ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 566 เด็กถือปืน
ตอนที่ 566 เด็กถือปืน
ทุกอย่างพัฒนาไปตามการคาดการณ์ของเย่เชียน
ซึ่งชายวัยกลางคนหัวโล้นและคนของเขาได้รับการปล่อยตัวหลังจากให้ปากคำที่สถานีตำรวจ อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีผู้ได้รับบาดเจ็บไปถึงอาการบาดเจ็บร้ายแรงพวกเขาจึงพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลรวมไปถึงชายวัยกลางคนหัวโล้นที่ซี่โครงร้าวจึงต้องรักษาที่โรงพยาบาลเท่านั้น
ผ่านไปสามวันชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ออกมาจากโรงพยาบาลและเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เลวร้ายมากเพราะลูกน้องของเขาจำนวนมากได้รับบาดเจ็บจึงต้องเสียค่ายาและค่าบริการรวมไปถึงค่าประกันตัวที่สถานีตำรวจซึ่งมันเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยเลย ดังนั้นเขาจึงต้องการรับเงินจำนวนนี้คือและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือตั้งแต่เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนั้นเหรินเฉาไม่แม้แต่จะโผล่มาหาและไม่แม้แต่จะโทรมาถามไถ่ ยิ่งไปกว่านั้นเงินค่าตอบแทนที่เหรินเฉาพูดก่อนหน้านี้นั้นก็ถูกเพิกเฉยไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทนได้อย่างแน่นอนไม่เช่นนั้นเขาจะอยู่ในถนนสายนี้ได้อย่างไรในอนาคต
สิ่งแรกหลังจากที่ชายวัยกลางคนหัวโล้นออกจากโรงพยาบาลทำก็คือการโทรไปหาเหรินเฉา ซึ่งเมื่อได้ยินเสียงของเหรินเฉาแล้วชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ตะคอกว่า “ไอ้หนูในที่สุดแกก็รับสายฉันสักที..ฉันโทรไปหาแกตั้งหลายครั้งแต่ไม่ได้รับสายเลย”
เหรินเฉายังคงกลัวชายวัยกลางคนหัวโล้นอยู่ซึ่งเห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนชายวัยกลางคนหัวโล้นคนนี้เป็นคนที่ต้องการเงินและเป็นคนบ้าคลั่งถ้าตนไปยั่วโมโหเขาจริงๆ ล่ะก็เขาอาจจะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดตนก็เป็นได้ ซึ่งเขาก็ไม่กล้าที่จะดูหมิ่นและรีบพูดอย่างรีบร้อนว่า “พี่เสือผมขอโทษ..วันนี้ผมถูกพ่อกักบริเวณเอาไว้และโทรศัพท์ของผมก็ถูกยึดไป..ผมเพิ่งจะได้มันคืนมา..ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากรับสายโทรศัพท์ของพี่”
“ฉันไม่สนใจว่าเหตุผลของแกมันคืออะไร..แกรีบมาหาฉันตอนนี้เลยฉันจะรอแกอยู่ที่คลับเฮาส์คาราโอเกะ..ถ้าแกไม่มาก็ระวังตัวเอาไว้! ” ชายวัยกลางคนหัวโล้นพูดจบและวางสายโทรศัพท์ไป ซึ่งเหรินเฉาไม่ได้รับโอกาสใดๆ ในการต่อรองหรือโต้แย้งเลย
เมื่อได้ยินเสียงตัดสายจากในโทรศัพท์เหรินเฉาก็ขมวดคิ้วและขมวดคิ้วเพราะเขารู้ดีว่าชายวัยกลางคนหัวโล้นนั้นสามารถทำในสิ่งที่เขาพูดได้และถ้าตัวเองไม่ไปล่ะก็ผลที่ตามมามันอาจเลวร้ายอย่างมาก หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งเหรินเฉาก็แอบเข้าไปในห้องของพ่อและหยิบปืนพกออกมาจากลิ้นชัก ซึ่งปืนกระบอกนี้ไม่ใช่ปืนประจำตำแหน่งของเหรินชุนไป่แต่เป็นปืนที่ซื้อผ่านสวัสดิการของพนักงานโดยมีใบอนุญาตปืน
เหรินเฉาก็สอดปืนพกเอาไว้ที่เอวและออกไปจากนั้นก็ขับรถไปที่คลับเฮาส์คาราโอเกะซึ่งที่ประตูเหรินเฉาก็จอดรถและโทรหาชายวัยกลางคนหัวโล้นแล้วเดินตรงไปที่ห้องส่วนตัวที่ชายวัยกลางคนหัวโล้นอยู่ เนื่องจากยังเป็นเวลากลางวันคลับเฮาส์แห่งนี้จึงมีผู้คนไม่มากนัก
เพราะชายวัยกลางคนหัวโล้นนั้นรู้จักเหรินเฉาเป็นอย่างดี ดังนั้นลูกน้องของชายวัยกลางคนหัวโล้นจึงไม่คาดคิดว่าเหรินเฉาจะกล้ายิงพวกเขาเพราะงั้นพวกเขาจึงปล่อยให้เหรินเฉาเข้าไปในห้องส่วนตัวโดยไม่ได้ค้นร่างกายของเขา ซึ่งในห้องส่วนตัวชายวัยกลางคนหัวโล้นกำลังเอนกายอยู่บนโซฟาเนื่องจากซี่โครงของเขาเพิ่งถูกรักษาเขาจึงไม่สามารถขยับและออกกำลังได้มากนักเพราะแค่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้ซี่โครงหักได้อีก ดังนั้นเขาจึงต้องระวังให้มากโดยให้ลูกน้องคอยยื่นบุหรี่และยกถ้วยชาให้จิบ
“มาแล้วเหรอ..นั่งลงสิ” ชายวัยกลางคนหัวโล้นเอียงหัวของเขาและมองไปที่เหรินเฉาแล้วพูด
“ผมจะไม่มาได้ยังไง..ผมไม่กล้าปฏิเสธหรอกครับ” เหรินเฉาพูดอย่างระมัดระวัง “ว่าแต่พี่เสือโทรหาผมมีอะไรหรอ?”
“แกถามว่ามีอะไรงั้นเหรอ?” ชายวัยกลางคนหัวโล้นเหลือบมองเหรินเชาอย่างเย็นชาและพูดว่า “นายยังมีอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำไม่รู้เหรอ?”
“เอ่อคือ..พี่เสือกำลังพูดถึงเรื่องเงินใช่มั้ย? ” เหรินเฉาตกตะลึงแล้วพูดว่า “ตอนนี้ผมไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น..คุณก็น่าจะรู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นปัญหามากเกินไปพ่อของผมก็เลยเข้มงวดอย่างมาก..ถ้าพูดถึงเรื่องเงินล่ะก็พี่เสือตอนแรกที่เราตกลงกันเอาไว้ว่าถ้าคุณจัดการเรื่องนี้ได้ผมจะจ่าย 30,000 หยวน..แต่ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นแบบนี้ผมจะให้คุณ 5,000 หยวนก็แล้วกัน”
ชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ไม่ได้คาดหวังว่าครั้งนี้มันจะร้ายแรงถึงขนาดนี้เพราะเขาคิดแค่ว่ามันเป็นแค่การจัดการคนไม่กี่คนดังนั้นเงินค่าตอบแทนสามหมื่นหยวนก็เพียงพอแต่ใครจะคิดล่ะว่าเขาจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ “เหรินเฉา! ..นี่แกล้อฉันเล่นงั้นเหรอ? ..เงินแค่ห้าพันหยวนแกคิดว่านี่เป็นการรับจ้างไปซื้อผักที่ตลาดรึไง..แกยังกล้าต่อรองราคาได้อยู่อีกเหรอ? ” ชายวัยกลางคนหัวโล้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“ไม่ครับพี่เสือผมไม่ได้คิดแบบนั้น..เพราะตอนนี้ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้น..เพราะงั้นตอนนี้ผมจะให้คุณก่อนห้าพันหยวนและที่เหลือผมจะทยอยคืนให้เร็วที่สุด..คุณคิดว่าไง? ” เหรินเฉาพูด
“แล้วทั้งหมดแกจะให้ฉันเท่าไหร่” ชายวัยกลางคนหัวโล้นถามอย่างลวกๆ พร้อมกับควงมีดเล่น
“หือ..คุณบอกว่าคุณต้องการ 30,000 หยวนไม่ใช่เหรอ? ” เหรินเฉาพูด “ถึงคุณจะทำไม่สำเร็จก็ตามแต่เนื่องจากผมกับคุณรู้จักกันมานานผมก็จะยังให้เงินเท่าเดิม”
“แกพูดเหมือนฉันควรจะขอบคุณสำหรับความเมตตาของแกเลยนะ” ชายวัยกลางคนหัวโล้นพูดอย่างเย็นชา “แกก็เห็นหนิว่าตอนนี้ลูกน้องของฉันหลายสิบคนนอนอยู่ในโรงพยาบาลและพวกเขาทั้งหมดต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส..เฉพาะแค่ค่าผ่าตัดอย่างเดียวมันก็เป็นตัวเลขที่มหาศาลแล้วและนอกจากนี้ก็ยังมีค่าประกันตัวจากสถานีตำรวจอีก..ซึ่งมันอย่างน้อยๆ ก็สามหรือสี่ล้านเลย..ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังไม่นับเป็นค่าเสียเวลาและค่าเจ็บตัวอีก..เพราะงั้นแกต้องใช้เงินอย่างน้อยๆ สามล้านหยวน..อย่าคิดว่าฉันเป็นคนโง่ถ้าแกคิดจะเบี้ยวล่ะก็เตรียมตัวตายซะ! ”
ชายวัยกลางคนหัวโล้นไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและไม่สำคัญว่าพ่อของเหรินเฉาจะเป็นผู้อำนวยการกรมตำรวจส่วนกลางเพราะตอนนี้เรื่องนี้มันร้ายแรงมากและเขาก็ไม่รู้เลยว่าเย่เชียนจะมาเยือนเขาในอนาคตอีกหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าเย่เชียนจะพูดในตอนนั้นแล้วว่าจะปล่อยตนไปและไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ดังนั้นไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องใช้เงินจากเหรินเฉาเพราะเขาทำให้เกิดหายนะครั้งนี้ไม่เช่นนั้นเขาคงจะขายหน้าลูกน้องและไม่สามารถยืนอยู่บนถนนเส้นนี้ได้อีกต่อไป
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นเหรินเฉาก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งเพราะไม่เพียงแต่ชายวัยกลางคนหัวโล้นทำไม่สำเร็จแต่ตอนนี้เขายังต้องการข่มขู่ตนอีกด้วย ตัวเองซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันมากเกินไปจนเหรินเฉาขมวดคิ้วและพูดว่า “พี่เสือคุณพูดแบบนี้ไม่ได้นะ..ก็เราตกลงกันแล้วหนิว่าถ้าคุณทำสิ่งที่ผมต้องการได้คุณจะได้รับเงิน 30,000 ผมก็บอกไปแล้วนะว่าผมเห็นแก่มิตรภาพของเราผมจึงจะให้คุณเต็มจำนวนแต่ตอนนี้คุณกลับมาขอสามหรือสี่ล้านหยวนจากผม..นี่มันข่มขู่รีดไถกันชัดๆ ..พี่เสือถึงผมจะไม่ได้มีอิทธิพลอะไรขนาดนี้นแต่ผมก็จะไม่ยอมปล่อยให้ใครมาเอาเปรียบหรอกนะ”
แน่นอนว่าเหรินเฉานั้นไม่เต็มใจที่จะให้เงินล้านเหล่านี้และถึงแม้ว่าเขาจะเต็มใจที่จะให้ก็ตามแต่เขาก็ไม่สามารถหาเงินจำนวนมากมายขนาดนั้นมาได้เลยและถ้าพ่อของเขารู้ว่าเขานำเงินจำนวนนี้ไปทำเช่นนี้ล่ะก็เขาคงจะถูกกักบริเวณทั้งชีวิตก็เป็นได้ ดังนั้นเหรินจึงต้องมอบทัศนคติที่รุนแรงและน่าเกรงขามขึ้นไม่เช่นนั้นเขาจะถูกรังแกตลอดไป
ชายวัยกลางคนหัวโล้นก็พูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะแกแล้วพวกเราจะเป็นแบบนี้มั้ย? ..เราจะเสียค่าผ่าตัดและค่าประกันตัวมั้ย? ..เงินสี่ล้านห้าล้านมันน้อยไปเลยด้วยซ้ำ!”
“พี่เสืออย่าข่มเหงคนมากเกินไปเพราะตั้งแต่ที่คุณพูดมาขนาดนี้แล้วผมก็จะบอกความจริงให้ว่าที่จริงแล้วคุณจะไม่ได้เงินแม้แต่หยวนเดียวเพราะคุณต้องเป็นคนรับผิดชอบในการทำเรื่องนี้..เพราะงั้นความผิดพลาดมันก็เกิดจากคุณ..มันไม่มีกฎแบบนี้ในถนนสายนี้หรอก!” เหรินเฉาพูด
“ถ้าแกจะพูดแบบนี้เพื่อจุดประสงค์นี้ก็อย่ามาโทษฉันว่าโหดร้ายก็แล้วกัน..ถ้างั้นวันนี้แกก็ไม่ต้องออกไปจากที่นี่!” ชายวัยกลางคนหัวโล้นพูดด้วยความโกรธเกรี้ยวและเย็นยะเยือก ทันทีที่เสียงพูดจบลงนักเลงทั้งสองก็เดินไปที่ด้านข้างของเหรินเฉาและยกแขนทั้งสองข้างของเหรินเฉาขึ้น
“พี่เสือคิดให้ดีๆ นะ..เพราะพ่อของผมเป็นถึงผู้อำนวยการกรมตำรวจส่วนกลางของมณฑลเหอหนานเลยนะ..ถ้าคุณกล้าที่จะทำแบบนี้ผมบอกได้เลยว่าคุณจะอยู่ในมณฑลเหอหนานไม่ได้อีกต่อไป” ถึงแม้ว่าเหรินเฉาจะรู้สึกกลัวอยู่ในใจก็ตามแต่เขาก็ยังต้องปั้นหน้าเพื่ออ้างอิทธิพลและอำนาจของพ่อเขา
“ไอ้โง่แกคิดว่าตอนนี้ฉันจะอยู่ต่อได้เหรอ..นี่แกไม่เห็นเลยเหรอว่าเราทำให้เย่เชียนกับฮัวซงเจี๋ยขุ่นเคือง..เพราะงั้นตอนนี้เราไม่มีทางไปไหนมาไหนในมณฑลเหอหนานได้แล้ว..ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว!” ชายวัยกลางคนหัวโล้นพูดอย่างเดือดดาล เพราะเขาใช้เสียงดังเกินไปจึงทำให้กระทบแผลตรงซี่โครงของเขา
“ลุกขึ้นมาแล้วโทรไปหาพ่อของแกซะ! ..ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ให้เงินฉัน!” ชายวัยกลางคนหัวโล้นพูดอย่างเคร่งขรึมและเขาก็บ้าไปแล้วจริงๆ เขาจึงต้องการใช้เงินจำนวนนี้เพื่อหลบหนีออกไปจากที่นี่และไม่สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นเหรินชุนไป่ผู้อำนวยการกรมตำรวจส่วนกลาง
“อย่าขยับ..อย่าขยับ! ” เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีเหรินเฉาจึงใช้โอกาสทีเผลอสะบัดออกจากมือของลูกน้องของชายวัยกลางคนหัวโล้นและหยิบปืนพกที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าออกจากเอวของเขาและจ่อไปที่ชายวัยกลางคนหัวโล้นแล้วพูดว่า “นี่เป็นเพราะคุณบังคับผมให้ทำแบบนี้เองนะ..ถ้าคุณขยับก็อย่ามาตำหนิผมก็แล้วกันเพราะงั้นอย่าทำให้ผมตกใจถ้ามือผมสั่นมันคงจะเลวร้ายมาก”
“ไอ้เด็กนี่แกกล้าใช้ปืนเหรอ!” ชายวัยกลางคนหัวโล้นถึงกับผงะ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดว่าเหรินเฉาจะชักปืนออกมาเขาจึงหันไปที่ประตูและตำหนิอย่างดุเดือดเพราะลูกน้องที่โง่เขลากลับปล่อยให้เด็กคนนี้นำปืนเข้าไปโดยไม่ได้ค้นร่างกายก่อน อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนหัวโล้นก็ถือได้ว่าเป็นคนที่เผชิญหน้ากับถนนสายเทาและเขาก็ไม่ได้ตกใจอะไรง่ายๆ เช่นนั้น นอกจากนี้เขายังเดาว่าเหรินเฉาไม่กล้ายิงเพราะท้ายที่สุดแล้วการยิงปืนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลยถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นผู้อำนวยการกรมตำรวจส่วนกลางก็ตามแต่ถึงยังไงมันก็ไม่สามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย
“ถ้าแกกล้าแกก็ยิงเลย..เอาสิอย่าปอดแหก! ” ชายวัยกลางคนหัวโล้นพูด “ที่นี่ลูกน้องของฉันมีตั้งกี่คนถ้าแกคิดว่าแกสามารถฆ่าลูกน้องของฉันด้วยปืนได้สักกี่คนกัน..เพราะงั้นถ้าแกจะยิงก็ยิงมาที่ฉันก่อนคนแรกเลย..ถ้าไม่กล้าก็อย่าคิดที่จะทำ!”
ชายวัยกลางคนหัวโล้นพูดแล้วชี้ไปที่หน้าอกของเขาด้วยท่าทางที่เฉยเมย
“พี่เสืออย่าบังคับผม” เหรินเฉาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “อย่าบังคับให้ผมยิง! ” ขณะที่เหรินเฉาพูดเขาก็ก้าวถอยหลังจนมาถึงกำแพง ซึ่งการที่เขาพกปืนมานั้นเขาก็แค่ใช้เพื่อขู่ให้ชายวัยกลางคนหัวโล้นกลัวแต่เขาไม่กล้ายิงจริงๆ เพราะเขารู้ดีว่าการยิงคนด้วยปืนนั้นมันร้ายแรงแค่ไหนและเมื่อฆ่าใครสักคนไปเขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุก อย่างไรก็ตามเมื่อดูสถานการณ์ปัจจุบันแล้วชายวัยกลางคนหัวโล้นกลับไม่กลัวคำขู่ของตัวเองเลยดังนั้นเขาต้องยิงมันออกไปจริงๆ หรือ?
.
.
.
.
.
.
.