ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 592 พิธีศพ ตอนที่ 1
ตอนที่ 592 พิธีศพ ตอนที่ 1
ขณะพูดเย่เชียนก็มองไปที่หลินโรวโร่วซึ่งตกตะลึงและสูญเสียอาการไปเล็กน้อยเพราะเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่เย่เชียนตกหลุมรักและแฟนคนแรกของเย่เชียนและเป็นคนที่เย่เชียนยอมรับอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ นอกจากนี้เธอยังมีบทบาทที่สำคัญที่สุดในหัวใจของเย่เชียนอีกด้วย
จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองจ้าวหยาและหูวเค่อจากนั้นก็พูดอย่างช้าๆ ว่า “พวกเธอก็ด้วย..ฉันน่ะจำได้ว่าฉินหยูเป็นอาจารย์และหยาเอ๋อเป็นนักศึกษาส่วนเค่อเอ๋อก็ดูแลจัดการสโมสร..พวกเธอแต่ละคนล้วนมีเสน่ห์เป็นของตัวเองมากและมีเสน่ห์ที่ไม่ด้อยไปกว่าใครเลย..แต่พวกคุณทุกคนกลับได้รับความทุกข์ทรมานมามากมายเพราะฉัน..ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเป็นหนี้พวกเธอทุกคนและชีวิตนี้ฉันคงจะใช้ให้พวกเธอไม่หมด”
ซ่งหลันนั้นเป็นคนที่เข้มแข็งมาโดยตลอดแต่ในเวลานี้ซ่งหลันกลับร้องไห้สะอึกสะอื้นมากที่สุดด้วยอารมณ์ที่มากมาย เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “แน่นอนว่าผมเป็นหนี้พี่หลันมากที่สุด..เนื่องจากพี่ต้องถอนตัวออกมาจากองค์กรดาร์คลิลลี่และติดตามผมเพื่อช่วยผมต่อสู้และเผชิญหน้ากับโลกภายนอกมานานแต่พี่กลับไม่เคยขออะไรเลย..พูดได้เลยว่าถ้าไม่มีพี่หลันก็คงจะไม่มีเขี้ยวหมาป่าเหมือนทุกวันนี้หรอก.. จริงๆ แล้วผมรู้ดีว่าพี่หลันรู้สึกยังไงกับผมแต่ผมน่ะทำไม่ได้เพราะสิ่งที่ผมมอบให้พี่มันเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ที่สุดและนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมพยายามหนีหน้าพี่..แต่ภายในใจของผมน่ะผมรักพี่หลันจริงๆ”
บางสิ่งบางอย่างต้องได้รับการแก้ไขหลังจากผ่านมานานแล้วและบางสิ่งบางอย่างก็ต้องพูดให้ชัดเจนเมื่อถึงเวลาและเมื่อเริ่มแล้วเย่เชียนก็พร้อมที่จะชี้แจงทุกสิ่งอย่างละเอียดในวันนี้และพูดให้ชัดเจนทั้งหมด ซึ่งไม่ว่าพวกเธอจะเลือกอย่างไรถึงยังไงเย่เชียนก็จะไม่ตำหนิพวกเธอและจะเข้าใจพวกเธอเป็นอย่างดี
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เย่เชียนก็พูดว่า “ผมรู้สึกเสียใจและขอโทษพวกคุณทุกคนจริงๆ ..พูดตรงๆ ว่าผมรักพวกคุณทุกคนและเป็นความรักที่เหมือนกันยกเว้นพี่หลัน..พวกคุณอาจจะไม่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผมแต่ชีวิตของผมน่ะมีแต่อันตรายและมีขวากหนามอยู่ข้างหน้าผมเสมอและถ้าวันไหนผมไม่ระวังผมก็อาจจะตายได้ทุกเมื่อโดยไม่มีแม้แต่หลุมฝังศพ..เพราะงั้นไม่ว่าพวกคุณจะเลือกยังไงผมก็จะไม่โทษพวกคุณ..ซึ่งหลังจากงานศพของพ่อจบลงผมอาจจะต้องจากไปสักพักและอาจจะเป็นเพราะผมกดดันตัวเองมากเกินไป..ตอนนี้ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเส้นทางของผมควรจะไปต่อแบบไหน”
สิ่งที่เย่เชียนพูดไม่ใช่สิ่งจอมปลอมแต่มันคือความจริงและสิ่งที่อยู่ในใจของเขาเสมอมา ซึ่งซ่งหลันและผู้หญิงคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกประทับใจมากเพราะแท้จริงแล้วพวกเธอก็รักเย่เชียนเช่นกันและความรักบางทีก็คือการเห็นแก่ตัวเพราะพวกเธอต้องการครอบครองเย่เชียนเพียงผู้เดียวแต่ความรักก็เป็นสิ่งยิ่งใหญ่เช่นกันเพราะพวกเธอเองก็ยินดีที่จะเคียงข้างเย่เชียนและเต็มใจที่จะอดทนต่อความเจ็บปวดต่างๆ เพื่อเย่เชียน
“เอาล่ะ..พวกคุณไปพักผ่อนกันเถอะ..พรุ่งนี้ผมต้องส่งพ่อขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ตั้งแต่เช้า” เย่เชียนพูด “ผมสัญญาว่าผมจะออกจากนรกขุมนี้ให้เร็วที่สุดและมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับพวกคุณให้ได้”
หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เดินขึ้นไปที่ชั้นบนโดยไม่ให้โอกาสผู้หญิงคนใดได้พูดและไม่ว่าเป็นเพราะเย่เชียนกลัวหรือกังวลก็ตามถึงยังไงเขาก็ไม่ต้องการที่จะได้ยินความคิดเห็นของสาวๆ ในเวลานั้นเพราะเขากลัวว่าพวกเธอจะยังรับไม่ได้และยังตัดสินใจไม่ได้แล้วพวกเธอจะตอบตกลงที่จะอยู่กับเขาเพราะไม่กล้าที่จะปฏิเสธในตอนนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเย่เชียนยังมีความเจ็บปวดจากก้นบึ้งของหัวใจที่ยังไม่หายดีอยู่นั่นเอง
เมื่อร่างของเย่เชียนค่อยๆ จางหายไปจากบันไดนั้นเหล่าหญิงสาวต่างก็มองหน้ากันและหัวใจของพวกเธอก็ไม่มั่นคงนักและพวกเธอก็จำเป็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเธอกับเย่เชียน อย่างไรก็ตาม พวกเธอต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าฉินหยูได้มีลูกกับเย่เชียนแล้วและแน่นอนว่าเย่เชียนจะไม่ยอมเลิกกับฉินหยูอย่างแน่นอนและเป็นไปไม่ได้ที่เย่เชียนจะละทิ้งพวกเธอคนใดคนหนึ่งไป ดังนั้นถ้าหากพวกเธอเลือกเย่เชียนนั่นก็หมายความว่าพวกเธอก็เลือกผู้หญิงคนอื่นด้วย
ในความเป็นจริงแล้วซ่งหลันและฉินหยูนั้นไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะเมื่อฉินหยูตกหลุมรักเย่เชียนและสารภาพรักกับเย่เชียนในครั้งนั้นเธอก็รู้ดีว่าเย่เชียนนั้นมีแฟนสาวอย่างหลินโรวโร่วแล้วและเธอก็ได้เจรจากับหลินโรวโร่วเอาไว้แล้ว ซึ่งฉินหยูนั้นก็ยอมรับกับการที่เย่เชียนมีผู้หญิงคนอื่นได้แล้วเพราะท้ายที่สุดเธอเองก็เติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้เพราะพ่อของเธอเองก็มีภรรยาหลายคนดังนั้นเธอจึงเปิดใจได้มากกว่าคนอื่น
สำหรับซ่งหลันนั้นเธอไม่เคยคัดค้านเรื่องที่เย่เชียนมีผู้หญิงอื่นและยิ่งไปกว่านั้นการที่เย่เชียนแสดงความรักต่อหน้าคนอื่นในวันนี้เธอก็มีความสุขมากแล้วและเธอจะห่วงใยผู้หญิงคนอื่นเลยด้วยซ้ำ
เย่เชียนนั้นไม่ได้ยินการสนทนาระหว่างสาวๆ และเขาก็ไม่รู้ว่าพวกเธอพูดอะไรกัน ดังนั้นเมื่อเขาตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นเย่เชียนก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเกี่ยวกับสาวๆ เพราะพวกเธอยังคงพูดคุยและหัวเราะกันเหมือนเมื่อวานโดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ของเย่เชียนเพราะแท้ที่จริงแล้วพวกเธอทั้งหมดถือว่าเป็นเพื่อนและพี่สาวน้องสาวกันทั้งนั้นและสิ่งเดียวที่ทำให้เย่เชียนประหลาดใจก็คือพวกสาวๆ ไม่พูดกับเขาและดูเหมือนว่าพวกเธอจะไม่ได้มองเขาเลยด้วยซ้ำ ยกเว้นฉินหยูนั้นเย่เชียนยังคงรู้สึกสูญเสียบางอย่างในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะสีหน้าของสาวๆ ดูเหมือนจะบ่งบอกว่าพวกเธอได้ตัดสินใจแล้วและนั่นก็คือการจากไป
แน่นอนว่าเย่เชียนไม่มีเวลาที่จะถามถึงเรื่องแบบนี้ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัยก็ตามแต่เขาก็ยังไม่พูดอะไรเพราะวันนี้เป็นวันที่พ่อของเขาต้องขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์และภพภูมิที่ดีดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการพูดอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงขับรถไปที่งานศพและพบว่าหลี่ฮ่าวก็มาถึงแล้วส่วนจ้าวกังก็กำลังรอเขาเพื่อเตรียมพิธีเผาศพร่วมกัน
เมื่อเห็นเย่เชียนแล้วหลี่ฮ่าวก็ทักทายเขาและพูดว่า “พี่สองพวกผมรอพี่อยู่..เรามาเข้าสู่พิธีเผาศพกันเถอะ”
เย่เชียนก็พยักหน้าเบาๆ และกดปุ่มด้วยตัวเองและเมื่อเห็นร่างของชายชราค่อยๆ เลื่อนเข้าไปด้านในทีละน้อยหัวใจของเย่เชียนก็เหมือนถูกคมมีดทิ่มแทงทีละเล็กทีละน้อย
ขบวนแห่ศพนั้นก็ยิ่งใหญ่อย่างมากเพราะจากต้นถนนไปจนสุดปลายถนนดังนั้นกรมตำรวจของเมืองเซี่ยงไฮ้จึงต้องส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพิธีและตำรวจจราจรต่างก็เคลียร์ทางสำหรับพิธีศพและขบวน ซึ่งพ่อของเขานั้นไม่ยึดติดอะไรดังนั้นเย่เชียนจึงไม่จัดงานศพทางศาสนาให้เขาแต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอนทั่วไป
บางทีอาจไม่มีใครจำได้ว่ามีตำนานของชายชราคนหนึ่งอยู่ในประเทศจีนแห่งนี้แต่ในความเป็นจริงก็ยังมีอยู่จริงและตำนานของชายชราผู้นี้ก็ถูกกล่าวถึงในหมู่คนเก่าคนแก่ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามเย่เชียนนั้นก็ยังคงไม่รู้ว่าชายชราคนนี้มีตำนานแบบไหนกันแน่แต่ทั้งหมดนี้มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปเพราะไม่ว่าในอดีตกาลชายชราจะแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตามแต่ตอนนี้เขาก็เหลือแต่เพียงเถ้าธุลีเท่านั้น
มีตั้งกี่คนที่ดิ้นรนเพื่ออำนาจและเงินอย่างบ้าคลั่งแต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีอยู่ดีและไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งหรือทรงอำนาจเพียงใดในอดีตแต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สามารถครอบครองได้เพียงแค่พื้นที่เล็กๆ อย่างหลุมศพเท่านั้น
ทำไมสิ่งที่ต้องอยู่หลังความตายถึงเรียกว่าโลงศพ? อันที่จริงมันเป็นแค่คำพ้องเสียงซึ่งหมายความว่าการเลื่อนตำแหน่งและโชคลาภเป็นดั่งความฝันและมันจะต้องถูกฝังลงที่นี่ในที่สุดนั่นเอง
ในขณะที่โกศของชายชราอยู่ในสุสานแล้วจู่ๆ ก็เกิดเสียงดังบนท้องฟ้าและทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความสงสัยและเห็นมีเฮลิคอปเตอร์สองสามลำกำลังบินมาที่นี่ ซึ่งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองจ้าวกังที่อยู่ข้างๆ ซึ่งจ้าวกังก็ยิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า “เห้อ..พวกเขามาแล้วสินะ..แต่ก็โชคดีที่ในที่สุดฉันก็ได้ส่งพ่อขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ได้แล้วพ่อจะได้หลับอย่างสงบ”
แน่นอนว่าเฮลิคอปเตอร์เหล่านั้นมาจากเขตทหารของเมืองหลวงปังกิ่งและจุดประสงค์ของพวกเขาคือมาเพื่อควบคุมตัวจ้าวกังที่เขาหลบหนีออกมาจากค่ายทหารในระหว่างปฏิบัติภารกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผลกระทบนี้เลวร้ายมากและยิ่งกว่านั้นจ้าวกังเองก็ยังเป็นถึงเสนาธิการระดับกองร้อยพิเศษดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยเหตุนี้จ้าวกังจึงต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง . . .
เฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ไม่ไกลจากนั้นก็มีทหารติดอาวุธกลุ่มหนึ่งเดินออกมาและยืนเป็น 2 แถว ซึ่งคนที่อยู่ตรงกลางสวมเครื่องแบบทหารและมียศรองผู้บัญชาการกองร้อยพิเศษและเมื่อเขาเห็นจ้าวกังเขาก็เดินตรงมา ซึ่งในเวลานี้แจ็คหันไปเหลือบมองเย่เชียนซึ่งเย่เชียนก็โบกมือให้แจ็คเพื่อบอกให้แจ็คปล่อยให้คนเหล่านั้นเข้ามา ซึ่งในสายตาของแจ็คและเหล่าสมาชิกเขี้ยวหมาป่านั้นไม่สนใจว่าคนเหล่านี้มาจากไหนหรือเป็นใครเพราะเขารู้แค่ว่านี่เป็นงานศพพ่อของเย่เชียนและจะไม่มีใครสามารถมารบกวนหรือสร้างความวุ่นวายได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเย่เชียนสั่งแล้วแจ็คจึงรายงานให้เหล่าบุคลากรของบริษัทไอร่อนบลัดปล่อยให้คนเหล่านั้นเข้ามา
รองผู้บัญชาการกองร้อยพิเศษก็ถึงกับตกใจเมื่อเขาลงมาจากเครื่องบินเมื่อเห็นผู้คนมากมายที่อยู่ด้านล่างและตอนนี้เขาก็ได้เห็นด้วยตาของเขาเองแล้ว่าที่แห่งนี้มีบุคคลที่ทรงพลังและอำนาจมากมายและมีแม้กระทั่งชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียงด้วยดังนั้นเขาจะไม่แปลกใจได้อย่างไร ในตอนนี้เขารู้สึกสูญเสียอาการไปเล็กน้อยและไม่ได้คาดหวังเลยว่าจ้าวกังจะมีญาติที่ทรงอำนาจและอิทธิพลเช่นนี้ ซึ่งในความรู้ความเข้าใจของเขานั้นพ่อของจ้าวกังเป็นเพียงแค่คนเก็บขยะและเป็นชายชราที่ธรรมดามากและด้วยตัวตนของจ้าวกังเองนั้นเขาก็ไม่สามารถที่จะเชื้อเชิญแขกระดับนี้มาร่วมพิธีได้เลย เขานั้นไม่สามารถเข้าใจได้แต่สิ่งนี้มันก็ไม่สำคัญเพราะเขาได้รับคำสั่งมาจากผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการสูงสุดในครั้งนี้ให้มารับตัวจ้าวกังกลับเป็นการส่วนตัวนั่นเอง
เจียงหมิงรองผู้บัญชาการกองร้อยพิเศษก็เดินตรงไปข้างหน้าจ้าวกังและไม่ได้ทำความเคารพทางทหารและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผู้บัญชาการกองร้อยพิเศษจ้าวกัง! ..ผู้บัญชาการสูงสุดได้ออกคำสั่งให้นำตัวคุณกลับไปยังค่ายทหารทันที! ”
ไม่ว่าในกรณีใดยศของจ้าวกังนั้นก็สูงกว่าเจียงหมิงหนึ่งระดับแต่ตอนนี้จ้าวกังก็ยังไม่ได้ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางวินัยดังนั้นเจียงหมิงก็ควรจะแสดงความเคารพให้ฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาแต่การปฏิบัติในปัจจุบันของเขาไม่ได้ให้เกียรติจ้าวกังเลย ซึ่งสำหรับคนที่อยู่ข้างหน้าเขานั้นจ้าวกังเองก็รู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เพราะในตอนแรกพวกเขาต่างก็แข่งขันกันแย่งชิงตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อยพิเศษอันทรงเกียรติ ดังนั้นจ้าวกังกับเจียงหมิงต่างก็เป็นคู่แข่งกันมาโดยตลอดแต่น่าเสียดายที่จ้าวกังนั้นมีผลงานที่ดีกว่าแต่เจียงหมิงกลับล้มเหลวดังนั้นเจียงหมิงจึงมีความแค้นต่อจ้าวกังอย่างมาก
จ้าวกังก็ส่ายหัวเบาๆ และไม่สนใจมันเรื่องนั้นจากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่เจียงหมิงและพูดว่า “อันที่จริงนายไม่จำเป็นต้องมาเลยเพราะฉันกำลังจะกลับไปหลังจากงานศพของพ่อจบลง..แต่ในเมื่อนายมาที่นี่แล้วถ้างั้นเมื่อไหร่ที่พิธีทั้งหมดเสร็จสิ้นฉันจะกลับไปกับนายก็แล้วกัน”
.
.
.
.
.
.
.