ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 598 บรูซลี
ตอนที่ 598 บรูซลี
ต้องบอกเลยว่าทักษะของเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นนั้นดีมากแต่ก็สู้เย่เชียนไม่ได้อยู่ดี
เย่เชียนนั้นเป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำและความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาก็มากกว่าเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่มักจะดื่มสุราตลอดทั้งวัน นอกจากนี้เย่เชียนยังมีความก้าวหน้าอย่างมากในวิชาศิลปะการต่อสู้โบราณของเขาในปีนี้หรือนานกว่านั้นจนจิตวิญญาณที่ชั่วร้ายในร่างกายของเย่เชียนก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในตอนนี้เย่เชียนสับต้นไม้ด้วยฝ่ามือและไม่มีแม้แต่รอยแผล ซึ่งจิตวิญญาณชั่วร้ายของเขานั้นได้ทำลายแกนของต้นไม้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างที่กล่าวถึงในนวนิยายแต่เย่เชียนยังไม่ถึงระดับนั้นแต่เพียงเท่านี้มันก็น่ากลัวพอแล้ว
ไม่จำเป็นต้องพูดเพราะนี่คือชัยชนะที่สมบูรณ์แบบของเย่เชียนซึ่งเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นก็แน่นิ่งไปเพราะพวกเขาเห็นแล้วว่าเย่เชียนนั้นสามารถทำอะไรได้จนพวกเขาเดินไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางประหลาดใจและกลัว
ในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าเสี่ยวเซียวจะดูกล้าแกร่งและเข้าร่วมในปาร์ตี้เช่นนี้มาหลายครั้งแต่เธอก็ฉลาดมากและไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจมปลักไปกับสิ่งที่เหลวแหลกเหล่านี้เลยสักครั้งซึ่งเธอนั้นมักจะระมัดระวังตัวอยู่เสมอแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกตื่นเต้น แต่เธอนั้นก็ช้าไปเพราะเด็กสาวอีกสองคนรีบวิ่งเข้าไปหาเย่เชียนและดึงเขาไปนั่งกับพวกเธอ
เย่เชียนนั้นคิดว่านี่เป็นการแข่งขันที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมาแล้วถ้าหากมันเข้าไปถึงหูของเหล่าพี่น้องเขี้ยวหมาป่าล่ะก็เย่เชียนก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะถูกพวกเขาล้อเลียนแบบไหนและถ้าหากมันถึงหูของซ่งหลันและผู้หญิงคนอื่นๆล่ะก็เย่เชียนก็ไม่รู้จริงๆว่าจะต้องรับมืออย่างไร ซึ่งมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะต้องทนทุกข์กับการเสียเวลาเล่นกับเด็กๆเหล่านี้
“พวกเอ็งแพ้..เพราะงั้นทำตามที่พูดเอาไว้ด้วย!” เย่เชียนเหลือบมองเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นแล้วพูด
“หึ..ลุงรู้ไหมว่าพวกผมเป็นใคร..เพราะงั้นทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะเถอะ..ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษที่ผมทำตัวหยาบคายกับลุงก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นตะโกนด้วยความอับอายและโกรธเคือง
“หืม..พวกนายทำแบบนี้ได้ยังไง..ก็พวกเราตกลงกันแล้วหนิว่าถ้าใครแพ้ต้องทำยังไง..มันน่าละอายใจจริงๆฮ่าๆ” เด็กหนุ่มชาวต่างชาติคนอื่นๆทั้งหมดก็พูดเห็นด้วยกับเย่เชียนแล้วหัวเราะ
เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถเสียหน้าไปมากกว่านี้ได้อีกแล้วดังนั้นเขาจึงโยนความผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับเย่เชียน “ไม่มีทาง!..ลุงคนนี้ต้องกินยามาแน่ๆ..เพราะไอ้พวกหมูจีนมันขี้โกงมาโดยตลอด” เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นพูด
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วและจิตสังหารกับเจตนาฆ่าของเขาก็ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจเพราะหลังจากแยกตัวออกมาจากโลกภายนอกมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีเย่เชียนก็ไม่เคยรู้สึกโกรธเกรี้ยวเลยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีความโกรธอีกต่อไปเพราะเมื่อมีอายุมากขึ้นคนเราจะมีวุฒิภาวะทางจิตใจที่แข็งแกร่งและสามารถระงับความโกรธเอาไว้ได้ดีกว่าคนหนุ่มสาว แต่ทว่าเดิมทีนั้นเย่เชียนเกลียดชาวญี่ปุ่นมาโดยตลอดและตอนนี้เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นคนนี้กลับพูดแบบนี้อีกแล้วดังนั้นความโกรธของเย่เชียนจึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งและนั่นก็เป็นเรื่องที่ยกโทษให้ไม่ได้จริงๆ
โดยไม่พูดอะไรใดๆเย่เชียนก็ลุกขึ้นไปเตะเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นทันทีจนเขากระเด็นติดข้างฝาและล้มลงพื้น ซึ่งในตอนนี้สีหน้าของเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นก็บิดเบี้ยวและเมื่อเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นอีกคนเห็นสิ่งนี้เขาก็ไม่คิดที่จะเพิกเฉยเขาจึงหยิบเก้าอี้ขึ้นแล้วฟาดเข้าไปที่เย่เชียนทันที
นี่เป็นสงครามระหว่างประเทศดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ลังเลใดๆ ซึ่งเย่เชียนก็เชื่อว่าคนจีนอีกหลายๆคนก็ต้องทำเช่นเดียวกันกับเขา ซึ่งคนจีนนั้นมักจะอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนไม่ว่าจะต่างเขตต่างเมืองหรือต่างมณฑลก็ตาม ในขณะที่ประเทศอื่นๆคนส่วนใหญ่ในประเทศเดียวกันมักจะแยกกันและแบ่งแยกเป็นชนชั้นและไม่มีใครอยากยอมรับว่าตนด้อยกว่าผู้อื่น ดังนั้นคนเหล่านี้จึงมีความเกลียดชังทางชาติพันธุ์จนทำให้บรรยากาศในที่นี้ยิ่งดุเดือดขึ้นมากกว่าเดิม ดังนั้นเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นอีกคนจึงไม่สนใจแล้วว่าเขากับเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นอีกคนจะสนิทกันมากแค่ไหนก็ตามแต่ถ้าคนจีนกระทำต่อชาวญี่ปุ่นอย่างพวกเขามันก็เหมือนกับเย่เชียนทำร้ายพวกเขาทั้งประเทศดังนั้นเขาจะนั่งดูอยู่เฉยๆได้อย่างไร?
การเตะของเย่เชียนนั้นไม่ธรรมดาเพราะเขาแอบใช้พลังแฝงของศิลปะการต่อสู้โบราณเมื่อเขาเตะไปที่เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่น ซึ่งเขาเองก็ได้ยินเสียงของกระดูกที่แตกหักได้อย่างชัดเจนจนคนอื่นๆในห้องส่วนตัวอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าทักษะการต่อสู้ของเย่เชียนจะสูงเช่นนี้จนพวกเขาตะโกนว่า “บรูซลี!” โดยเฉพาะเสี่ยวเซียวที่กระโดดขึ้นมาบนโซฟาด้วยความตื่นเต้นและตะโกนอย่างต่อเนื่องว่า “จัดการพวกไอ้ยุ่นเลย!”
เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อได้ยินคำว่า “ยุ่น” เพราะคำนี้เป็นเหมือนคำที่เอาไว้ใช้เย้ยหยันชาวญี่ปุ่น ซึ่งเย่เชียนคิดว่าอาจเป็นเพราะแม่ของเสี่ยวเซียวเป็นชาวจีนเธอจึงถ่ายทอดความคิดและทัศนคติต่อชาวจีนที่มีต่อประเทศญี่ปุ่นให้กับเสี่ยวเซียวมาตั้งแต่เด็กหรือแม้แต่การพูดถึงสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นเธอจึงพูดคำนั้นออกมาได้อย่างเต็มปาก
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นอีกคนกำลังจะฟาดเขาด้วยเกาอี้นั่งเย่เชียนก็ไม่คิดที่หลบเลี่ยงและรีบปล่อยหมัดสวนใส่เก้าอี้จนมีเสียง ‘ปัง’ และเย่เชียนก็ใช่ฝ่ามือกระแทกเข้าไปที่หน้าอกของเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นจนเขาล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับใช้มือกุมหน้าอกตัวเองเอาไว้เพราะเขารู้สึกหายใจลำบากอย่างมาก ส่วนเก้าอี้ไม้นั้นก็พังยับเยินจากการถูกเย่เชียนต่อย
ฉากนี้ทำให้เหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวตะโกนกันอย่างบ้าคลั่งเพราะความหยิ่งผยองของเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่มีต่อพวกเขานั้นเลวร้ายอย่างยิ่ง ดังนั้นยิ่งใครปฏิบัติต่อคนอื่นแย่มากเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งปฏิบัติต่อคนคนนั้นแย่มากขึ้นเท่านั้น อันที่จริงแล้วในหลายๆประเทศนั้นวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวสมัยใหม่ต่างก็ไม่ค่อยชอบชาวญี่ปุ่นมากนัก และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเต็มใจที่จะเล่นสนุกกับเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นสองคนนี้ก็ตามแต่พวกเขาก็แค่มาสนุกกับเหล่าเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยเท่านั้นแต่ไม่ได้สนิทสนมหรือพอใจพวกเขาอะไรมากขนาดนั้นแล้วนับประสาอะไรกับการนับพวกเขาเป็นเพื่อน
“ลุง!..ลุงโคตรเก่งเลย!” เสี่ยวเซียวกระโดดไปด้านข้างของเย่เชียนด้วยความตื่นเต้นและพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ก็นะ..เห็นรึยังว่าฉันทำอะไรได้บ้าง” เย่เชียนพูดด้วยท่าทางที่ภาคภูมิใจ “เพราะงั้นเธอต้องรักนวลสงวนตัวให้มากกว่านี้และอย่ามายั่วยวนฉันอีก..เพราะถ้าฉันเกิดทำอะไรบางอย่างที่เหมือนสัตว์ร้ายจริงๆล่ะก็เธอจะต้องเสียใจแน่นอน”
เสี่ยวเซียวก็ตกตะลึงและมองเย่เชียนด้วยหางตาแล้วว่า “ลึงกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย..ฉันหมายถึงทักษะการต่อสู้ของลุงน่ะดีมาก..ฉันไม่คิดว่าลุงจะเก่งจริงๆ..ฉันคิดว่าลุงแค่โกหกฉัน..ว่าแต่ลุงคือศิษย์ของบรูซลีใช่ไหม..ถ้างั้นลุงช่วยสอนกังฟูให้ฉันหน่อยได้ไหม..ฉันเองก็อยากเป็นเหมือนลุงด้วย..ฉันจะได้ต่อยพวกไอ้ยุ่นให้กระเด็นแบบนั้น”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “นี่สาวน้อยฉันจะไปเป็นลูกศิษย์ของบรูซลีได้ยังไง..บรูซลีน่ะแก่กว่าฉันมากแล้วฉันจะเป็นลูกศิษย์เขาได้ยังไง..แต่ฉันชื่นชมเขามากเขาเป็นเหมือนฮีโร่..ส่วนการใช้กังฟูน่ะไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนร็มันได้..ฉันอยากรู้ว่าเธอมีพรสวรรค์เหมาะสมกับมันหรือเปล่าเพราะฉันไม่อยากสอนลูกศิษย์ที่งี่เง่าให้ฉันต้องเสียหน้า”
“ลุงชอบขี้โม้แต่ลุงเก่งมาก” เสี่ยวเซียวพูด
“ถ้างั้นฉันขอสอนเธอก่อนเรื่องแรก..เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศจีนคือการเคารพครูบาอาจารย์!..และสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นก็ถูกต้องเสมอและลูกศิษย์จะเถียงอาจารย์ไม่ได้” เย่เชียนพูด ซึ่งเย่เชียนจงใจพูดบางอย่างที่เกินจริงเพราะเย่เชียนคาดว่ามันคงจะลำบากอย่างมากในอนาคตที่จะทำให้เด็กคนนี้เชื่อฟังเขา
“พวกเราก็อยากเรียน..ใช่ๆฉันเองก็อยากเรียนด้วย!” เด็กสาวและเด็กหนุ่มคนอื่นๆก็รวมตัวกันแล้วพูดอย่างตื่นเต้น
“พวกเธออย่ามายุ่งนะ..ฉันเป็นคนพาลุงเขามาเพราะงั้นเขาต้องรับฉันเป็นลูกศิษย์คนเดียว..ถ้าพวกเธออยากจะเรียนจริงๆก็เคารพฉันในฐานะศิษย์พี่ซะแล้วรอให้ฉันเรียนจากอาจารย์เสร็จฉันก็จะมาสอนพวกเธอให้เองแล้วค่อยเรียกฉันว่าอาจารย์!” เสี่ยวเซียวพูดเพราะเธอจดจำคำพูดของเย่เชียนเมื่อครู่นี้เอาไว้เป็นอย่างดีว่าการเป็นปรมาจารย์นั้นจะมีพลังมากมายและในอนาคตเธอก็จะสามารถสั่งลูกศิษย์ของเธอให้ช่วยเหลือเธอได้ทุกอย่าง
“ใช่ๆ..เมื่อถึงเวลาพวกเธอค่อยไปเรียนกับเสี่ยวเซียวก็แล้วกัน” เย่เชียนพูด เพราะนิสัยและการกระทำของวัยรุ่นในสมัยนี้ค่อนข้างสุดโต่งและมันยิ่งสยดสยองกว่าการโอ้อวดหรือหยิ่งผยองอีก ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่ต้องการสอนเด็กๆเหล่านี้และไม่เพียงแต่เขาจะจมอยู่กับเวลาที่เสียไปเท่านั้นและเขาอาจจะถูกเด็กๆเหล่านี้แทงข้างหลังได้ทุกเมื่อเพราะในสายตาของชาวต่างชาติแล้วแนวคิดและทัศนคติระหว่างอาจารย์กับศิษย์นั้นไม่ลึกซึ้งนักและไม่รู้จักเคารพครูบาอาจารย์
หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เดินไปหาเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่ท้าทายเขาจากนั้นก็คีบบุหรี่เข้าปากแล้วพูดอย่างช้าๆว่า “ถึงฉันจะเกลียดคนญี่ปุ่นก็เถอะแต่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกันเพราะเอ็งแพ้เอ็งก็ต้องทำตามที่พูดเอาไว้..ฉันจะให้โอกาสเอ็งอีกสักครั้งเอ็งจะทำตามที่พูดเอาไว้มั้ย?”
“แม่งเอ๊ย..ลุงรู้ไหมว่าผมเป็นใคร..วันนี้ลุงทำร้ายผมเพราะงั้นลุงคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสามวัน!” เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นยังคงเป็นเป็ดที่ตายแล้วและพูดอย่างหยิ่งผยอง
“หืม?..เอ็งยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ?..ถ้าอย่างนั้นฉันขอฟังหน่อยแล้วกันว่าเอ็งเป็นลูกหลานผู้มีอิทธิพลคนไหน?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
“ผมไม่ใช่ลูกหลานของพวกเขาแต่พี่ชายของผมอยู่ในแก๊งยามากุจิ!..การทำร้ายผมแบบนี้มันจะทำให้พี่ชายของผมขุ่นเคืองจากนั้นแก๊งยามากุจิของเราก็จะไม่ปล่อยลุงไป” เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นพูด
“ห๊ะ?..แก๊งยากูซ่ายามากุจิงั้นเหรอ..ฉันกลัวจริงๆ..ฉันควรจะทำยังไงดี?” เย่เชียนเสแสร้งทำเป็นกลัว แต่คนที่ฉลาดและมีไหวพริบจะรู้ได้ว่านี่เป็นการเยาะเย้ยของเย่เชียน แต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นจะไม่รู้อะไรเลยเพราะเขาหยิ่งผยองและทะนงตัวอย่างมากจึงทำให้ความภาคภูมิใจของเขามีมากขึ้นไปอีก จากนั้นเขาก็พูดว่า “ลุงกลัวงั้นเหรอ?..ถ้างั้นผมจะให้โอกาสคุณ..ตอนนี้ลุงคุกเข่าลงและขอขมาผมสามครั้งและจ่ายค่ารักษาพยาบาลผมมาแค่นี้ก็พอ..ไม่งั้นผมบอกได้เลยว่าลุงจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อีกต่อไป”
.
.
.
.
.
.
.