี้มีปัญหาบางอย่างที่ผมต้องแก้ไข..เพราะงั้นมิสเตอร์คูลอฟส์อังเดรเชิญไปรอที่สำนักงานและนั่งดื่มชาสักแก้วก่อนดีไหมครับ” หลี่จื้อเทียนพูด
คูลอฟส์อังเดรก็พูดด้วยรอยยิ้มที่ยินดีว่า “ไม่เป็นไรครับ..ผมเป็นลูกผู้ชายที่ชื่นชอบความตื่นเต้น..อีกอย่างผมอยากเห็นมิสเตอร์เย่จัดการปัญหาด้วยวิธีของเขาด้วย”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มและพูดว่า “ผมเกรงว่ามันจะไม่ต้องใช้วิธีการอะไรอีกต่อไปเพราะคนพวกนี้เป็นแค่นักเลงตัวเล็กๆ ..เพราะงั้นก็ไม่ต้องมากความอะไร..เรามาออกกำลังกายกันเถอะ”
เมื่อเหล่าอันธพาลมองมาที่พวกเย่เชียนที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นคนที่เป็นหัวหน้าก็เหลือบมองเย่เชียนและคูลอฟส์อังเดรขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าและเขาก็เขี่ยก้นบุหรี่ทิ้งแล้วหันไปมองหลี่จื้อเทียนและพูดว่า “หืม..มีคนมาช่วยเหรอมีชาวต่างชาติด้วย..ทำไมพวกคุณคิดจะปลอมเป็นมาเฟียเพื่อข่มขู่ผมโดยการเรียกชาวต่างชาติสองคนมา..โถ่ผมกลัวมากเลย”
“เขารู้จักตัวตนของผมได้ยังไง” คูลอฟส์อังเดรมองไปที่เย่เชียนด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นและถาม เห็นได้ชัดว่าความสามารถของชาวต่างชาติในการเข้าใจภาษาจีนนั้นไม่ได้ชำนาญมากนักและพวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่อันธพาลคนนั้นพูดเป็นคำพูดเยาะเย้ย
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และเขาก็ไม่ได้สามารถอธิบายให้คูลอฟส์อังเดรเข้าใจ ซึ่งเขาก็พูดง่ายๆ ว่า “เขาแค่เดาเอาเพราะทุกวันนี้เด็กๆ ชอบดูหนังจำนวนมากและโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาก็คิดว่าชาวต่างชาติทั้งหมดต้องเป็นมาเฟีย”
“โอ้! ” คูลอฟส์อังเดรก็ตอบและดูเหมือนเข้าใจแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
เย่เชียนก็หันหน้าไปมองเหล่าอันธพาลจากนั้นมองไปที่หลี่จื้อเทียนและถามว่า “พวกเขาต้องการหุ้น 20% ของโครงการแอนิเมชั่นใช่ไหม? ”
“ใช่! ” หัวหน้ากลุ่มอันธพาลพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ถ้าคุณต้องการให้โครงการดำเนินต่อไปอย่างปลอดภัยพวกคุณก็ต้องมอบหุ้น 20% ให้ผม..นอกจากนี้พวกผมไม่ได้เอาไปฟรีๆ เพราะผมจะคอยรักษาความปลอดภัยของพวกคุณรวมไปถึงองค์กรใต้ดินอื่นๆ ..ตราบใดที่มีผมอยู่ที่นี่มันจะไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาให้พวกคุณอย่างแน่นอน..ซึ่งคุณก็สามารถเลือกที่จะไม่ให้ก็ได้แต่ถ้าหากคุณต้องการให้โครงการของคุณดำเนินการก่อสร้างต่อไปล่ะก็พวกคุณต้องไปขอพี่ชายของผมก่อน”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมเองก็ไม่ได้คิดว่าคุณจะเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาๆ หรอกเพราะคุณสามารถขับรถและสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมและพูดอะไรที่หยิ่งผยองแบบนี้ได้ถ้างั้นคุณก็น่าจะเป็นลูกหลายของคนที่มีอิทธิพลสินะ..ถ้างั้นก็บอกมาว่าคุณอยากได้เท่าไหร่”
“ลุงแถวนี้ยังฉลาดไม่เหมือนใครบางคนเลยที่คิดจะใส่ซองแดงและส่งให้แค่เงินเล็กๆ น้อยๆ ..นี่คิดว่าผมเป็นขอทานเหรอเงินแค่ไม่กี่หยวนมันจะไปพออะไร” หัวหน้าอันธพาลพูดอย่างมีชัย หลี่จื้อเทียนก็หันมองไปรอบๆ และเห็นได้ชัดว่าตอนนี้หัวหน้าอันธพาลกำลังพูดถึงเขาอยู่ อย่างไรก็ตามหลี่จื้อเทียนก็ไม่ได้สนใจเนื่องจากเขาฝากเรื่องนี้ไว้กับเย่เชียนแล้และเขาก็เชื่อว่าเย่เชียนจะสามารถจัดการได้อย่างถูกต้อง
“เราไม่ได้ต้องการเงินเพราะพวกเราไม่ใช่นักเลงและเราก็ไม่ต้องการแบล็กเมล์ใดๆ ..ผมขอแค่หุ้น 20% ของโครงการนี้และผมจะช่วยพวกคุณติดตามความคืบหน้าของโครงการที่นี่และช่วยดูแลทั้งหมด..นอกจากนี้ผมก็สามารถรับประกันได้ว่ามันจะไม่มีใครกล้ามาสร้างปัญหาที่นี่ด้วย” หัวหน้าอันธพาลเหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดว่า “ลุงคิดว่าไง! ”
เห็นได้ชัดว่าชิงเฟิงนั้นกำลังโกรธเกรี้ยวอย่างมากและเขาก็รีบเดินไปข้างหน้าทันที ซึ่งเย่เชียนก็ยื่นมือออกมาเพื่อหยุดเขาเอาไว้และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนอื่นผมอยากให้คุณรู้เอาไว้ว่าผมเป็นผู้ใหญ่กว่าคุณแค่นิดหน่อยเพราะงั้นคุณไม่จำเป็นต้องเรียกผมว่าลุง..ส่วนที่คุณบอกว่าไม่มีใครกล้ามาสร้างปัญหาที่นี่ผมจึงอยากรู้ว่าคุณมีอิทธิพลมากแค่ไหนหรือคุณมีอำนาจแค่ไหน..เพราะผมอยากรู้ว่าคุณจะรักษาความสงบที่นี่ได้หรือเปล่า”
ใบหน้าของหัวหน้าอันธพาลก็เปลี่ยนไปและเขาก็มองไปที่เย่เชียนจากหัวจรดเท้าอีกครั้ง ซึ่งเมื่อเห็นใบหน้าที่ดูสงบและมั่นใจของเย่เชียนแล้วเขาก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมากเพราะคนที่สามารถเผชิญกับอันตรายแต่ยังสามารถสงบนิ่งและไม่กระวนกระวายนั้นคนแบบนี้ต้องมีความกล้าไม่น้อยเลย “ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณก็สามารถไปถามใครก็ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะในเมืองเจิ้งโจวไม่มีใครกล้าที่จะสร้างปัญหาภายใต้การดูแลของเหรินเฉาแม้แต่คนเดียว..ขนาดพวกองค์กรใต้ดินยังเลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ผมเลย” หัวหน้าอันธพาลพูดอย่างมั่นใจ
“จริงเหรอ..ผมไม่เห็นจะรู้จักชื่อของคุณเลย!” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณไม่รู้จักชื่อเหรินเฉาเหรอ?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างภาคภูมิใจ
“ผมชื่อเหรินเฉา..คุณสามารถไปถามใครก็ได้ในเมืองเจิ้งโจว..พวกเขารู้จักผมกันทั้งนั้น” หัวหน้าอันธพาลพูดอย่างหยิ่งผยอง
“หืม..เหรินเฉาใช่ไหม?” เย่เชียนฉีกยิ้มและพูด “ถึงแม้ว่าคุณจะมีอิทธิพลมากมายและคนอื่นต่างก็กลัวคุณก็จริง..แต่ถ้าใครที่มีอิทธิพลเหมือนกันเข้ามาแทรกแซงล่ะคุณจะเผชิญหน้าได้เหรอ?”
เหรินเฉาก็ยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “ถ้าบอกว่าได้ล่ะ? ..เพราะพ่อของผมเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจส่วนกลางประจำมณฑลเหอหนาน..ถ้าผมพูดชื่อของเขาออกมาแล้วใครจะกล้าสร้างปัญหา? ..นอกจากนี้คนที่อยู่กับผมทั้งหมดพวกเขาก็เคยผ่านประสบการณ์การต่อสู้บนท้องถนนมามากมาย”
เย่เชียนก็ผงะไปชั่วขณะและมองไปที่ชิงเฟิงด้วยความประหลาดใจ ซึ่งชิงเฟิงก็ยักไหล่และโน้มตัวเข้าไปข้างๆ หูของเย่เชียนและพูดว่า “เขาน่าจะเป็นลูกชายของเหรินชุนไป่ที่พวกเราเจอที่สนามบิน” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ เพราะเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเมื่อพบเหรินชุนไป่แล้วจะได้พบกับลูกชายของเขาอีก ซึ่งเย่เชียนก็ไม่อยากที่จะทำอะไรโจ่งแจ้งเกินไปเพราะตอนนี้เขาต้องทำตามแผนการที่วางเอาไว้ก่อน
.
.
.
.
.
.
.