ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 593 พิธีศพ ตอนที่ 2
ตอนที่ 593 พิธีศพ ตอนที่ 2
ในที่สุดเจียงหมิงก็ได้รับโอกาสเช่นนี้ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะปล่อยมันไปเพราะเมื่อจ้าวกังหลบหนีออกจากค่ายทหารไปเขาก็รู้ดีเขาเลยไม่คิดที่จะห้ามจ้าวกังในเวลานั้นแต่เขากลับสนับสนุนให้จ้าวกังออกไปและเมื่อจ้าวกังออกไปได้เจียงหมิงก็รีบไปรายงานเรื่องจ้าวกังในทันที ซึ่งจุดประสงค์นี้ก็ชัดเจนอย่างมากและไม่มีอะไรมากไปกว่าการพยายามทำให้จ้าวกังถูกลงโทษและไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้และหลังจากนั้นเจียงหมิงก็จะเข้าไปแทนที่นั่นเอง
เขาอยู่ในกองทัพมาหลายปีแล้วและเขาก็รู้ดีว่าพฤติกรรมของจ้าวกังในครั้งนี้นั้นเป็นอย่างไรและผลที่ตามมานั้นจะร้ายแรงเพียงใด ซึ่งในกรณีที่เลวร้ายที่สุดจ้าวกังจะถูกส่งตัวไปยังศาลทหารเพื่อพิจารณาคดีและหลังจากนั้นเขาก็จะถูกปลดออกจากตำแหน่งถูกลงโทษตามระเบียบวินัยและกฎหมายอาจนำไปสู่การปลดประจำการ ดังนั้นเมื่อเจียงหมิงเห็นจ้าวกังเขาจึงเพิกเฉยจ้าวกังและไม่เคยคิดที่จะทำความเคารพในฐานะที่จ้าวกังเป็นผู้บังคับบัญชาเลย
หลังจากฟังคำพูดของจ้าวกังแล้วเจียงหมิงก็เสแสร้งแสดงท่าทางที่ดูลำบากใจและพูดว่า “ฉันต้องขอโทษด้วยเพราะผู้บัญชาการสูงสุดออกคำสั่งให้ฉันพานายกลับไปพิจารณาคดีทันที..เพราะงั้นฉันไม่สามารถทำได้” จากนั้นเขาก็โบกมือให้ทหารที่ตามมาข้างหลังแล้วพูดว่า “พาตัวเขากลับไป”
จ้าวกังก็เหลือบมองเย่เชียนและหลี่ฮ่าวอย่างขอโทษและพูดว่า “ฉันขอโทษนะเจ้าน้องชาย..ที่ฉันไม่สามารถส่งพ่อกลับบ้านได้” จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาราวกับว่าเขาเป็นักโทษประหารแล้วเขาก็พูดว่า “เอาสิ..ฉันจะกลับไปกับนาย”
คำสั่งเสียของชายชราก่อนที่เขาจะเสียไปนั้นเย่เชียนจำได้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องดูแลพี่น้องอย่างจ้าวกัง,หลี่ฮ่าว,ฮันเซว่อย่างดี เพราะชายชรารู้ดีว่าในหมู่พวกเขานั้นมีเพียงเย่เชียนเท่านั้นที่มีบุคลิกคล้ายคลึงกับเขามากที่สุดและมีเพียงเย่เชียนเท่านั้นที่มีอำนาจมากที่สุดที่จะสามารถทำสิ่งนั้นได้ ซึ่งถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เคยพูดถึงเรื่องของเขาต่อหน้าชายชราก็ตามแต่ชายชราก็สามารถมองผ่านสายตาและลางสังหรณ์ได้อย่างชัดเจนและเขาก็รู้ดีว่าเย่เชียนเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พี่น้องนั่นเอง
เมื่อเย่เชียนเห็นทหารสองคนเดินไปข้างหน้าเพื่อใส่กุญแจมือจ้าวกังเขาก็รีบเดินไปหยุดที่ด้านหน้าของจ้าวกังและจ้องไปที่ทหารสองคนแล้วหันไปมองที่เจียงหมิงจากนั้นก็พูดว่า “คุณเป็นใครถึงได้กล้ามาทำแบบนี้ในที่ของผม! ” คำพูดของเย่เชียนดุดันและกดดันเหมือนคมมีดที่น่าเกรงขามอย่างมาก
ทหารทั้งสองถูกที่จ้องมองด้วยดวงตาที่เหมือนคมมีดของเย่เชียนจนความหนาวเหน็บเริ่มกัดกินหัวใจพวกเขาจนตัวสั่นโดยไม่รู้ตัวและพวกเขาก็รีบหยุดในทันที ส่วนเจียงหมิงก็ตกตะลึงอย่างมากและดวงตาของเขาก็หันไปหาเย่เชียนจากนั้นก็มองขึ้นและลงจากหัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “อะไรนะ? ..คุณกำลังพยายามจะขัดขวางพวกเรางั้นเหรอ? ..คุณรู้ไหมว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงแค่ไหน? ”
จ้าวกังนั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเย่เชียนเลยดังนั้นเขากลัวว่าเย่เชียนจะซวยเพราะเรื่องของตัวเอง เมื่อคิดเช่นนั้นจ้าวกังจึงรีบดึงแขนเสื้อของเย่เชียนเอาไว้แล้วพูดว่า “เย่เชียนนี่เป็นเรื่องของฉัน…นายอย่าเข้ามายุ่งเลย”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันจะไม่ใช่เรื่องของผมได้ยังไง..ผมน่ะไม่ต้องการให้พ่อไม่สบายใจแบบนี้..พ่อไม่ได้เจอหน้าพี่ในวาระสุดท้ายเพราะงั้นครั้งนี้ผมจะไม่ยอม..พี่ต้องอยู่ส่งพ่อกลับบ้านเพื่อให้พ่อหลับอย่างสงบ” จากนั้นเขาก็หันไปมองเจียงหมิงจากนั้นก็สูดลมหายใจเขาลึกๆ แล้วพูดว่า “ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะเป็นใครหรือคุณมาทำอะไร..เพราะงั้นผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะว่าที่นี่ตอนนี้เป็นงานพิธีศพพ่อของผมและถ้าหากพวกคุณไม่มีมารยาทในงานศพของพ่อล่ะก็อย่ามาโทษผมก็แล้วกันที่ไม่ไว้หน้าพวกคุณ”
เจียงหมิงผู้หยิ่งผยองและจองหองนั้นไม่รู้จักเย่เชียนมาก่อนและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนอย่างเย่เชียน ซึ่งในครั้งนี้เขาได้รับคำสั่งมาจากผู้บัญชาการสูงสุดของเขตทหารให้มาจับกุมจ้าวกังแต่กลับมีคนกล้าที่จะขัดขวางพวกเขา ซึ่งไม่ต้องพูดถึงพี่น้องของจ้าวกังอย่างเย่เชียนเลยเพราะแม้แต่ผู้ว่าการเทศบาลเมืองเซี่ยงไฮ้ที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในที่นี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาหยุดเขาได้ เมื่อคิดเช่นนั้นเจียงหมิงก็โบกมือและพูดว่า “เอาเลย! ..ทุกคนไปนำตัวจ้าวกังมาและถ้าหากมีใครกล้าที่จะขัดขวางพวกเราก็ฆ่าทิ้งซะให้หมด!”
ถึงแม้ว่าเหล่าทหารจะประหลาดใจในความกล้าหาญของเย่เชียนก็ตามแต่ในฐานะทหารสิ่งที่สำคัญกว่าชีวิตก็คือคำสั่งดังนั้นเมื่อเจียงหมิงออกคำสั่งแล้วพวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะโต้แย้งใดๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งหมดเป็นทหารที่ติดตามจ้าวกังมาตั้งแต่แรกและความเคารพที่มีต่อจ้าวกังนั้นก็ลึกซึ้งกว่าเจียงหมิงมากแต่นี่เป็นคำแนะนำจากผู้บัญชาการสูงสุดพวกเขาจึงไม่มีทางเลือก
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “ช่างเป็นชายชาติทหารสมเกียรติจริงๆ! ..ก็มาสิขอดูหน่อยว่าจะมีใครกล้าบ้าง!” เมื่อคำพูดของเย่เชียนจบลงแจ็คก็ได้สั่งการให้บุคลากรทั้งหมดของบริษัทรักษาความปลอดภัยไอร่อนบลัดทันที จากนั้นปืนจำนวนหลายกระบอกก็เล็งไปที่หัวของเหล่าทหารที่ถูกล้อมรอบไปด้วยพนักงานรักษาความปลอยภัยไอร่อนบลัดที่มีใบอนุญาตพกพาปืนเนื่องจากธุรกิจของพวกเขาเกี่ยวข้องกับงานจำนองของธนาคารหลายแห่งและเกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอยภัยระดับสูง
สถานการณ์ดังกล่าวเรื่อมตึงเครียดและไม่มีใครกล้าเปิดฉากยิงก่อนไม่เช่นนั้นมันอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นเจียงหมิงก็ถึงกับตกตะลึงและเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านอกจากกองทัพของทางการแล้วยังมีองค์กรที่มีกำลังทหารที่แข็งแกร่งและมีสิทธิ์พกพาปืนกับกระสุนอย่างเปิดเผยเช่นนี้อยู่อีก อย่างไรก็ตามเขาก็มาจากเขตทหารของเมืองหลวงและเขาก็เข้าใจว่าเย่เชียนคงจะไม่กล้าทำอะไรกับเขาและที่เย่เชียนทำลงไปก็แค่ต้องการขู่ให้เขากลัว ซึ่งหลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเจียงหมิงก็พูดว่า “นี่มันอะไรกันเนี่ยจ้าวกัง..นายกำลังคิดที่จะก่อกบฏงั้นเหรอ..นายรู้ไหมว่าพฤติกรรมของนายมันหมายถึงอะไร..นายรู้ผลที่จะตามมาหรือเปล่า”
เขาไม่กล้าที่จะชี้ดาบไปทางเย่เชียนดังนั้นเขาจึงต้องเผชิญหน้ากับจ้าวกังแทนเพราะท้ายที่สุดจ้าวกังก็ได้รับการฝึกฝนเป็นทหารและได้รับการฝึกวิชาชีพทางการทหารอย่างเป็นระบบและไม่ว่าจะเป็นความจงรักภักดีหรือการเชื่อฟังคำสั่งนั้นชายชาติทหารก็ย่อมเด็ดขาด แต่สำหรับเย่เชียนเขาคิดไม่ออกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรกับเย่เชียนอีกเลย
“คุณคิดว่าไม่มีใครกลัวงั้นเหรอ..ทหารไม่ใช่มนุษย์กันรึไง? ..การที่ญาติเสียชีวิตไปมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะกลับมาไว้ทุกข์ไม่ใช่เหรอ? ..นี่พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่! ..ก็ได้ถ้าพวกคุณต้องการแบบนั้นเดี๋ยวผมจะสนองให้!” เย่เชียนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกจากนั้นเขาก็เหลือบมองบุคลากรของบริษัทไอร่อนบลัดแล้วพูดว่า “ปลดปืนและอาวุธของพวกเขาให้หมดและควบคุมตัวพวกเขาเอาไว้..แต่ถ้าเขาขัดขืนก็จัดการได้เลยแต่อย่าฆ่าเขาก็พอ..เดี๋ยวผมจะรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นเอง”
ทันทีที่คำพูดของเย่เชียนจบลงเจียงหมิงและทหารต่างก็ตกตะลึงและแน่นิ่งไป ซึ่งเจียงหมิงก็คิดในใจว่า ‘นี่..นี่มันบ้าไปแล้วใช่มั้ย? ..มันมีใครกล้าปลดอาวุธจากคนของกองทัพอยู่อีกเหรอ”
“กล้าเหรอ? ” เจียงหมิงตะโกนและเหล่าทหารก็กำปืนแน่นจนบรรยากาศยิ่งตึงเครียดมากกว่าเดิม ดูเหมือนว่าตราบใดที่ไม่ระมัดระวังล่ะก็การปะทะที่รุนแรงก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
จ้าวกังก็ตกตะลึงไปกับการกระทำของเย่เชียนซึ่งเขาเพิ่งได้ยินหลี่ฮ่าพูดว่าเย่เชียนเป็นประธานบริษัทอะไรสักอย่างแต่จากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วประธานบริษัทจะมีอำนาจเช่นนี้ได้อย่างไรเพราะไม่เพียงแค่บุคลากรของบริษัทมีอาวุธตำนวนมากเท่านั้นแต่พวกเขายังกล้าที่จะท้าทายกองทัพอย่างเปิดเผยและไม่ลังเลใดๆ อีกด้วย “เย่เชียน! ..อย่าทำแบบนี้..ฉันผิดเองฉันควรกลับไปรับโทษ” จ้าวกังพูด
หลี่ฮ่าวซึ่งคุ้นเคยกับการกระทำของเย่เชียนเป็นอย่างดีเขาก็ทำเพียงแค่ส่ายหัวและไม่พูดอะไรใดๆ เพราะเขารู้ว่าเขาไม่สามารถพูดได้เลยและยิ่งไปกว่านั้นความขัดแย้งระหว่างทหารกับตำรวจก็เป็นสิ่งที่รู้กันดี เพราะงั้นเจียงหมิงก็คงจะไม่ฟังคำพูดของเขาอย่างแน่นอน ส่วนเย่เชียนนั้นเขาเองก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถโน้มน้าวหรือเกลี้ยกล่อมเย่เชียนได้ ดังนั้นในกรณีนี้หลี่ฮ่าวจึงไม่คิดที่จะพูดอะไรและเลือกที่จะปิดปากของเขาอย่างเชื่อฟัง
“พี่มันโง่..ไอ้หมอนี่มันกำลังพยายามลากพี่ไปลงโทษอย่างชัดเจน..ตัวตนของเขาคืออะไรเขาก็เป็นแค่รองหัวหน้าแต่เขากลับไม่แสดงความเคารพเมื่อเห็นพี่..สิ่งนี้ทำให้เขาท้าทายและไม่ฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชาแบบนี้” เย่เชียนพูด
จ้าวกังสามารถมองเห็นทั้งหมดนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติและเขาก็ชัดเจนถึงความเกลียดชังของเจียงหมิงที่มีต่อเขา ซึ่งจ้าวกังเองก็ทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างตัวเขากับเจียงหมิงมานานหลายปีแล้วเพราะถ้าหากปัญหาเช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป มันก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่ลึกซึ้งและรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ระหว่างตัวเขาและเจียงหมิงและความพยายามทั้งหมดของเขาก็จะสูญเปล่า
“ตอนนี้เขาเป็นนักโทษแล้วทำไมฉันถึงต้องแสดงความเคารพด้วย..ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเรื่องของกองทัพแล้วคุณมีสิทธิ์อะไร? ..คุณกลับขัดขวางการทำงานของกองทัพอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้คุณรู้หรือเปล่าว่าฉันสามารถตัดสินลงโทษคุณได้ในข้อก่อกบฏต่อความมั่นคงของประเทศได้เลยนะ” เจียงหมิงพูด
“ให้ตายเถอะ! ..จะอ้างอะไรนักหนาเพราะต่อให้ผู้บัญชาการสูงสุดของคุณจะอยู่ที่นี่ด้วยถึงยังไงผมก็ไม่กลัวหรอกแล้วนับประสาอะไรกับทหารชั้นผู้น้อยอย่างคุณ!” เย่เชียนพูดขณะที่เขาหยิบบัตรและตราสัญลักษณ์ยศจอมพลของเขาออกมา “ดูให้ชัดๆ ซะว่าผมเป็นใคร! ..ผมเป็นจอมพลที่ได้รับการแต่งตั้งจากกองทัพแห่งชาติ! ..ตอนนี้ผมสั่งให้พวกคุณวางปืนลงเดี๋ยวนี้!”
เย่เชียนหยิบตราสัญลักษณ์และใบรับรองดังกล่าวออกมาจนเจียงหมิงและทุกคนก็ถึงกับผงะไป ซึ่งจ้าวกังเองก็ตกใจเช่นกันและมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจและไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายศจอมพลนั้นอยู่ระดับไหนของประเทศกันแน่ เพราะไม่ว่าเย่เชียนจะมีอำนาจจริงหรือไม่ก็ตามแต่เมื่อเห็นจากตำแหน่งดังกล่าวนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงว่าเย่เชียนมีพลังและอำนาจมากขนาดไหนและยังได้รับการสนับสนุนจากผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพและกองทัพแห่งชาติ ซึ่งในตอนนี้มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่เย่เชียนกล้าพูดอย่างหยิ่งผยองและโออ่าเช่นนั้น
ทหารที่ติดตามเจียงหมิงนั้นก็ไม่ชอบเจียงหมิงมากนักแต่พวกเขาถูกผู้บัญชาการสูงสุดสั่งมาพวกเขาจึงต้องทำตามคำสั่ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าคำสั่งนี้จะเป็นการนำตัวจ้าวกังกลับไปยังเขตทหารก็ตามแต่ผู้บังคับบัญชาก็ได้สั่งว่าให้จับจ้าวกังกลับทันทีหลังจากเสร็จสิ้นพิธีงานศพ แต่ทว่าเจียงหมิงกลับยืนยันที่จะนำตัวจ้าวกังกลับไปในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในตอนนี้เย่เชียนกลับเปิดเผยสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตของพวกเขาออกมาจนพวกเขาถึงกับต้องโยนปืนลงพื้นโดยไม่ลังเลใดๆ
เจียงหมิงก็สูญเสียอาการไปอยู่พักหนึ่งแต่เมื่อดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้วเกรงว่าเขาจะควบคุมมันไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากมีบุคคลยศจอมพลอยู่ที่นี่เจียงหมิงจึงต้องวางปืนลงบนพื้นอย่างขมขื่น
เย่เชียนก็ชี้ไปที่บุคลากรของบริษัทไอร่อนบลัดและสั่งให้คนเหล่านั้นก็เก็บปืนของทหารไปทีละคน “จัดการตามความเหมาะสมซะ..ผมรู้ว่าพวกคุณทุกคนได้รับการฝึกฝนมาอย่างมืออาชีพเพราะงั้นพวกคุณควรจะรู้ว่าต้องทำยังไง” เย่เชียนพูดขณะที่เขามองไปที่เจียงหมิงซึ่งความหมายก็ชัดเจนอยู่แล้วนั่นคือให้คนของบริษัทไอร่อนบลัดควบคุมตัวเจียงหมิงและเหล่าทหารเอาไว้
“เย่เชียน…” จ้าวกังอยากจะเปิดปากเพื่อพูดอะไรบางอย่างแต่เย่เชียนขัดจังหวะเขาด้วยการโบกมือและพูดว่า “งานศพของพ่อเป็นเรื่องสำคัญที่สุด..เอาไว้ค่อยคุยกันในภายหลัง”
.
.
.
.
.
.
.