ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 587 คำสั่งเสีย
ตอนที่ 587 คำสั่งเสีย
ถึงแม้ว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะงุนงงที่เย่เชียนนั้นเปลี่ยนอารมณ์และสีหน้าก็ตามแต่เขาก็สบายใจขึ้นกว่าเดิมมากเพราะตราบใดที่เย่เชียนไม่สร้างปัญหาเพิ่มในโรงพยาบาลของเขานั่นก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะถ้าหากเย่เชียนฆ่าหมอโจวจริงๆล่ะก็โรงพยาบาลของเขาต้องเสื่อมเสียอย่างมาก ดังนั้นเมื่อเห็นการแสดงออกของเย่เชียนในตอนนี้แล้วเขาจึงรู้สึกงุนงงในตัวเย่เชียน
คนอย่างเขาที่ใช้ชีวิตมานานหลายปีที่เห็นสิ่งต่างๆ มาหลายอย่างแต่เขาไม่เคยเห็นคนที่หยิ่งผยองเช่นนี้มาก่อนแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนที่หยิ่งผยองและมั่นใจเหมือนกับเย่เชียน
เย่เชียนเองก็ไม่ได้สนใจหมอโจวอีกต่อไปเพราะเย่เชียนแค่ระบายความโกรธของเขาแต่ตอนนี้สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คืออาการของพ่อเพราะฉะนั้นเรื่องอื่นๆ มันก็ไม่สำคัญอะไรเขาจึงตามผู้อำนวยการที่ออฟฟิศพร้อมกับซ่งหลันและหลี่ฮ่าว หลังจากที่พวกเขาไปถึงออฟฟิศผู้อำนวยการก็สั่งให้นางพยาบาลเสิร์ฟชาสองสามถ้วย
เย่เชียนนั้นนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของผู้อำนวยการ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานผู้อำนวยการก็พูดว่า “ผมรู้ข้อมูลอาการของคุณหยางเพราะงั้นผมจะบอกความจริงกับคุณ”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าผู้อำนวยการมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาตรงๆ ได้เลย..เพราะตั้งแต่ผมมาถามอาการผมก็เตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว” ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะสงบเสงี่ยมมากแต่เย่เชียนก็รู้อยู่แก่มจยังรู้สึกในใจมันจึงทำให้เขาสงบลงยากและหวังเสมอว่าสิ่งที่ออกจากปากผู้อำนวยการจะเป็นข่าวดี
ผู้อำนวยการก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “เราได้ตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับอาการป่วยของคุณหยางแล้ว..ซึ่งการทำงานของร่างกายของเขาเสื่อมสภาพอย่างสิ้นเชิงและนี่ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความชราของระบบเผาผลาญในร่างกาย..เพราะงั้นเราไม่มีทางที่จะรักษาได้และสิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือการผัดวันประกันพรุ่งและยื้อลมหายใจของเขาเอาไว้..ทางเราคาดว่าคุณหยางจะอยู่ได้นานที่สุดแค่เดือนเดียว..เพราะงั้นคุณเย่ครับ..ถ้าเป็นไปได้คุณควรจะปล่อยเขาให้หลับไปอย่างสบายจนวาระสุดท้ายจะดีกว่า”
ถึงแม้ว่าซ่งหลันและหลินโรวโร่วจะบอกคำเหล่านี้ให้เขาฟังแล้วและเขาก็เตรียมจิตใจเอาไว้แล้วก็ตามแต่เย่เชียนก็ยังยากที่จะยอมรับคำพูดของผู้อำนวยการ ซึ่งหลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าตอนแรกเขาอยู่ในอาการโคม่าและบางทีก็มีสติและบางครั้งก็สับสนไม่ใช่หรอ? ..แต่วันนี้ผมเห็นว่าอาการของเขาดีขึ้นมากและเขายังพูดได้และหัวเราะได้..ทั้งกินทั้งดื่ม..นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาค่อยๆ หายดีแล้วหรอกเหรอ?”
“คุณเย่ครับ..อันที่จริงนี่เป็นเหมือนอาการย้อนกลับของผู้ป่วยและอีกไม่นานอาการของเขาจะรุนแรงขึ้น..ดังนั้นคุณต้องใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากๆ ตอนที่เขายังมีสติ..และเตรียมตัวเตรียมใจรับคำสั่งเสียและทำสิ่งต่างๆ ให้พร้อม” ผู้อำนวยการพูด
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและเขาก็มึนงงเล็กน้อยและไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่หลี่ฮ่าวกับซ่งหลันก็เช่นกัน เพราะหลังจากเห็นว่าอาการของชายชราดีขึ้นพวกเขาทั้งหมดก็เลยคิดเหมือนกับเย่เชียนโดยคิดว่าอาการของชายชราค่อยๆ ดีขึ้นแต่จู่ๆ พวกเขากลับได้ยินสิ่งนี้ว่ามันเป็นอาการย้อนกลับและนั่นก็แสดงว่าชายชราจะอยู่ได้อีกไม่นาน ถึงแม้ว่าซ่งหลันจะไม่มีพ่อก็ตามแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าไปกับเรื่องนี้
ถึงแม้ว่าเย่เชียนไม่เต็มใจที่จะเชื่อเรื่องนี้มากนักแต่เขาก็ต้องยอมรับมันเพราะเนื่องจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลพูดอย่างนั้นมันก็หมายความว่าพ่อของเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานและสิ่งที่เย่เชียนสามารถทำได้คือเขาต้องอยู่กับพ่อจนวาระสุดท้ายของชีวิต ดังนั้นเย่เชียนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และยืนขึ้นจากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “ขอบคุณมากครับ!”
คำพูดนั้นดูขมขื่นอย่างมากและผู้อำนวยการก็เห็นได้ว่าชายหนุ่มผู้หยิ่งผยองคนนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นลูกผู้ชายแห่งความรักและความชอบธรรมอย่างมาก ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเย่เชียนก่อนหน้านี้แต่เขาก็ชื่นชมพฤติกรรมและการแสดงออกของเย่เชียนในตอนนี้อย่างมาก เพราะสมัยนี้ยังมีคนหนุ่มสาวอยู่สักกี่คนที่เชื่อฟังพ่อแม่ของพวกเขา? ซึ่งหลายคนมักจะคิดถึงมรดกของตนเมื่อรู้ว่าพ่อแม่กำลังจะตายและแม้แต่ครอบครัวที่ร่ำรวยบางครั้งพวกเขาก็ปฏิบัติต่อพ่อกับแม่ของพวกเขาไม่ดี ดังนั้นผู้อำนวยการจึงชื่นชมชายหนุ่มอย่างเย่เชียนและเขาก็เห็นว่าการแสดงออกของเย่เชียนนั้นไม่ได้เสแสร้งเลยและมันก็เป็นความเศร้าที่แท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจและยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำต่อหน้าเขาเลย
ผู้อำนวยการก็ยื่นมือออกมาและจับมือเย่เชียนเบาๆ แล้วพูดว่า “เสียใจด้วยนะครับ..แต่นี่คือสิ่งที่เราควรจะทำ”
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “ผมขอตัวก่อนนะครับ” หลังจากพูดเช่นนั้นเย่เชียนก็หันหลังเดินออกจากออฟฟิศของผู้อำนวยการไปที่ห้องพักของชายชรา ซึ่งระหว่างทางเย่เชียนก็หันไปมองหลี่ฮ่าวและซ่งหลันโดยบอกพวกเขาว่าอย่าพูดอะไรกับพ่อของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้และปล่อยให้โชคชะตาและเวลาเป็นไปตามกำหนด
หลังจากที่เห็นเย่เชียน,หลี่ฮ่าวและซ่งหลันกลับมาพ่อก็หยุดเล่นกับเย่หลินแล้วยิ้มให้เย่เชียนจากนั้นก็พูดว่า “เสี่ยวเอ๋อมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ..ทำไมข้างนอกดูวุ่นวายกันจัง? ”
“ไม่มีอะไรครับก็แค่คนทะเลาะกันน่ะ” เย่เชียนพูดเบาๆ
“อ๋อ! ” ชายชราตอบและมองไปที่หลี่ฮ่าวจากนั้นก็มองไปที่เย่เชียนและคาดเดาบางอย่างที่อยู่ในใจของพวกเขาได้ ซึ่งทั้งเย่เชียนและหลี่ฮ่าวได้รับการเลี้ยงดูจากเขามาตั้งแต่เด็กและบางทีเย่เชียนนั้นสามารถซ่อนหลายสิ่งหลายอย่างจากคนอื่นได้แต่เขาไม่สามารถซ่อนจากพ่อได้
“พ่อ..ผมเพิ่งจะไปหาผู้อำนวยการโรงพยาบาลมา..ผมไปถามถึงอาการของพ่อและเขาก็บอกว่าพ่อหายดีแล้วและจะออกจากโรงพยาบาลได้ในเร็วๆ นี้” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มและพยายามทำให้การแสดงออกของเขาดูราวกับว่ามันไม่มีอะไรซ่อนอยู่
“ใช่ค่ะคุณปู่..เราจะได้ไปดิสนีย์แลนด์เร็วๆ นี้แล้ว..หลินหลินกำลังจะได้นั่งรถไฟเหาะกับคุณปู่..คุณปู่กลัวรถไฟเหาะหรือเปล่าคะ?” เด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ พูดด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
เรื่องแบบนั้นชายชราไม่เคยสัมผัสมันเลยเพราะตลอดชีวิตของเขานั้นเขาเป็นเพียงแค่คนเก็บขยะที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าสามเสมอมา หลังจากนั้นชายชราก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ปู่ไม่กล้านั่งรถไฟเหาะหรอก..ปู่แก่แล้ว”
มีความขมขื่นเล็กน้อยในรอยยิ้มแต่ชายชราก็ปกปิดมันเอาไว้อย่างดีและไม่มีใครมองเห็นได้ ว่ากันว่าเมื่อคนกำลังจะตายนั้นจิตก็จะอยู่ในสภาพที่ต่างไปจากเดิมมาก ซึ่งมันมักจะเกิดขึ้นกับคนแก่และพวกเขาก็รู้ตัวดีว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้พี่ใหญ่กลับไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาซึ่งต่างจากคนอื่นๆ ที่มาที่นี่เพื่ออยู่กับเขาแต่แค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้ว
ทุกคนนั้นอยู่กับชายชราในห้องพักจนกระทั่งถึงช่วงเย็นและชายชราก็ดูเหนื่อยเล็กน้อยดังนั้นเย่เชียนจึงบอกให้ซ่งหลันและหลินโรวโร่วพาเย่หลินกลับไปก่อน ส่วนลูกของหลี่ฮ่าวนั้นก็หลับไปแล้วดังนั้นเย่เชียนจึงบอกให้หลี่ฮ่าวปล่อยภรรยาและลูกของเขากลับไปก่อน
ชายชรานั้นเกิดหิวขึ้นมาตอนกลางคืนเย่เชียนจึงไปซื้อโจ๊กชามใหญ่และหมูตุ๋นให้กิน ซึ่งหมูตุ๋นนั้นเป็นอาหารโปรดของชายชราแต่เขานั้นยากจนจึงไม่กล้าซื้อกินเลย แต่ชายชรามักจะซื้อของเหล่านี้มาในวันปีใหม่ของทุกๆ ปีแต่เขาก็โกหกลูกๆ ว่ากลัวอ้วนดังนั้นเขาจึงไม่กินและปล่อยให้ลูกๆ กินกันอย่างมีความสุข
“เซว่เซว่..เสี่ยวหลี่พวกเอ็งไปพักกันเถอะ..พ่อมีเรื่องอยากจะคุยกับเสี่ยวเอ๋อ” ชายชรามองไปที่หลี่ฮ่าวและฮันเซว่แล้วพูด
หลี่ฮ่าวและฮันเซว่ต่างก็ตกตะลึงแต่พวกเขาก็ออกจากห้องพักไปอย่างเชื่อฟังและค่อยๆ ปิดประตู “หลังจากพูดคุยกันมาทั้งวันพ่อก็เลยเหนื่อยนิดหน่อยน่ะเหอะๆ ..เสี่ยวเอ๋อช่วยพยุงพ่อลงนอนหน่อยสิ” ชายชราพูดด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มนั้นไม่ร่าเริงเหมือนในตอนกลางวันและแม้แต่ในดวงตาก็ไม่สดใสเหมือนในตอนกลางวันเช่นกันราวกับว่ามันค่อยๆ หรี่ลง
เมื่อเห็นฉากนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านและเขาก็รู้แล้วว่าผู้อำนวยการไม่ได้โกหกเพราะอาการป่วยของพ่อนั้นย้อนกลับมาแล้วจริงๆ และเย่เชียนก็กลัวว่าคืนนี้เขาจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วใช่ไหม? เมื่อนึกถึงสิ่งนี้หัวใจของเย่เชียนก็เจ็บปวดโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้และหลังจากช่วยชายชราให้นอนลงแล้วเย่เชียนก็เปิดปากพูดแต่คำพูดเหล่านั้นก็สำลักอยู่ในลำคอและพูดไม่ได้ซึ่งเขากลัวว่าเมื่ออ้าปากออกมาเขาอาจจะร้องไห้ก็เป็นได้
ชายชราก็ยิ้มและจับมือของเย่เชียนแล้วพูดว่า “เด็กโง่เอ๋ย..เอ็งไม่จำเป็นต้องซ่อนมันจากพ่อหรอก..พ่อน่ะรู้เรื่องของตัวเองดีที่สุด..พ่อคิดว่าคืนนี้พ่อคงจะผ่านมันไปไม่ได้..แต่โชคดีที่เอ็งอยู่ที่นี่คอยเคียงข้างพ่อ..เราสองคนไม่ได้พูดคุยเรื่องต่างๆ กันมาตั้งนานแล้วสินะ”
“ไม่! ..พ่อจะไม่เป็นอะไร..อีกไม่นานอาการของพ่อจะดีขึ้น” เย่เชียนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ และน้ำเสียงของเขาก็แหบแห้งอย่างชัดเจน
“อย่าพูดถึงเรื่องไร้สาระพวกนี้เลย..เพราะการที่คนแก่จะตายมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” ชายชราพูด “ไม่มีอะไรต้องเศร้าไปหรอก.. พ่ออยู่มานานมากพอแล้ว..ให้ตายสิมันถึงเวลาไปหาเมียฉันแล้วสินะ..เธอรอพ่อมาหลายสิบปีแล้ว..แต่พ่อคงจะไม่ไปหาเธอหรอกเพราะเธอคงจะตำหนิฉันแน่ๆ เมื่อเราเจอกันเหอะๆ ”
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาเย่เชียนนั้นไม่รู้เลยว่าชายชรามีภรรยาด้วย ดังนั้นเขาจึงคิดว่าพ่อของเขาอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอดและยิ่งไปกว่านั้นเพื่อนบ้านยังพูดกันอีกว่าในชีวิตนี้ชายชรานั้นยังไม่เคยแต่งงานเลย ดังนั้น เย่เชียนจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อจู่ๆ พ่อของเขาบอกว่าเขาเคยมีภรรยามาก่อน
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะทุกๆ ปีในช่วงเทศกาลเช็งเม้งชายชรามักจะเมาและเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ไหนแต่มักจะพูดว่าจะไปหาภรรยาเสมอ
“เอ็งคงจะประหลาดใจสินะ..แต่เรื่องราวของพ่อเนี่ยมันช่างเลวร้ายจริงๆ และพ่อก็คิดว่าเอ็งคงจะไม่อยากฟังมันหรอกเพราะพ่อกำลังจะตาย..พ่อเลยอยากบอกเอ็งว่าในอนาคตอย่าลืมเผากระดาษในช่วงเทศกาลเช็งเม้งล่ะและก็เผาเครื่องหอมให้พ่อด้วย” ชายชราพูดอย่างช้าๆ “โบราณกล่าวเอาไว้ว่าโลกหลังความตายผู้คนจะได้อยู่รวมกัน..แต่ก็นะไม่มีใครรู้หรอกว่าจริงๆ แล้วมันเป็นยังไง..เพราะงั้นหลังจากที่พ่อตายไปแล้วเอ็งต้องเอาขี้เถ้าของพ่อไปโปรยลงในแม่น้ำหวงผู่ด้วยล่ะ..เพื่อที่เราจะได้อยู่ใกล้ๆกัน”
“ได้ครับพ่อ! ” เย่เชียนพยักหน้าเบาๆ และในเวลานี้สิ่งที่เขาทำได้คือยอมรับคำสั่งเสียของชายชราเท่านั้นและมันก็ไม่มีประโยชน์แล้วที่จะพูดคำเหล่านั้น
“เสี่ยวเอ๋อ..อันที่จริงแล้วเอ็งคือคนที่พ่อเป็นห่วงมากที่สุด” ชายชราพูด “ถึงแม้เอ็งจะดื้อจะซนที่สุดแต่พ่อก็ยังรักเอ็งมากที่สุดเช่นกัน..เพราะเอ็งคล้ายกับพ่อตอนเด็กมากๆ”
.
.
.
.
.
.
.