ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 606 ความคิดสกปรก
ตอนที่ 606 ความคิดสกปรก
มีอยู่ไม่กี่คนในแก๊งยามากุจิที่ไม่รู้จักเย่เชียนและถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้พบกับเย่เชียนก็ตามแต่พวกเขาก็เคยได้ยินชื่อของราชาหมาป่าเย่เชียนเป็นอย่างดี เพราะท้ายที่สุดแล้วเย่เชียนเป็นคนที่ลอบสังหารผู้นำและหัวหน้าแก๊งของพวกเขาถึงสองครั้งติดต่อกันและครั้งล่าสุดเย่เชียนก็ฆ่าผู้นำระดับสูงทั้งสามของแก๊งยามากุจิพร้อมๆกันในคราวเดียว ซึ่งถ้าหากไม่ใช่เพราะสมาคมมังกรดำที่ออกมาจัดการสิ่งต่างๆล่ะก็เกรงว่าแก๊งยามากุจิคงจะพังทลายและถูกปราบปรามอย่างรุนแรงจากองค์กรภายนอกรวมไปถึงรัฐบาล
ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินชื่อของเย่เชียนแล้วสมาชิกของแก๊งยามากุจิจึงก็ตกใจและในหัวใจของพวกเขาเย่เชียนเป็นเหมือนปีศาจเพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสรอดกลับไปเมื่อได้พบกับผู้ชายคนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเขาได้เห็นถึงพลังและความสามารถของเย่เชียนด้วยตาของพวกเขาแล้ว ซึ่งเย่เชียนนั้นสามารถเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะได้อย่างรวดเร็วจากการปิดล้อมของพวกเขาและไม่ว่าจะเป็นทักษะการแม่นปืนหรือความสามารถในการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่บีบบังคับนั้นเย่เชียนก็ทำให้พวกเขาต่างก็หวาดกลัว
ยามาอุระก็ตัวสั่นไปทั้งตัวและพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “แก..แกคือราชาหมาป่าเย่เชียนงั้นเหรอ?..แกต้องการอะไร?”
“ยามาอุระ..แกเนี่ยช่างเป็นคนที่ตลกจริงๆ..แกเข้ามาในห้องโดยไม่ได้เคาะประตูเลยแล้วยังเอาปืนมาจ่อที่หัวฉันแล้วถามว่าฉันต้องการอะไร..แกคิดว่าฉันต้องการอะไรล่ะ?” เย่เชียนพูดเบาๆ ซึ่งชายหนุ่มคนที่จ่อปืนไปที่หัวของเย่เชียนก่อนหน้านี้นั้นก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมากจนขาของเขาสั่นไม่หยุดและเท้าของเขาก็เปียกเพราะปัสวะราดกางเกงและเขาก็ตกใจอย่างควบคุมไม่ได้เพราะเขาได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดในตอนนี้และนั่นคือเย่เชียนต้องการฆ่าพวกเขาทั้งหมด
ปากของเย่เชียนฉีกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและเขาก็ยื่นมือออกมาเรียกคนที่เพิ่งจะเอาปืนจ่อหัวเขาแล้วพูดว่า “มานี่สิ!”
ชายหนุ่มคนนั้นก็ส่ายหัวอย่างแรงและไม่สามารถก้าวออกไปได้เลย ซึ่งเขาไม่ใช่คนโง่และเขาก็รู้ว่าเขาจะต้องทุกข์ทรมานอย่างแน่นอนและตอนนี้เขาก็เสียใจที่เขาตัดสินใจผิดพลาดอย่างยิ่งที่เอาปืนไปจ่อที่หัวของเย่เชียนและยังทุบหัวของเย่เชียนด้วยด้ามปืนอีก ซึ่งเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าชายที่อยู่ข้างหน้าเขาคือราชาหมาป่าเย่เชียนเพราะถ้าเขารู้เขาจะไม่ทำอย่างนั้นแต่เลือกที่จะฆ่าเย่เชียนเท่าที่มีโอกาส
“ลูกน้องของแกมาไม่ได้เพราะงั้นโทษทีนะฉันคงต้องฆ่าแก” เย่เชียนพูดกับยามาอุระด้วยรอยยิ้มแต่รอยยิ้มนั้นดูเหมือนไม่มีอันตรายแต่มันกลับทำให้ขนหัวลุกอย่างมาก
“แกไปหาเขาซะ..ถ้าฉันเป็นอะไรไปฉันจะฆ่าแกทั้งเป็น” ยามาอุระตะโกนใส่ลูกน้องด้วยความโกรธและแม้ว่าเขาจะรู้ว่าถึงเขาจะเรียกลูกน้องมาแต่เย่เชียนก็ไม่ปล่อยเขาไปอยู่ดีแต่เขาก็เต็มใจที่จะเดิมพันและเสี่ยงไปกับมันเพราะเขาทำได้แค่เสี่ยงโชคและต่อให้รอดหรือไม่รอดเขากำได้เพียงเท่านี้
ไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะปฏิเสธเพราะจิตวิญญาณแห่งบูชิโดของเขาและเขาก็ไม่มีวันปฏิเสธผู้เป็นหัวหน้าและยิ่งกว่านั้นถ้าเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งและละเลยความปลอดภัยของหัวหน้าเขตของแก๊งยามากุจิล่ะก็ในอนาคตเขาก็จะไม่รอดอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงเดินไปหาเย่เชียนด้วยขาที่สั่นอย่างต่อเนื่องทีละก้าวด้วยความยากลำบาก
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มและมองไปที่ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาเขาและพูดว่า “จำที่ฉันพูดเมื่อกี้ได้ไหม..ฉันบอกว่าฉันมีบางอย่างจะให้แกน่ะ..ฉันเป็นคนที่รักษาสัญญาและไม่คืนคำ” คำพูดของเย่เชียนทำให้ชายหนุ่มตัวสั่นด้วยความกลัวและเกือบจะล้มลง
เมื่อเห็นชายหนุ่มเป็นเช่นนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จากนั้นก็มองไปที่ยามาอุระอีกครั้งและพูดว่า “ยามาอุระ..แกชอบความหวาดเสียวนักใช่มั้ย?..แต่ฉันไม่รู้นะว่าแบบนี้แกจะชอบหรือเปล่า” ยามาอุระก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเขาก็ไม่เข้าใจว่าเย่เชียนหมายถึงอะไร
ทุกคนรวมทั้งเสี่ยวเซียวก็ตกตะลึงและไม่มีใครที่คาดคิดว่าเย่เชียนจะมีความคิดที่สกปรกเช่นนี้ จากนั้นยามาอุระก็ตกตะลึงและตะโกนว่า “เย่เชียน!..แก..แกจะทำแบบนี้ไม่ได้..แกอยากได้อะไรฉันจะให้แกทุกอย่าง!”
“อาจารย์แบบนี้แหละ..ดีๆ” เสี่ยวเซียวอุทานด้วยความตื่นเต้น ซึ่งก่อนหน้านี้เธอเกือบจะโดนผู้ชายสองคนขืนใจและตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เธอต้องตอบโต้และเธอก็ชื่นชมเย่เชียนจริงๆที่คิดการแก้แค้นแบบนี้ขึ้นมาได้
ชายหนุ่มคนที่เคยถือปืนจ่อที่หัวของเย่เชียนก็ถึงกับสั่นสะท้านและทรุดตัวลงกับพื้น
เย่เชียนก็จ้องมองเสี่ยวเซียวและคิดว่าเธอมีนิสัยเหมือนกับชิงเฟิงจริงๆเพราะเธอมักจะทำให้สิ่งต่างๆวุ่นวายและตอนนี้เธอก็ลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว “เสี่ยวเซียวเธอไม่มีกล้องวิดีโอบ้างเหรอ..เรามาบันทึกมันกันเถอะเพราะบางทีมันอาจจะขายดีก็ได้..เดิมทีพวกญี่ปุ่นก็ชอบอะไรที่มันวิปริตแบบนี้อยู่แล้ว” เย่เชียนพูด
“ไม่มี” เสี่ยวเซียวพูดอย่างน่าเสียดาย
“แต่ฉันมี!” ทันใดนั้นก็มีเสียงเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่างและทุกคนก็สะดุ้งเพราะปรากฏว่ามีคนข้างนอกด้วย ส่วนเย่เชียนก็รู้สึกประหลาดใจมากขึ้นแต่หลังจากได้ยินเสียงของคนที่เข้ามาเย่เชียนก็ยิ้มอย่างโล่งใจเพราะคนบนโลกใบนี้ถ้าหากใครสามารถซ่อนตัวภายใต้สัมผัสทั้งห้าของเย่เชียนโดยเย่เชียนไม่สามารถสังเกตเห็นได้เช่นนี้นั้นก็มีอยู่เพียงคนเดียวและไม่มีใครอื่นนอกเสียจากผู้นำขององค์กรเซ่เว่นคิลหลินเฟิงนั่นเอง ซึ่งทักษะการลอบสังหารและทักษะลับไร้เงาที่มองไม่เห็นขององค์กรเซเว่นคิลนั้นก็มีชื่อเสียงอย่างมากและสิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้วิธีกลั่นกรองลมหายใจที่ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ใกล้กับอีกฝ่ายหนึ่งสักแค่ไหนแต่เขาก็สามารถปกปิดลมหายใจของเขาได้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่รู้สึกถึงอันตรายและหลินเฟิงก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้และทักษะทั้งหมดของเขาก็เหนือยิ่งกว่าข่าวลืออย่างมาก
“อ้าวพี่หลิน..มาสนุกด้วยกันสิ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้นหลินเฟิงก็กระโดดเข้ามาจากหน้าต่าง ซึ่งใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจางๆและเขาก็ยังเหมือนเดิมแต่มีอ่อร่าบางอย่างที่ดูน่าเกรงขามอย่างมาก
เสี่ยวเซียวก็กะพริบตาสองสามครั้งและมองไปที่หลินเฟิงจากนั้นเธอก็เดินไปที่หน้าต่างและยื่นหัวออกไปมองด้านนอกหน้าต่างและถามด้วยความสงสัยว่า “คุณขึ้นมาที่สูงแบบนี้ได้ยังไง?”
หลินเฟิงก็หันหน้าไปและเหลือบมองเธอจากนั้นก็หันกลับมามองที่ยามาอุระและคนอื่นๆด้วยรอยยิ้มจางๆและพูดว่า “ต้องขอบคุณแกจริงๆเพราะไม่อย่างนั้นฉันเองก็ไม่รู้เลยว่าน้องเย่อยู่ที่นี่..น้องเย่นี่ใจร้ายจริงๆที่ทิ้งฉันไปตั้งหนึ่งปีกว่า”
หลินเฟิงนั้นไม่รู้จักเสี่ยวเซียวดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะคุยกับเธอและเมื่อเสี่ยวเซียวเห็นสายตาที่ดูเย็นชาของหลินเฟิงในดวงตาของเขาเสี่ยวเซียวก็ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดและหันหน้าหนีไป ซึ่งเย่เชียนนี่นก็รู้ดีเกี่ยวกับนิสัยของหลินเฟิงดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะแนะนำเสี่ยวเซียวให้หลินเฟิง เมื่อคิดเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “ผมต้องขอโทษจริงๆครับพี่หลิน..หลังจากเรื่องนี้จบแล้วเราไปดื่มกันสักสองสามแก้วก็แล้วกัน”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดว่า “ว่าแต่พี่หลินมาที่นี่ทำไม…ฟังจากน้ำเสียงของพี่เมื่อกี้ดูเหมือนว่าพี่กำลังตามล่าพวกมันอยู่สินะ”
“ใช่แล้ว!” หลินเฟิงพูด “มีคนว่าจ้างให้ข้าฆ่าพวกมันทิ้ง..ตั้งแต่ฉันรับงานนี้มาฉันก็ออกตามล่าพวกมันแต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เจอน้องเย่ที่นี่..มันคือโชคชะตาจริงๆ” หลินเฟิงยิ้มเบาๆ องค์กรเซเว่นคิลนั้นยอมรับงานที่ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามระดับของค่าตอบแทนในการตัดสินใจแต่การทำเช่นนั้นภายใต้สมมติฐานว่าไม่ละเมิดกฎเหล็กเจ็ดประการขององค์กรและไม่ว่าราคาว่าจ้างจะสูงหรือต่ำพวกเขาไม่สนใจ ซึ่งครั้งนี้หลินเฟิงยอมรับงานนี้และรางวัลที่เขาได้รับมันก็เป็นเพียงเหรียญโทเค็นเท่านั้น ดังนั้นถ้าหลินเฟิงไม่เรียกเก็บเงินมันจะเป็นการละเมิดหลักการของนักฆ่าอย่างยิ่งแต่ทว่าผู้ว่าจ้างนั้นมีชีวิตและครอบครัวที่น่าสังเวชจริงๆหลินเฟิงจึงเรียกเก็บเงินเพียง 10 หยวนเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกับเย่เชียนที่นี่ อันที่จริงเขาได้ตามสืบเกี่ยวกับการหายไปของเย่เชียนมานานกว่าหนึ่งปีแล้วแต่ดูเหมือนว่าเย่เชียนจะหายตัวไปจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์และไม่มีข่าวอะไรใดๆเลย
แน่นอนว่าเย่เชียนจะไม่ถามว่าใครเป็นผู้ว่าจ้างของงานนี้เพราะนี่เป็นกฎและเย่เชียนก็เข้าใจดีเพราะไม่ว่าจะเป็นนักฆ่าหรือทหารรับจ้างถึงยังไงก็ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลของผู้ว่าจ้างได้ไม่เช่นนั้นมันจะละเมิดกฎเหล็กของธุรกิจอย่างมาก หากเป็นเช่นนั้นองค์กรดังกล่าวก็จะไม่มีผู้ว่าจ้างมาจ้างงานอีกในอนาคต หลังจากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “ในเมื่อพี่หลินอยู่ที่นี่แล้วก็นั่งรอก่อนสักครู่นะ..หลังจากที่ผมจัดการอะไรเสร็จแล้วผมจะให้พี่จัดการ”
“ได้!” หลินเฟิงส่งยิ้มและเดินไปที่โซฟาและนั่งลง
“ฉันรู้ว่าพวกแกน่ะไม่ได้คิดที่จะมาตายที่นี่..และฉันก็คิดว่าหัวหน้าของพวกแกน่ะน่าจะเคยทำให้พวกแก่ทุกข์ทรมานเพราะงั้นตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกแกที่จะแก้แค้นเขา” เย่เชียนพูด “ถ้าพวกแกไม่ทำก็ตายซะ!”
ทันทีที่คำพูดของเย่เชียนจบลงชายหนุ่มทั้งสองก็ไม่กล้าที่จะลังเลอีกต่อไปและมันเป็นการดีกว่าที่จะระเบิดประตูหลังของคนอื่น แท่นที่จะถูกคนอื่นระเบิดประตูหลังของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงเดินไปที่ด้านหลังของยามาอุระ จากนั้นชายหนุ่มสองคนก็โค้งคำนับและพูดว่า “หัวหน้า..พวกผมขอโทษ!” ในประโยคนี้เย่เชียนไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะมันเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่เย่เชียนก็สามารถเดาได้ว่าพวกเขาพูดอะไรและมันมีหมายความว่าอย่างไร
“แก..พวกแกกลับไปซะ..ถ้าพวกแกกล้าเข้ามาฉันจะฆ่าพวกแก!” ยามาอุระพูดอย่างกระวนกระวาย
“แม่งเอ๊ย!” เย่เชียนดึงมีดปอกผลไม้ที่เสียบอยู่บนข้อมือของยามาอุระออกและเตะเขาอย่างดุเดือดแล้วพูดว่า “ฉันสั่งให้แกพูดงั้นเหรอ!..ถ้างั้นฉันจะฆ่าแกแล้วปล่อยให้พวกเขาทำต่อมันก็ไม่ต่างจากเดิม”
ยามาอุระก็เจ็บปวดอย่างมากและตะเกียกตะกายไปข้างหน้าและคลานขึ้นไปบนโต๊ะ ซึ่งหลังจากฟังคำพูดของเย่เชียนแล้วยามาอุระก็ถอนหายใจอย่างหมดหนทางเพราะตอนนี้เขาเหมือนเนื้อที่อยู่บนเขียงแล้วและเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป
.
.
.
.
.
.
.