ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 590 สงครามระหว่างพ่อตากับลูกเขย
ตอนที่ 590 สงครามระหว่างพ่อตากับลูกเขย
พฤติกรรมของหมาป่าผีไป๋ฮวยดูผิดปกติไปดังนั้นเย่เชียนจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่ในวันนี้ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ดีใจมากที่หมาป่าผีไป๋ฮวยมาในวันนี้ ซึ่งเย่เชียนก็รู้จักนิสัยของหมาป่าผีไป๋ฮวยเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงไม่ให้แจ็คทักทายเขาและปล่อยหมาป่าผีไป๋ฮวยจัดการดูแลตัวเอง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไป๋ฮวย! ” เมื่อเห็นหมาป่าผีไป๋ฮวยหลินเฟิงก็ทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“นายไม่ได้จับตามองฉันอยู่หรอกเหรอ” หมาป่าผีไป๋ฮวยพูดเบาๆ
หลินเฟิงก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็หัวเราะเพราะแท้จริงแล้วหลินเฟิงให้ความสนใจเกี่ยวกับการกระทำและการเคลื่อนไหวของหมาป่าผีไป๋ฮวยมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ลอบสังหารจำนวนมากในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลินเฟิงจึงสามารถรู้ได้ว่าหมาป่าผีไป๋ฮวยอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้และเมื่อเย่เชียนถามเขาหลินเฟิงเลยตอบแบบนั้น “เหอะๆ ..ไม่มีอะไรหลบซ่อนไปจากสายตาของนายได้จริงๆ สินะ” หลินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็หันหน้าและเหลือบไปที่หวังยู่ซึ่งอยู่ข้างๆ หมาป่าผีไป๋ฮวยจากนั้นหลินเฟิงก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนนายจะมีความสุขมากเลยสินะในตอนนี้..นายมีคู่ครองอยู่เตงข้างแบบนี้ฉันล่ะอิจฉาคนจริงๆ ”
“นายอิจฉางั้นเหรอ? ..เดี๋ยวฉันจะแนะนำสาวๆ คนอื่นให้ในวันหลัง” หมาป่าผีไป๋ฮวยก็ยังคงมีน้ำเสียงที่แผ่วเบา ซึ่งคนธรรมดาอาจคิดว่านี่คือความหยิ่งยโสของหมาป่าผีไป๋ฮวยหรือเยาะเย้ยแต่หลินเฟิงนั้นรู้ถึงนิสัยหมาป่าผีไป๋ฮวย ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาจึงไม่คิดอย่างนั้น ถึงแม้ว่าหลินเฟิงกับหมาป่าผีไป๋ฮวยจะเคยพบกันเพียงแค่ครั้งเดียวหรือสองครั้งแต่บางครั้งความสัมพันธ์ระหว่างชายสองคนก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรมากขนาดนั้นตราบใดที่พวกเขาเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกันก็พอ
“ถ้างั้นฉันก็ขอบคุณล่วงหน้าเลยก็แล้วกันฮ่าๆ ” หลินเฟิงพูด
“เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง” หมาป่าผีไป๋ฮวยก็พยักหน้าให้หลินเฟิงจากนั้นก็เดินไปทางหวังปิง
เมื่อเห็นไป๋ฮวยเดินเข้ามาหาเขาเช่นนี้หวังปิงจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเพราะคิดว่าชายหนุ่มคนนี้ยังมีสัมมาคารวะและมารยาทอยู่บ้างและรู้ว่าเขาคงจะมาทักทาย “พ่อ!” หวังยู่พูดเบาๆ เมื่อเดินไปข้างๆ หวังปิง
“อืม!” หวังผิงตอบอย่างเฉยเมยและจ้องไปที่ร่างของไป๋ฮวยแล้วพูดว่า “ทำไมลูกถึงไม่แนะนำให้พ่อรู้จักหน่อยล่ะ!” เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคุยกับหวังยู่แต่น้ำเสียงของเขากำลังตำหนิไป๋ฮวยอยู่
“แซ่สกุลของผมคือไป๋..ไป๋ฮวย..ผมอยากจะบอกคุณว่าผมกำลังคบกับหวังยู่ครับ” หมาป่าผีไป๋ฮวยพูด
เย่เชียนกับหลินเฟิงนั้นรู้ดีว่าน้ำเสียงของหมาป่าผีไป๋ฮวยมักจะแข็งกระด้างและเย็นชาอยู่ตลอดเวลาแต่เขาก็ไม่มีความอาฆาตพยาบาทหรือความเย้ยหยันอยู่ในนั้นแต่นี่เป็นครั้งแรกที่หวังปิงได้พบกับหมาป่าผีไป๋ฮวย ดังนั้นหวังปิงจึงโกรธและไม่สบอารมณ์อย่างมากเมื่อได้ยินน้ำเสียงของหมาป่าผีไป๋ฮวย ดังนั้นหวังปิงจึงสาปแช่งในใจว่า ‘แค่สุภาพนิดหน่อยและทักทายกันก่อนมันลำบากมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“หืม!” หวังปิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “จริงเหรอ? ..แต่ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลย”
“ผมไม่ได้มาเพื่อขออนุญาตคุณ..ผมแค่จะมาบอกคุณและมันก็ไม่สำคัญว่าคุณจะเห็นด้วยหรือเปล่า” หมาป่าผีไป๋ฮวยพูด
“นี่แก…” หวังปิงตัวสั่นด้วยความโกรธและเขาก็อยากจะโกรธแต่เขาตระหนักได้ว่านี่คืองานพิธีไว้ทุกข์พ่อของเย่เชียนดังนั้นเขาจึงไม่ควรสร้างปัญหาในเวลานี้เพราะงั้นเขาจึงต้องระงับความโกรธของเขาและดึงหวังยู่ไปด้านข้างและกระซิบเบาๆ ว่า “นี่ลูกคิดอะไรกันอยู่..วันนี้ลูกต้องกลับไปกับพ่อ..ลูกจะไปไหนไม่ได้ถ้าพ่อไม่อนุญาต”
“พ่อ…” หวังยู่พูด
“ทำไม..จะไม่ฟังพ่อเหรอ” หวังปิงเหลือบมองหวังยู่แล้วพูด ซึ่งเขานั้นรักลูกคนนี้มาโดยตลอดและตั้งแต่เด็กเขาก็ไม่เคยดุเธอเสียงดังเลยสักครั้งแล้วนับประสาอะไรกับการทุบตีเธอ อย่างไรก็ตามในวันนี้เขากลับโกรธมากเพราะถ้าหวังยู่อยากจะมีคนรักแต่อย่างน้อยๆ เธอก็ควรหาคนที่รู้สัมมาคารวะสักหน่อยใช่ไหม? ซึ่งต่อให้ผู้ชายคนนั้นจะมีฐานะดีแค่ไหนแต่ถ้าเขาคนนั้นไม่มีมารยาทแล้วอย่างอื่นมันจะสำคัญอะไร?
หวังยู่ก็เหลือบไป๋ฮวยอย่างขุ่นเคืองและเห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะเลือกระหว่างพ่อของเธอหรือไป๋ฮวยเพราะเมื่อมองดูสถานการณ์ดังกล่าวแล้วพ่อของเธอไม่พอใจไป๋ฮวยอย่างมาก ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งต่างๆ จะกลายเป็นแบบนี้และนั่นก็เป็นเพราะไป๋ฮวยเพราะเดิมทีพ่อของเธอก็ดูปกติแต่เมื่อไป๋ฮวยใช้น้ำเสียงที่แข็งกร้าวจึงทำให้พ่อของเธอไม่สบอารมณ์ ในความเป็นจริงเป็นเวลานานแล้วที่เธอได้รู้จักกับไป๋ฮวยดังนั้นเธอจึงเข้าใจนิสัยอารมณ์ของไป๋ฮวยได้และรู้ดีว่าเขาไม่ได้ดูหมิ่นหรือเย้ยหยันพ่อของเธอแต่เป็นเพียงวิธีการที่เขาพูดเท่านั้น
ไป๋ฮวยก็ยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “แล้วคุณสามารถดูแลเธอไปตลอดชีวิตได้ไหมล่ะ? ..ผมพูดไปแล้วและผมก็จะพาหวางยู่ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
หวังปิงรู้สึกโกรธมากเพราะชายหนุ่มคนนี้หยิ่งผยองเกินไป ซึ่งสถานะของเขาเป็นถึงผู้ว่าการเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้และเขาก็เป็นพ่อของหวังยู่ด้วยเพราะงั้นไม่ว่าจะยังไงเวลามีใครมาพูดกับเขามันก็ไม่ควรจะมีทัศนคติแบบนี้ใช่ไหม? ถ้านี่ไม่ใช่พิธีไว้ทุกข์พ่อของเย่เชียนล่ะก็หวังปิงคงจะสั่งสอนบทเรียนให้แก่ชายหนุ่มคนนี้อย่างรุนแรงแน่นอน
เย่เชียนก็เห็นสถานการณ์ที่นี่เช่นกันและเมื่อเห็นหวังปิงไม่สบอารมณ์เช่นนี้เขาก็รู้แล้วว่าทุกอย่างจะต้องยุ่งเหยิง ซึ่งเย่เชียนนั้นรู้จักหมาป่าผีไป๋ฮวยมากกว่าใครและเข้าใจว่าหวังปิงจะต้องโกรธเกรี้ยวและเขาก็กลัวจริงๆ ว่าหวังปิงจะอดทนต่อไปไม่ไหว ซึ่งเย่เชียนก็ไม่รู้เลยว่าหากหวังปิงทำเช่นนั้นหมาป่าผีไป๋ฮวยนี้จะสู้เขากลับหรือไม่และมันคงเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจอย่างมากจนเย่เชียนถึงกับส่ายหัวและลุกขึ้นจากนั้นก็เดินไปหาหวังปิง
เย่เชียนก็พยักหน้าให้ไป๋ฮวยแล้วพูดว่า “ผู้ว่าการหวังทำไมคุณถึงได้โกรธแบบนี้ล่ะช่วยไว้หน้าผมหน่อยนะครับ..ถ้าคุณมีอะไรก็ค่อยๆ จัดการในภายหลังดีกว่า..ส่วนในความคิดของผมน่ะพวกเขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง..ซึ่งพ่อแม่ก็เป็นพ่อแม่และมีสิทธิ์เป็นห่วงแต่พ่อแม่ก็ไม่สามารถคอยดูแลลูกๆ ได้ตลอดใช่ไหมล่ะครับ”
คำพูดของเย่เชียนนั้นไพเราะมากและหวังปิงเองก็เข้าใจความจริงข้อนี้เช่นกันและอันที่จริงเขาก็ไม่เคยคิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของหวังยู่หากไป๋ฮวยไม่ได้พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้เขาก็คงจะไม่ทำแบบนี้ แต่ทว่าในตอนนี้เย่เชียนก็เข้ามาพูดเช่นนี้และยังเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไป๋ฮวยกับเย่เชียนนั้นไม่ธรรมดาอีกอย่างเรื่องต่างๆ มันก็เป็นเรื่องของครอบครัวเขาเองจึงไม่เหมาะสมที่จะแก้ไขหรือจัดการที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นแขกที่มาเข้าร่วมงานในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นดาราคนดังจากทุกวงการและผู้มีอิทธิพลทั่วโลกดังนั้นถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็เขาคงจะมีปัญหามากมายและไม่สามารถหาทางออกได้เลย
หวังปิงก็ปล่อยแขนหวังยู่และบ่นอย่างโกรธเคืองว่า “เอาไว้พวกเราค่อยมาคุยกันทีหลัง”
“พ่อนู๋ขอโทษ..แต่นู๋รักไป๋ฮวยจริงๆ ” หวังยู่พูด “อย่าโกรธเคืองเขาเลยเพราะน้ำเสียงของเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก..เขาไม่ได้มีเจตนาจะทำให้พ่อขุ่นเคืองเลย”
ขณะที่หวังยู่พูดเธอก็ดึงแขนเสื้อของไป๋ฮวยเอาไว้จากนั้นไป๋ฮวยก็พูดว่า “ลุงครับ..ผมรักหวังยู่จริงๆ ..ผมจะมอบความสุขให้กับเธอ..ลุงไม่ต้องกังวลไป..และถ้าคำพูดของผมทำให้ลุงขุ่นเคืองล่ะก็ผมขอโทษด้วย..ถ้างั้นผมขอตัวไปก่อนนะเอาไว้คราวหน้าเมื่อมีโอกาสผมจะไปเยี่ยมลุง” เมื่อไป๋ฮวยพูดจบเขาก็พาหวังยู่เดินออกจากงานศพไป
เย่เชียนก็ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงหากเป็นเมื่อก่อนคนอย่างหมาป่าผีไป๋ฮวยคงจะไม่พูดเช่นนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าชิงเฟิงจะพูดถูกว่าบุรุษเหล็กมักจะแพ้สตรีแห่งความงามเสมอซึ่งมันสามารถทำให้คนอย่างหมาป่าผีไป๋ฮวยเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าหวังยู่จะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถทำแบบนี้ได้ แต่ทว่าถึงแม้ว่าความโกรธของหวังปิงจะลดลงแล้วก็ตามแต่ถึงยังไงเขาก็ยังไม่พอใจไป๋ฮวยอยู่ดีและท้ายที่สุดเขาก็ได้ตัดสินไป๋ฮวยในด้านลบไปแล้วว่าไป๋ฮวยไม่เหมาะที่จะใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวของเขานั่นเอง
เนื่องจากไป๋ฮวยจับมือของหวังยู่และเดินจากไปแบบนั้นหวังยู่จังหันกลับมามองไปที่หวังปิงพ่อของเธอแต่ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากจะปล่อยให้เวลาค่อยๆ ช่วยบั่นทอนและลดความโกรธเคืองของหวังปิงที่มีต่อไป๋ฮวย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้หมาป่าผีไป๋ฮวยก็มองเห็นได้โดยธรรมชาติแต่เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมาและไม่รู้ว่าจะแสดงความคิดภายในที่แท้จริงของเขาให้ออกมาได้อย่างไรแต่เขาก็ยังรู้ว่าความห่วงใยนั้นคืออะไรซึ่งมันก็คือความรักนั่นเอง
เมื่อมองดูหมาป่าผีไป๋ฮวยและหวังยู่ออกไปหวังปิงก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “เห้อ..ฉันน่ะไม่ได้ห้ามพวกเขาที่พวกเขาจะอยู่ด้วยกัน..แต่พ่อหนุ่มคนนั้นเย่อหยิ่งเกินไป..ในฐานะที่ฉันเป็นพ่อของเสี่ยวยู่เขาก็ควรจะให้เกียรติฉันสักหน่อยก็ยังดี..แต่แบบนี้มันดูเย้ยหยันกันเกินไป”
เย่เชียนก็ตบบ่าของหวังปิงเบาๆ และพูดว่า “เอาหน่า..ลูกๆ หลานๆ ก็ควรจะมีครอบครัวเป็นของตัวเอง..ผมเองก็เชื่อว่าหวังยู่จะไม่เสียใจที่อยู่กับเขาและเธอจะมีความสุขอย่างแน่นอน..เขาน่ะมักจะพูดแบบนี้เสมอแต่ถ้าคุณได้รู้จักเขาจริงๆ ล่ะก็เขาเป็นชายหนุ่มที่ดีมากๆ คนหนึ่งเลยล่ะ”
หวังปิงก็หันหน้าไปมองเย่เชียนและถามว่า “ดูเหมือนว่าเสี่ยวเย่จะรู้จักเขาสินะ..เพราะงั้นรู้ที่มาของเขาไหม..เขาเป็นใครกันแน่? ”
“ผมพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะเขาไม่ชอบให้คนอื่นพูดถึงเขามากเกินไปน่ะ..แต่ผมบอกได้แค่ว่าเขาเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของผม” เย่เชียนพูด
หวังปิงก็มองออกไปข้างนอกอย่างว่างเปล่าแต่เงาของไป๋ฮวยกับหวังยู่นั้นก็หายไปแล้ว ซึ่งหวังปิงสามารถรู้ได้จากคำพูดของเย่เชียนว่าตัวตนของไป๋ฮวยนั้นไม่ธรรมดาแต่หวังปิงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับฐานะหรือแม้แต่ภูมิหลังครอบครัวของไป๋ฮวยเลยแต่สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ ก็คือตัวตนและสถานะของไป๋ฮวยว่าคนอย่างไป๋ฮวยนั้นสามารถรักลูกสาวของเขาได้จริงๆ แล้วจะดีกับลูกสาวของเขาไปตลอดได้หรือเปล่านั่นเอง ดั่งที่เย่เชียนพูดเมื่อครู่นี้ว่าลูกหลานต่างก็ต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
พิธีงานศพค่อยๆ สิ้นสุดลงส่วนงานเลี้ยงอาหารค่ำก็จัดขึ้นในโรงแรมที่หรูหราที่สุด ณ ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งแจ็คได้รับมอบหมายให้จัดการความปลอยภัยของโรงแรมทั้งหมด ซึ่งภายในโรงแรมถูกแบ่งออกเป็นงานเลี้ยงระดับต่างๆ และให้ความบันเทิงกับแขกที่แตกต่างกันเพราะแขกทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของงานดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สามารถละเลยได้แต่เขานั้นไม่ถนัดเรื่องแบบนี้เขาจึงให้ชิงเฟิงและแจ็ครับผิดชอบในงานเลี้ยงและให้ความบันเทิงแก่บรรดาแขก
เย่เชียนก็ไปตรวจดูความเรียบร้อยที่โรงแรมอยู่พักหนึ่งจากนั้นเขาก็กลับไปที่งานศพ ส่วนเหล่าสาวๆอย่างจ้าวหยา,ซ่งหลัน,หลินโรวโร่ว,หูวเค่อ,ฉินหยูและคนอื่นๆนั้นเย่เชียนบอกให้พวกเธอกลับไปพักก่อนโดยเฉพาะฉินหยูเพราะเธอต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางที่ยาวนานและต้องอุ้มเด็กมาด้วย
.
.
.
.
.
.
.
.