ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 563 คนคลั่ง
ตอนที่ 563 คนคลั่ง
การต่อสู้กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดและไม่มีใครสังเกตคนที่มาเยือนเลย อย่างไรก็ตามหลี่จื้อเทียนและคูลอฟส์อังเดรนั้นสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแต่พวกเขาก็ไม่รู้จักบุคคลนั้น
เย่เชียนเองก็หันกลับไปมองและอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาประหลาดใจเล็กน้อยและเขาไม่ได้คาดหวังว่าฮัวซงเจี๋ยจะมา ซึ่งช่วงนี้ฮัวซงเจี๋ยกำลังให้ความสำคัญกับสถานการณ์ในเมืองเจิ้งโจวอย่างมากและเมื่อเขาเห็นว่าชายวัยกลางคนหัวโล้นได้ระดมคนจำนวนมากมายังที่นี่เขาจึงส่งคนไปสืบข่าวเรื่องนี้และทราบว่าคนเหล่านั้นกำลังไปยังไซต์ก่อสร้างของหลี่จื้อเทียน ซึ่งแน่นอนว่าหลี่จื้อเทียนเป็นหุ้นส่วนของเย่เชียนเพราะงั้นถึงแม้ว่าเย่เชียนจะปฏิเสธที่จะร่วมมือกับเขาชั่วคราวก็ตามแต่ถึงยังไงมันก็จำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในตอนนี้
หลังจากลงจากรถแล้วเมื่อฮัวซงเจี๋ยเห็นเย่เชียนอยู่บนสนามรบราวกับเสือที่กำลังลงจากภูเขาและวิ่งไปมาในฝูงชนและขย้ำทุกคนที่ขวางเขาจนกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง ซึ่งฮัวซงเจี๋ยก็รู้สึกประหลาดใจกับแรงกดดันบางอย่างที่ราวกับภูเขากำลังกดทับเขาอยู่จากด้านบน เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าCEOของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปผู้สง่าผ่าเผยจะมีความสามารถเช่นนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างเห็นได้ชัด
ท่ามกลางฝูงชนชายวัยกลางคนหัวโล้นก็เห็นฮัวซงเจี๋ยและเขาก็ประหลาดใจอย่างมากเพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีอิทธิพลในวงการใต้ดินก็ตามแต่เมื่อเทียบกับฮัวซงเจี๋ยแล้วมันก็แตกต่างกันราวกับท้องฟ้ากับเหวและไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย เขาไม่เข้าใจว่าฮัวซงเจี๋ยมาที่นี่ได้อย่างไรและเขามีความสัมพันธ์ระหว่างเย่เชียนหรือไม่? ไม่อย่างนั้นน้ำเสียงของฮัวซงเจี๋ยที่ออกมาจากคำพูดเมื่อกี้จะดูดุดันได้อย่างไร?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ตัวสั่นโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นเขาจะต้องถูกเหรินเฉาเยาะเย้ยอีกเป็นแน่เพราะเขาไม่สามารถทำให้ฮัวซงเจี๋ยขุ่นเคืองและเขาอาจจะอยู่อย่างยากลำบากในเมืองเจิ้งโจว แม้ว่าฮัวซงเจี๋ยและเหล่ยเจียงกำลังจะเปิดสงครามกันก็ตามแต่มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะสั่งคนมาเพื่อจัดการกับตัวเอง
ชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ไม่อยากที่จะคิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปและรีบพูดว่า “พอได้แล้ว..อะอะ! ” ขณะที่เขากำลังพูดเย่เชียนก็เพิ่งกระแทกหน้าอกของเขาจนซี่โครงของเขาก็หักและเขาก็กัดลิ้นตัวเองเขาจึงไม่สามารถทำเสียงดังได้เขาจึงไอออกมา
เย่เชียนก็พยักหน้าให้กับชิงเฟิงและทั้งสองก็รีบถอยออกมาจากฝูงชนและเดินกลับไปที่หลี่จื้อเทียน “วันนี้ผมได้เห็นประสิทธิภาพการต่อสู้อันทรงพลังของเขี้ยวหมาป่าแล้ว..ผมอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพวกคุณจริงๆ” คูลอฟส์อังเดรกระซิบ
มีผู้คนมากกว่าร้อยคนในสนามรบแต่ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งของพวกเขาที่สามารถยืนอยู่ได้ ซึ่งคนที่ได้รับบาดเจ็บอาจจะถึงขั้นโคม่าหรือแขนและขาหักอย่างน่าสังเวช
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มิสเตอร์คูลอฟส์..คนพวกนี้เป็นแค่นักเลงกระจอกๆ มันไม่ยากเลยที่จะจัดการกับพวกเขา..นอกจากนี้มันก็เป็นชะตากรรมของผม..เพราะถ้าเป็นคุณล่ะก็คุณสามารถสั่งคนจำนวนมากที่พร้อมจะตายเพื่อคุณได้”
คูลอฟส์อังเดรก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “คำพูดของมิสเตอร์เย่ทำให้ผมรู้สึกละอายใจมาก”
“นายเจ็บไหม?” หลี่จื้อเทียนโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ หูของเย่เชียนและถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ครับเพราะสู้กับคนเหล่านี้มันง่ายมาก” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่รู้ว่านายจะแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ไม่งั้นฉันคงไม่เห็นด้วยหรอก” หลี่จื้อเทียนพูด “มันบ้าคลั่งมากที่คนแค่สองคนมาเผชิญหน้ากับคนมากกว่าหนึ่งร้อยคน..นายต้องจำเอาไว้นะว่าพวกเราเป็นสหายกันเพราะงั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนายฉันคงจะรู้สึกผิดมาก”
เย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับคนเหล่านี้เพราะเราต้องใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมความรุนแรงเพื่อให้ได้ผลเร็วที่สุด”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะโทรหาพรรคพวกด้วย” หลี่จื้อเทียนพูดด้วยความเป็นห่วงเพราะพฤติกรรมของเย่เชียนในตอนนี้ทำให้เขากังวลเพราะเย่เชียนกับชิงเฟิงเหมือนจะฆ่าตัวตายแต่เมื่อเห็นพวกเขาต่อสู้อย่างดุเดือดแล้วหลี่จื้อเทียนจึงรู้สึกโล่งใจมาก
“ถ้าผมเรียกคนมามากเกินไปมันก็เหมือนว่าเรากลัวพวกเขาน่ะสินอกจากนี้เราต้องวางจุดยืนของตัวเองให้อ่อนแอเพื่อที่เขาจะได้ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ เมื่อเหรินชุนไป่มา” เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “ผมรู้ว่าพี่หลี่เป็นห่วงผมแต่ผมสัญญาว่าผมจะพยายามไม่ทำแบบนี้อีกและเลี่ยงการปะทะจนทำให้เจ็บตัวในอนาคต”
หลี่จื้อเทียนถึงกับผงะไปชั่วขณะเมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีการกระทำเช่นนี้อีกในอนาคตอย่างนั้นหรือ? หลี่จื้อเทียนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นทักษะของเย่เชียนด้วยตาของเขาเองควบคู่ไปกับความมั่นใจในตนเองของเย่เชียนแล้วเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ซึ่งเขาก็เชื่อว่าคนที่สามารถรวมองค์กรโลกใต้ดินในเมืองเซี่ยงไฮ้และหนานจิงได้และยังกำจัดเฝิงเฝิงราชาแห่งขุนเขาในมณฑลเจ้อเจียงอีก ซึ่งแน่นอนว่าเย่เชียนต้องมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาและไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
ฮัวซงเจี๋ยนั้นถูกล้อมรอบด้วยบอดี้การ์ดและเขาก็เดินตรงไปที่เย่เชียนแล้วพูดว่า “คุณเย่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่รู้ว่าลมอะไรพัดประธานฮัวมา..ผมไม่มีเวลาต้อนรับคุณเลยต้องขอโทษด้วย”
“ผมได้ยินมาว่ามีคนมาสร้างความเดือดร้อนให้คุณหลี่..ผมจำได้ว่าคุณหลี่เป็นเพื่อนของคุณเย่เพราะงั้นผมจึงเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ..ซึ่งผมคิดว่าคุณเย่ต้องอยู่ที่นี่ด้วยผมจึงหนักใจมาก” ฮัวซงเจี๋ยพูด เขาเหลือบมองออกไปและเห็นคูลอฟส์อังเดรอยู่ด้านข้างเย่เชียนจากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง แต่เนื่องจากเขาไม่เข้าใจสถานการณ์เขาจึงไม่สามารถรู้อะไรได้
เมื่อเห็นเย่เชียนกับฮัวซงเจี๋ยเหมือนจะสนิทสนมกันมากเพราะหลังจากที่ฮัวซงเจี๋ยปรากฏตัวที่นี่เขาก็เดินตรงไปหาเย่เชียนทันที ดังนั้นชายวัยกลางคนหัวโล้นจึงแอบกรีดร้องในใจเพราะเห็นได้ชัดว่าฮัวซงเจี๋ยและเย่เชียนนั้นรู้จักกันเป็นอย่างดีและดูเหมือนว่าสิ่งที่เย่เชียนพูดออกมาก่อนหน้านี้จะไม่ใช่เรื่องไร้สาระเลย ซึ่งเมื่อนึกถึงฮัวซงเจี๋ยที่คิดจะกำจัดตัวเขาเองในอนาคตนั้นชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ถึงกับตัวสั่นเพราะถ้าหากฮัวซงเจี๋ยต้องการกำจัดเขานั้นมันก็ง่ายเหมือนบีบมดให้ตายอย่างไงอย่างงั้น
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ไม่กล้าลังเลอีกต่อไปต่อและเขาก็อดทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกเย่เชียนเตะและเดินไปข้างหน้าและเมื่อเขามาถึงด้านของฮัวซงเจี๋ยแล้วเขาก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “คุณฮัว…ทำไมคุณถึงมาที่นี่? ”
ฮัวซงเจี๋ยก็หันไปมองอย่างแผ่วเบาและยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “หืม? ..คุณมาได้แล้วทำไมผมถึงมาไม่ได้? ”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ” ชายวัยกลางคนหัวโล้นพูดด้วยความขมขื่น
“หืม..นี่คุณไม่รู้เหรอว่าเขาคือใคร..คุณรู้ไหมว่าเขาเป็นเพื่อนของผมแต่คุณยังกล้าพานักเลงอันธพาลมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาอีก..ผมคิดว่าคุณคงจะเบื่อหน่ายกับชีวิตในตอนนี้สินะ” ฮัวซงเจี๋ยตะโกนอย่างเดือดดาล
เย่เชียนก็ไม่อยากที่จะพูดอะไรใดๆ เขาเพียงมองการแสดงของฮัวซงเจี๋ยอย่างเงียบๆ เนื่องจากฮัวซงเจี๋ยเริ่มแสดงละครดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สามารถปฏิเสธเขาได้
เมื่อได้ยินคำพูดของฮัวซงเจี๋ยแล้วชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ค่อยๆ ย่อขาลงและคุกเข่าลงพร้อมกับพูดอย่างอ้อนวอนว่า “ผมขอโทษ..ผมขอโทษจริงๆ คุณฮัว..ผมไม่รู้จริงๆ ..ถ้าผมรู้ว่าคุณเย่เป็นเพื่อนของคุณแล้วผมคงไม่กล้ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาหรอก..โปรดยกโทษให้ผมในครั้งนี้ด้วย ”
ชายวัยกลางคนหัวโล้นนั้นก็ขมขื่นอย่างมากและอยากจะสาปแช่งบรรพบุรุษตระกูลเหรินเจ็ดชั่วโคตรเพราะถ้าไม่ใช่เพราะเหรินเฉาแล้วเขาจะพบเจอเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรและเขาก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันจะจบยังไงถ้าฮัวซงเจี๋ยคิดจะกำจัดตัวเองจริงๆ และชีวิตของพวกเขาอาจจะจบลงที่นี่เลยด้วยซ้ำ
“คุณไม่ได้ทำให้ผมขุ่นเคือง..เพราะงั้นถ้าคุณเย่เขายกโทษให้คุณล่ะก็ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง” ฮัวซงเจี๋ยพูด
เมื่อชายวัยกลางคนหัวโล้นคิดว่าเขาจะสามารถได้รับโอกาสอีกครั้งเขาก็หันหน้าไปมองเย่เชียนและคุกเข่าแล้วเงยหน้ามองเย่เชียนแล้วพูดว่า “คุณเย่ผมต้องขอโทษกับสิ่งที่ผมทำลงไป..ผมยินดีให้คุณเย่ลงโทษผมแต่ขอให้คุณเย่ไว้ชีวิตผมด้วย”
เย่เชียนก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “คุณกำลังทำอะไรผมไม่เคยคิดที่จะฆ่าคุณเลย..”
“ขอบคุณมากครับคุณเย่..ขอบคุณจริงๆ! ” ก่อนที่เย่เชียนจะพูดจบชายวัยกลางคนหัวโล้นก็รีบขัดจังหวะเขาและยืนขึ้นพร้อมกับขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เย่เชียนนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าชายวัยกลางคนหัวโล้นกำลังคิดอะไรอยู่เพราะเขาต้องการตัดบทคำพูดของตัวเองอย่างชัดเจน ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้คาดหวังว่าชายวัยกลางคนหัวโล้นจะมีไหวพริบเช่นนี้ อย่างไรก็ตามความฉลาดและไหวพริบของเขากลับถูกนำไปใช้สถานที่และเวลาที่ไม่ถูกต้องเพราะเย่เชียนเกลียดคนที่ขัดจังหวะตัวเองเมื่อเขากำลังพูดอย่างมาก เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “ผมอนุญาตให้คุณยืนขึ้นแล้วเหรอ? ”
ชายวัยกลางคนหัวโล้นเห็นใบหน้าของเย่เชียนเปลี่ยนไปเขาก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจและรีบเขาคุกเข่าลงอย่างรีบร้อนและพูดอีกครั้งว่า “เปล่าครับ..มันเป็นความผิดของผมเอง”
เย่เชียนเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาและพูดว่า “นี่คุณกำลังเยาะเย้ยผมอย่างงั้นเหรอ..คุณคิดว่าคุณอยู่สูงนักใช่ไหม” ชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ตัวสั่นโดยไม่ได้ตั้งใจและรู้ว่าเขานั้นทำอะไรผิดไป “ผมก็บอกคุณไปแล้วว่าในเมื่อพวกคุณมาที่นี่แล้วมันก็ยากที่จะหันหลังกลับไปง่ายๆ ..คุณต้องทิ้งบางอย่างเอาไว้ก่อนแล้วพวกคุณถึงจะออกไปได้!” หลังจากหยุดชั่วขณะเย่เชียนก็พูด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ชายวัยกลางคนหัวโล้นก็รู้ว่าเขาไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ง่ายๆ แต่มันก็ยังดีกว่าต้องตายที่นี่ หลังจากกัดฟันแล้วชายวัยกลางคนหัวโล้นก็หยิบมีดสั้นออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างขมขื่นและตัดนิ้วหนึ่งของตัวเองออกไป
หลังจากร้องอย่างโอดครวญชายวัยกลางคนหัวโล้นเขาก็เอามือมาปาดเหงื่อที่หน้าผาก ซึ่งเย่เชียนก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและเย่เชียนก็ยังคงชื่นชมการกระทำของชายวัยกลางคนหัวโล้นเพราะอย่างน้อยๆ เขาก็เป็นคนที่กล้าทำ “เอาล่ะพาคนของคุณออกไปได้!” จากนั้นเย่เชียนก็โบกมือแล้วพูดว่า “แต่พวกเด็กๆต้องอยู่ต่อรู้ใช่มั้ย? ”
“ผมรู้ครับผมรู้! ” ชายวัยกลางคนหัวโล้นตอบซ้ำๆ หลายครั้งและลุกขึ้นยืนแล้วเดินโซซัดโซเซไปทางลูกน้องของเขา
.
.
.
.
.
.
.