ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 562 จากเสือกลายเป็นแมว
ตอนที่ 562 จากเสือกลายเป็นแมว
เหอปิงตอบรับและเดินออกไปด้านข้างเพื่อโทรหาเหรินชุนไป่แต่ไม่ได้บอกว่าเหรินเฉาลูกชายของเขาพาคนมาที่ไซต์ก่อสร้างเพื่อสร้างปัญหาแต่บอกเพียงว่ามีคนมาสร้างปัญหาและขัดขวางไม่ให้โครงการดำเนินการต่อ ซึ่งสิ่งนี้รัฐบาลกลางและเทศบาลได้ออกคำสั่งอย่างเคร่งครัดเพื่อสนับสนุนแผนการพัฒนาโครงการดินแดนแอนิเมชั่นขนาดใหญ่ของหลี่จื้อเทียนอย่างจริงจังและยังกำหนดนโยบายอย่างเด็ดขาดด้วยว่าเหรินชุนไป่ต้องจัดการมาตรการรักษาความปลอดภัยและไม่อนุญาตให้ใครมาสร้างความวุ่นวายละแวกไซต์ก่อสร้างของหลี่จื้อเทียนโดยเด็ดขาด ดังนั้นหลังจากได้รับโทรศัพท์จากเหอปิงแล้วเหรินชุนไป่ก็ถึงกับผงะและไม่กล้าที่จะรอช้าเขาจึงรีบตอบกลับและเริ่มสั่งระดมพลเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที
ใบหน้าของชิงเฟิงก็เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายอย่างชัดเจนราวกับว่าเหล่าอันธพาลมากกว่าหนึ่งร้อยคนเป็นเพียงแค่อาหารว่างของเขาและเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้เลย นี่เป็นนิสัยที่โดดเด่นของชิงเฟิงและมันก็เป็นจิตวิญญาณของหมาป่าเพราะไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับศัตรูสักกี่คนถึงยังไงเขาก็ต้องแสดงความสงบเสงี่ยมเอาไว้ ซึ่งถึงแม้ว่าทักษะของชิงเฟิงจะดีแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็ไม่สามารถจัดการกับคนมากกว่าร้อยคนได้ด้วยมือเปล่า อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถแสดงความหวาดกลัวได้ใช่ไหม? นอกจากนี้เนื่องจากเย่เชียนอยู่ที่นี่ด้วยดังนั้นชิงเฟิงก็เชื่อว่าเย่เชียนได้เตรียมการเอาไว้แล้วและจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่แล้วร้ายใดๆ
เมื่อลูกน้องสองคนของคูลอฟส์อังเดรเห็นการแสดงออกของชิงเฟิงแล้วพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ซึ่งถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นฉากการปะทะครั้งใหญ่มาแล้วก็ตามแต่พวกเขาก็ไม่สามารถสงบเสงี่ยมเหมือนชิงเฟิงได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็ชื่นชมองค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าในใจของพวกเขาทันที ซึ่งพวกเขาเป็นเหมือนบอดี้การ์ดส่วนตัวของคูลอฟส์อังเดรดังนั้นพวกเขาจึงเคยได้ยินคูลอฟส์อังเดรพูดถึงเย่เชียนว่าเขาเป็นผู้นำขององค์กรทหารรับจ้างเขี้ยวหมาป่าส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ก็เก่งและโดดเด่นมาก ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเขี้ยวหมาป่าจะทรงพลังขนาดนั้นแต่ตอนนี้พวกเขาได้เห็นความสงบและความมั่นใจในตัวเองของชิงเฟิงแล้วพวกเขาจึงเชื่อในสิ่งที่เป็นอย่างยิ่ง อันที่จริงแล้วมีไม่กี่คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้และที่สำคัญกว่านั้นการแสดงออกของชิงเฟิงไม่เพียงแค่สงบและมั่นใจเท่านั้นแต่ยังตื่นเต้นและเลือดเดือดอีกด้วย
เขาต้องเป็นคนบ้าแน่ๆ! นี่เป็นความคิดแรกของพวกเขาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของชิงเฟิง
เย่เชียนก็ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ..ออกไปข้างนอกกัน” หลังจากพูดจบแล้วเย่เชียนก็เดินออกไปอย่างช้าๆ ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยเดินตามออกไปทีละคน
“โอ้..ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ” เย่เชียนฉีกยิ้มและพูดอย่างใจเย็น
“หึ..อย่าหนีไปไหนก็แล้วกัน” เหรินเฉาตะคอก “ฉันไม่ได้หวังว่าแกจะไม่เรียกคนมาเพิ่มหรอกนะเพราะมันเหมือนว่าเรากำลังกลั่นแกล้งพวกแก”
จากนั้นเหรินเฉาก็มองไปที่ชายวัยกลางคนหัวโล้นข้างๆ เขาแล้วพูดว่า “พี่เสือ..นั่นพวกมัน..ขอแค่พี่ฆ่ามันก็พอเดี๋ยวที่เหลือผมจะจัดการเอง”
ชายวัยกลางคนหัวโล้นก็พยักหน้าและเงยหน้าขึ้นมองเย่เชียนแล้วพูดว่า “น้องชายฉันได้ยินมาว่าเมื่อกี้นายกล้ามากใช่มั้ย..ตอนนี้นายคนเดียวจะกล้าเผชิญหน้ากับยี่สิบคนเหรอ..เพราะงั้นก็คุกเข่าลงและขอโทษซะ..จากนั้นก็จ่ายค่ารักษาพยาบาลแล้วฉันจะลืมเรื่องวันนี้ไปไม่งั้นก็อย่ามาโทษว่าฉันโหดร้ายก็แล้วกัน”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หืม..ผมได้ยินฉายาเสือมาหลายครั้งแล้วไม่ว่าจะเป็นหวังหูแห่งเซี่ยงไฮ้หรือหลวนปิงลี่แห่งแดนเหนือจีน..ดูเหมือนว่าเสือจะกลายเป็นแมวได้สินะเพราะรอยสักรูปเสือบนหน้าอกของคุณไม่ได้ทำให้ผมกลัวเลย..ถึงยังไงเสือก็ยังกลายเป็นแมวได้เมื่อเผชิญหน้ากับผม”
“ชิงเฟิง! ..เขามีรอยสักรูปเสือถ้างั้นหมาป่าอย่างเราก็ต้องแสดงให้เขาดูบ้างสิ! ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มและหลังจากนั้นเขาก็ตบไหล่ของชิงเฟิง
ชิงเฟิงก็ฉีกยิ้มและถอดเสื้อออกเผยให้เห็นรอยสักหัวหมาป่าขนาดใหญ่ประทับอยู่บนหน้าอกของเขาโดยรอยสักหัวหมาป่านั้นดูน่าเกรงขามด้วยเขี้ยวที่แหลมคมและมีสีสันที่ฉูดฉาดราวกับว่าปากของมันสามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งได้ทุกเมื่อ
รอยสักรูปเสือของชายวัยกลางคนหัวโล้นเมื่อเทียบกับชิงเฟิงแล้วเห็นได้ชัดว่ามันดูเหมือนแมวอย่างมากดั่งที่เย่เชียนพูดซึ่งมันเป็นแค่แมวตัวใหญ่เท่านั้น
“อะไรนะตอนนี้แมวของคุณกำลังตัวสั่นอยู่ใช่มั้ย? ” ชิงเฟิงพูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม
อันที่จริงเพราะความตกใจของชายวัยกลางคนหัวโล้นจึงทำให้ร่างของเขาทั้งร่างสั่นสะท้านและเสือก็ดูเหมือนจะสั่นสะท้านจริงๆ ซึ่งชายหัวโล้นก็มองไปที่รอยสักรูปเสือของเขาอย่างเชื่องช้าและดึงเสื้อผ้าของเขามาปิดบังมันเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากที่ได้เห็นหัวหมาป่าของชิงเฟิงแล้วเขาก็รู้สึกว่าเสือของเขานั้นเป็นเพียงแค่ขยะจากนั้นชายวัยกลางคนหัวโล้นก็พูดว่า “น้องชายนายคุมอยู่เขตไหนและชื่อเสียงเรียงนามคืออะไร”
ชายวัยกลางคนหัวโล้นไม่เป็นที่รู้จักมากนักบนถนนในเมืองเจิ้งโจวซึ่งเขาและเหรินเฉาก็รู้จักกันแต่พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันมากนักเพราะทั้งสองคนมีอาชีพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพียงแค่สถานะของเหรินเฉานั้นดีมากดังนั้นชายวัยกลางคนหัวโล้นจึงรักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเขามาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รู้นิสัยของเหรินเฉาดีว่าเหรินเฉาเป็นลูกหลานของผู้มีอิทธิพลที่ทำตัวเหลวแหลกและถ้าหากไม่ใช่เพราะอำนาจของพ่อเขาล่ะก็เหรินเฉาคงจะถูกฆ่าตายข้างถนนไปนานแล้ว อย่างไรก็ตามเหรินเฉาก็มีความใจกว้างมากเพราะทุกๆ ครั้งที่เขาช่วยเหรินเฉาจัดการกับสิ่งต่างๆ เขาจะได้รับผลตอบแทนที่ดีมาก ซึ่งคราวนี้เหรินเฉามาหาเขาอีกครั้งและเสนอสิ่งตอบแทนที่น่าสนใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธอะไรใดๆ
“อย่าเรียกผมว่าน้องชาย..เพราะคุณไม่คู่ควรที่จะเป็นพี่ชายของผม..อีกทั้งคุณไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเอ่ยปากถามชื่อผม! ..เดิมทีนี่เป็นแค่เรื่องของผมกับเด็กน้อยจอมหยิ่งผยองคนนี้..ถ้างั้นมันเกี่ยวอะไรกับคุณ? ” เย่เชียนตะคอกและพูดต่อ “ยังไงก็เถอะเนื่องจากคุณอยู่ที่นี่แล้วมันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะหันหลังกลับไปได้ง่ายๆ ..คุณต้องทิ้งบางอย่างเอาไว้ด้วย”
ชายวัยกลางคนหัวโล่นก็แน่นิ่งไปชั่วขณะและดูค่อนข้างจะตกตะลึงไปกับคำพูดของเย่เชียน ซึ่งเขาก็คิดไม่ออกว่าเย่เชียนแสร้งทำเป็นวางท่าและทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ หรือเปล่า อย่างไรก็ตามเมื่อเขาคิดได้ว่าตอนนี้ที่นี่มีคนของเขามากกว่า 100 คนแต่เขากลับกลัว ซึ่งถ้าหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปตามท้องถนนล่ะก็เขาจะเสียหน้าและจะอยู่บนถนนสายนี้ในอนาคตได้อย่างไร?
ชายวัยกลางคนหัวโล้นก็อารมณ์ยุ่งเหยิงเพราะเขาเคยได้ยินชื่อของหวังหูและหลวนปิงลี่ที่เย่เชียนเพิ่งจะพูดออกมา ซึ่งพูดตามตรงเลยว่าชื่อบุคคลเหล่านี้เขาจะกล้าไปเทียบได้อย่างไรเขาจึงแปลกใจและยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้คิดว่าเย่เชียนนั้นโกหกเลยเพราะถึงแม้ว่าพยัคฆ์แดนเหนือหลวนปิงลี่จะตายไปแล้วก็ตามแต่เสือหวังหูยังอยู่อย่างยิ่งใหญ่ ดังนั้นเย่เชียนคงจะไม่โง่พอที่จะแอบอ้างชื่อของหวังหูใช่ไหม?
เมื่อเห็นอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงของชายวัยกลางคนหัวโล้นแล้วเหรินเฉาก็แอบร้องไห้อย่างลับๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพี่เสือคนนี้กำลังถูกเย่เชียนสั่งสอนอย่างไงอย่างงั้น ดังนั้นเหรินเฉาจึงหันหน้าไปทางชายวัยกลางคนหัวโล้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยว่า “อะไรเนี่ยพี่เสือ..พี่คงไม่ได้หลงกลเขาแบบนี้หรอกนะ..เพราะถ้าเรื่องนี้มันแพร่กระจายออกไปล่ะก็ต่อไปนี้มันคงจะไม่มีที่ให้พี่ยืนอีกแล้ว..นอกจากนี้พี่เสือคุณต้องชัดเจนนะว่าตอนนี้ฮัวซงเจี๋ยกับเหล่ยเจียงกำลังต่อสู้กันเองอยู่เพราะงั้นถ้าคุณเสียชื่อเสียงไปในเวลานี้คุณจะคว้าโอกาสดีๆ แบบนี้ได้ยังไง? ..คุณคิดดูดีๆ ว่าพ่อของผมเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานกรมตำรวจส่วนกลางประจำมณฑลเหอหนาน..เพราะงั้นถ้าผมสนับสนุนคุณด้วยคุณจะเป็นยังไงในอนาคต? ..คุณไม่คิดบ้างเหรอ?”
ชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ถึงกับตกตะลึงเล็กน้อยเพราะเขาต้องยอมรับว่าสิ่งที่เหรินเฉาพูดนั้นถูกต้อง อันที่จริงเมืองเจิ้งโจวและแม้แต่มณฑลเหอหนานนั้นก็กำลังพัฒนาและจากการต่อสู้ระหว่างฮัวซงเจี๋ยกับเหล่ยเจียงนั้นเขาก็สามารถใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาวิกฤตนี้ในการคว้าโอกาสเพื่อสร้างชื่อเสียงและขยายอิทธิพลของเขา อย่างไรก็ตามหากวันนี้มีคนสองสามคนทำให้เขากลัวและเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปล่ะก็ใครจะกล้าติดตามเขา?
หลังจากกัดฟันแล้วชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ตะคอกว่า “น้องชายนายหยิ่งผยองเกินไปหน่อยนะ..อย่าโทษว่าฉันโหดร้ายล่ะ” แต่เดิมเขาต้องการพูดว่าศึกครั้งนี้ต้องการสู้แบบเดี่ยวหรือต้องการสู้แบบกลุ่ม แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่ามีคนของเหรินเฉาหลายคนถูกอีกฝ่ายจัดการด้วยตัวคนเดียวแล้วเขาก็ปัดเป่าความคิดนี้ออกไปในทันที
เย่เชียนก็มองไปที่ชิงเฟิงอย่างช้าๆ แล้วพูดว่า “อย่าให้ถึงตายก็พอ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เชียนแล้วชิงเฟิงก็หัวเราะออกมา อันที่จริงการปลดปล่อยออกมานั้นดีกว่าการอดกลั้น ซึ่งทันทีที่คำพูดของเย่เชียนจบลงทั้งสองก็พุ่งออกไปเหมือนลูกศรจากคันธนู แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นจะไม่มีทางเพิกเฉยกับเรื่องนี้ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาจะทำคือการกำจัดชายวัยกลางคนหัวโล้นและเนื่องจากความเร็วของเย่เชียนนั้นเร็วเกินไปชายวัยกลางคนหัวโล้นจึงไม่มีเวลาที่จะตอบโต้ได้เขาจึงถูกเย่เชียนเตะเสยและกระเด็นออกไปพร้อมกับเสียงโอดครวญและเสียงของกระดูกที่หักอย่างชัดเจน
ชิงเฟิงก็ตะโกนเหมือนคนบ้าและเขาก็จับแขนของเด็กหนุ่มคนหนึ่งแล้วบิดมันอย่างแรงจนกระดูกหักและชายคนนั้นก็ส่งเสียงกรีดร้องและล้มลงไปกับพื้น ซึ่งชิงเฟิงก็ปฏิบัติตามคำพูดของเย่เชียนอย่างเคร่งครัดว่าเขาจะทำอะไรก็ได้ตราบใดที่ไม่ฆ่าอีกฝ่ายหรือไม่ถึงชีวิตนั่นเอง ซึ่งตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นกระดูกแขนข้อมือหรือกระดูกขาและข้อเท้าต่างก็หักอย่างน่าสยดสยอง เมื่อเห็นสิ่งนี้ลูกน้องของคูลอฟส์อังเดรทั้งสองคนก็สั่นไปทั้งตัว เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นฉากนองเลือดมามากมายแต่พวกเขาไม่เคยเห็นคนอย่างชิงเฟิงที่สามารถทำเช่นนี้ด้วยมือเปล่าได้ ซึ่งนี่คือการสังหารหมู่ชัดๆ
เย่เชียนเองก็ไม่ได้แสดงความปรานีเช่นกันเพราะการโจมตีทุกครั้งนั้นต้องมาพร้อมกับความแข็งแกร่งของศาสตร์และพลังด้านมืดและศิลปะการต่อสู้โบราณ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พลังทั้งสองนี้จะแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของมนุษย์และเมื่อเทียบกับคู่ต่อสู้ของชิงเฟิงแล้วคู่ต้องสู้ของเย่เชียนนั้นไม่มีบาดแผลใดๆ เลยแม้แต่น้อยแต่พวกเขาทั้งหมดล้มลงกับพื้นโดยหมดสติอย่างสมบูรณ์แบบซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บจากการบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง
คูลอฟส์อังเดรก็ถึงกับประหลาดใจเมื่อเขามองจากด้านข้างและพึมพำว่า “นี่คือพลังของเขี้ยวหมาป่าสินะ..มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!”
เมื่อการต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดจู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาว่า “หยุด!” หลังจากนั้นก็มีชายวัยกลางคนเดินออกมาจากรถอย่างช้าๆ ตามด้วยชายฉกรรจ์อีกสองสามคนในชุดสูทราวกับบอดี้การ์ด
.
.
.
.
.
.
.
.