ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 613 เย้ยหยันถึงหน้าประตูบ้าน
ตอนที่ 613 เย้ยหยันถึงหน้าประตูบ้าน
หลังจากอธิบายเรื่องนี้ดีแล้วโย่วซวนก็เดินตามเข้าไปในบ้าน ซึ่งเย่เชียนนั้นสามารถเห็นฉากนี้อย่างเป็นธรรมชาติและเขาก็แอบชื่นชมโย่วซวนในใจอย่างมากและในที่สุดเย่เชียนก็รู้แล้วว่าทำไมเซี่ยตงไป่ถึงให้ความสำคัญกับโย่วซวนมากถึงขนาดนี้และทำไมโย่วซวนถึงได้มีสถานะและตำแหน่งที่สูงอย่างมากในแก๊งเจ้าพ่อฝูชิง ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไว้วางใจของเซี่ยตงไป่เท่านั้นแต่เพราะความสามารถของโย่วซวนอีกด้วย
เย่เชียนนั้นได้ให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างเคร่งครัด ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงถูกโจมตีโดยแก๊งอินาดะและแก๊งโยชิคาว่าอย่างต่อเนื่องและเขาก็รู้ด้วยว่าแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงสามารถอยู่ได้จนถึงตอนนี้ภายใต้การโจมตีร่วมกันของทั้งสองแก๊งใหญ่ก็เป็นเพราะความสามารถและไหวพริบของโย่วซวนที่สามารถนำแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงพลิกกลับสู่สถานการณ์ที่ดีในปัจจุบันได้ ดังนั้นเย่เชียนก็เชื่อว่าเซี่ยตงไป่นั้นสามารถเป็นผู้นำของแก็งเจ้าพ่อฝูชิงได้เพราะเขามีความสามารถในการมองคุณค่าของบุคคล ซึ่งบางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาขาดความทะเยอทะยานเมื่อตอนแก่เพราะการพัฒนาของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงได้หยุดนิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นหากแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงถูกส่งมองให้กับโย่วซวนล่ะก็แก๊งเจ้าพ่อฝูชิงจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามโชคดีที่โย่วซวนภักดีต่อเซี่ยตงไป่ดังนั้นแก๊งเจ้าพ่อฝูชิจึงสามารถอยู่รอดได้ในประเทศญี่ปุ่นท่ามกลางแก๊งยากุซ่าเจ้าถิ่น
อย่างไรก็ตามการมีอยู่ขององค์กรดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้นำเท่านั้นแต่ยังขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคคลกากีในองค์กรในการทำงานร่วมกันอีกด้วย ซึ่งบุคลากรของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงต่างก็สามัคคีกันมากและถึงแม้ว่าจะมีความขัดแย้งเป็นครั้งคราวแต่พวกเขาสามารถละทิ้งความเป็นปรปักษ์ของพวกเขาเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูภายนอกและร่วมกันต่อสู้เหมือนเดิม
ภายในบ้านมีเครื่องทำความร้อนและทันทีที่เขาเข้าไปในบ้านเย่เชียนก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่พุ่งผ่านใบหน้าของเขาซึ่งแตกต่างจากลมหนาวภายนอกมาก ซึ่งภายในและภายนอกนั้นต่างกันอย่างกับคนละโลก อย่างไรก็ตามความจริงแล้วด้วยความก้าวหน้าของศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นจึงทำให้เย่เชียนต้านทานความหนาวเย็นได้ดีขึ้นอย่างมากและแม้แต่การอยู่ข้างนอกเย่เชียนก็สามารถสวมแค่เสื้อโค้ตและยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีสมาชิกเชี้ยวหมาป่าต่างก็ได้รับการฝึกที่แสนโหดร้ายที่สุดในทะเลทรายอันร้อนระอุและในทวีปแอนตาร์กติกาที่หนาวเย็นมาแล้ว ดังนั้นสมาชิกเขี้ยวหมาป่าจึงมีความสามารถในการทนต่อความหนาวเย็นและความร้อนค่อนข้างดีเยี่ยม นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องปฏิบัติภารกิจในสภาพแวดล้อมแบบไหนดังนั้นพวกเขาจึงต้องมีความพร้อมทางร่างกายที่สูงอย่างมาก
เซี่ยตงไป่และเย่เชียนนั่งลงบนโซฟาส่วนโย่วซวนก็ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ ส่วนม่อหลงและเซี่ยจือยี่ก็นั่งข้างๆกันในฝั่งตรงข้ามแต่นี่ไม่ใช่ทางเลือกของม่อหลงแต่เป็นเพราะเซี่ยจือยี่บังคับให้นั่งลงข้างๆเธอ ซึ่งม่อหลงนั้นไม่สามารถที่จะปฏิเสธเธอได้ หลังจากนนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “หัวหน้าซวนคุณเองก็นั่งลงด้วยสิ..พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันเพราะงั้นคุณไม่จำเป็นต้องสุภาพมากหรอกครับ..ผมรู้สึกอึดอัดเวลาที่คุณยืนแบบนี้”
เมื่อเย่เชียนพูดแบบนี้เซี่ยตงไป่ก็มีความสุขมาก เพราะตั้งแต่ที่เย่เชียนมาเขาก็เพิกเฉยต่อโย่วซวนและถึงแม้ว่าโย่วซวนจะเคารพเขาเสมอและช่วยเขามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นเซี่ยตงไป่จึงขอบคุณโย่วซวนสำหรับสิ่งเหล่านี้มาเสมอ แต่ถ้าหากเขาปฏิบัติกับโย่วซวนในฐานะครอบครัวมันก็จะไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับผู้รับใช้อีกต่อไป “ใช่ๆ..คุณเองก็มานั่งลงด้วยสิ!” เซี่ยตงไป่พูด “พวกเราก็คนกันเองเพราะงั้นไม่ต้องคิดว่าเป็นคนนอกหรอก”
โย่วซวนก็พยักหน้าจากนั้นก็นั่งลงข้างๆเซี่ยตงไป่
“น้องเย่คราวนี้น้องเย่คงจะไม่รีบกลับเหมือนครั้งที่แล้วหรอกใช่ไหม..ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้น้องเย่จะต้องอยู่กับฉันก่อนนะ” เซี่ยตงไป่พูด ซึ่งดูเหมือนว่าเขาถูกใจเย่เชียนแต่ในความเป็นจริงแล้วเขาหวังก็ด้วยว่าเย่เชียนจะอยู่เพื่อช่วยเขาจัดการกับแก๊งยามากุจิ,แก๊งอินาดะและแก๊งโยชิคาว่า
แน่นอนว่าเย่เชียนเองก็มองเห็นได้แต่เขายังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้และแสดงสีหน้าประหลาดใจพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ครับ..ผมต้องขอโทษจริงๆที่ครั้งที่แล้วผมรีบกลับ..ว่าแต่ที่ผ่านมาพี่ใหญ่มีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่า..พวกเราคือครอบครัวเดียวกันเพราะงั้นถ้าหากมีอะไรที่ผมสามารถช่วยพี่ใหญ่ได้เย่เชียนคนนี้ก็จะพยายามอย่างเต็มที่”
เย่เชียนนั้นรู้ว่าเซี่ยตงไป่กำลังรอประโยคนี้อยู่ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาอย่างจงใจและไม่ว่าในกรณีใดเซี่ยตงไป่ก็เป็นผู้นำที่ดีและสง่าผ่าเผยของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงอยู่ดีดังนั้นถ้าหากเซี่ยตงไป่เป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือจากเย่เชียนก่อนอย่างตรงไปตรงมาล่ะก็มันจะดูไม่ดีอย่างมาก อย่างไรก็ตามหากหัวข้อดังกล่าวถูกเปิดประเด็นด้วยเย่เชียนก่อนมันก็จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
สำหรับการตอบรับของเย่เชียนนั้นเซี่ยตงไป่ก็พยักหน้าอย่างลับๆและถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะปรากฏว่าเย่เชียนไม่ได้มองข้ามสิ่งต่างๆไปเลยและยังคงใส่ใจกับพวกเขาเช่นนี้ หลังจากหยุดไปชั่วขณะเซี่ยตงไป่ก็พูดว่า “คุณซวนช่วยบอกน้องๆถึงสิ่งที่เราเผชิญให้ที”
โย่วซวนก็พยักหน้าแล้วพูด “คุณเย่..นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น…” ทันทีที่คำพูดของโย่วซวนออกมาจากปากจู่ๆข้างนอกก็มีเสียงดังและโย่วซวนถึงกับต้องหยุดพูด
เซี่ยตงไป่เองก็ขมวดคิ้วเช่นกันและเขาก็ตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “มันเกิดอะไรขึ้นข้างนอก..เสียงดังอะไรกันนักหนา?” ไม่น่าแปลกใจที่เซี่ยตงไป่โกรธเพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญเพราะเขากำลังจะได้พูดคุยเรื่องสำคัญกับเย่เชียนแต่กลับถูกรบกวน
“พ่อคะ..ฉันขอออกไปดูก่อน!” เมื่อเซี่ยจือยี่พูดจบเธอก็ยืนขึ้นและเดินออกไป
เซี่ยตงไป่ก็ถอนหายใจและพูดว่า “เอาเถอะน้องเย่เรามาคุยกันต่อดีกว่า..ปล่อยให้จือยี่จัดการเรื่องข้างนอกนั่น”
เสียงจากข้างนอกก็ดังขึ้นเรื่อยๆและเมื่อโย่วซวนพยายามอ้าปากพูดหลายครั้งเขาก็ต้องกลืนมันลงไปทุกครั้ง ซึ่งเย่เชียนก็ได้ยินชัดมากเพราะเสียงจากข้างนอกปะปนกับคำดูหมิ่นและคำสบถจากชาวญี่ปุ่นมากมาย ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นนักก็ตามแต่เขาก็ยังรู้ว่าสิ่งที่พวกเหล่านั้นพูดระหว่างการทะเลาะวิวาทมันคงไม่ใช่สิ่งที่ดีอะไรนัก
“ผมคิดว่าเรื่องนี้เอาไว้คุยกันที่หลังจะดีกว่า..ตอนนี้เราควรจะออกไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น..ดูเหมือนว่าจะมีคนมาสร้างปัญหานะ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยตงไป่ก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “หืม..ฉันอยากรู้จริงๆว่าพวกมันเป็นใคร..มันกล้าที่จะมาที่บ้านของฉันเพื่อสร้างปัญหางั้นเหรอ..นี่พวกมันไม่เห็นแก๊งฝูชิงของฉันในสายตาเลบยรึไง..น้องเย่ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา”
“ผมเองก็เบื่อๆอยู่เหมือนกันเพราะงั้นเราออกไปดูด้วยกันดีกว่า..มันเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยสำหรับผมน่ะ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยตงไป่ไม่เข้าใจความหมายของเย่เชียนและไม่เข้าใจว่าอาหารเรียกน้ำย่อยที่เย่เชียนพูดนั้นหมายถึงอะไร แต่เขาก็พยักหน้าและพูดว่า “ในเมื่อน้องเย่ต้องการถ้างั้นเราก็ออกไปดูกันเถอะ”
เย่เชียนก็พยักหน้าให้ม่อหลงและลุกขึ้นจากนั้นเย่เชียนก็เดินออกไปพร้อมกับเซี่ยตงไป่ ซึ่งถ้าหากเย่เชียนคิดไม่ผิดคนเหล่านี้ที่มาสร้างปัญหาก็ควรจะเป็นคนจากแก๊งยามากุจิ นั่นก็เพราะว่าเขามาที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างเปิดเผยดังนั้นถ้าหากแก๊งยามากุจิไม่ตอบโต้มันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้คาดหวังว่าคนของแก๊งยามากุจิจะกล้าหาญถึงขนาดมาสร้างปัญหาที่แก๊งเจ้าพ่อฝูชิงโดยตรงเช่นนี้ ถึงแม้ว่าแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงจะลำบากเล็กน้อยในช่วงนี้แต่ก็ไม่น่าจะถูกรุกรานหน้าประตูบ้านเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนจีนจำนวนมากและแก๊งต่างๆในโลกทั่วทุกประเทศดังนั้นการทำลายแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
โย่วซวนเองก็เดาได้เช่นกันแต่เขาไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรมากนักเพราะเขาได้สั่งให้บอดี้การ์ดและลูกน้องเพิ่มการรักษาความปลอดภัยให้มากกว่าเดิมแล้วเพราะท้ายที่สุดที่นี่ก็เป็นที่ตั้งของตระกูลฝูชิงดังนั้นคนของแก๊งยามากุจิคงจะไม่กล้าทำอะไรมากเกินไปกว่าการสร้างปัญหาอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากการโจมตีครั้งล่าสุดก็ตามแต่แก๊งเจ้าพ่อฝูชิงก็ไม่ได้เกรงกลัวถ้าหากแก๊งยามากุจิจุดชนวนให้เกิดสงครามจริงๆ นอกจากนี้โย่วซวนเองก็รู้ด้วยว่าแก๊งอินาดะกับแก๊งโยชิคาว่ายังคงจับตามองแก๊งยามากุจิอย่างใกล้ชิด ดังนั้นหากแก๊งยามากุจิเริ่มโจมตีแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงเมื่อไหร่ล่ะก็นั่นคือโอกาสที่แก๊งอินาดะและแก๊งโยชิคาว่าจะเริ่มดำเนินการกวาดล้างแก๊งยามากุจิด้วย
น่าเสียดายที่โย่วซวนไม่ได้คาดหวังว่าเบื้องหลังของแก๊งยามากุจิจะมีสมาคมมังกรดำซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ควบคุมโลกใต้ดินของประเทศญี่ปุ่นและเป็นองค์กรที่สามารถควบคุมการดำรงอยู่ของแก๊งยามากุจิและแก๊งอินาดะและแก๊งโยชิคาว่ารวมไปถึงองค์กรทหารรับจ้างเรดซันได้ ถึงแม้ว่าแก๊งยามากุจิจะเริ่มโจมตีแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงแล้วแต่แก๊งยากูซ่าที่เหลือก็ไม่สามารถทำอะไรแก๊งยามากุจิได้เพราะการแทรกแซงของสมาคมมังกรดำ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะทำตามคำสั่งของสมาคมมังกรดำโดยการลบล้างแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงออกไปจากประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นหากใครต้องการจัดการกับแก๊งยามากุจิก็ต้องกำจัดสมาคมมังกรดำก่อน อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าทางเลือกอย่างหลังยากกว่ามาก
เมื่อเดินออกมาข้างนอกก็เห็นผู้คนมากกว่าสี่สิบคนมารวมตัวกันที่ประตูและส่งเสียงดัง โดยมีคนจากแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกเขาแต่ก็ไม่มีใครทำอะไรเลย ซึ่งเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเพราะถ้าเป็นเขาล่ะก็เขาจะไม่โวยวายแบบนี้แต่เลือกที่จะโจมตีอีกฝ่ายอย่างรุนแรงก่อนที่จะพูดอะไรใดๆ
เซี่ยจือยี่ก็พยายามหยุดความวุ่นวายข้างนอกแล้วพูดกับผู้นำที่นั่นว่า “ฮาราดะ..อย่าโง่ไปหน่อยเลยนี่คือที่ตั้งของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงของเราแต่แก๊งยามากุจิของคุณกล้าที่จะมาเพื่อสร้างปัญหาอีกเหรอ..เห็นได้ชัดว่าพวกคุณข้ามหน้าแก๊งของฉันไป..เพราะงั้นพาคนของคุณกลับไปซะ..ไม่งั้นก็อย่ามาโทษฉันที่หยาบคายก็แล้วกัน”
“หืม..เธอก็น่าจะรู้นะว่าสถานการณ์แก๊งฝูชิงของเธอมันเป็นยังไงในปัจจุบัน..พวกเธอทำอะไรแก๊งยามากุจิของฉันได้งั้นเหรอ?..เพราะงั้นหัวหน้าของเราจึงให้ทางออกโดยการส่งตัวเย่เชียนมาให้เรา..แต่ถ้าปฏิเสธก็อย่ามาโทษเราที่ไม่ไว้หน้าแก๊งฝูชิงก็แล้วกัน” ฮาราดะตอกกลับอย่างเกรี้ยวกราด
เย่เชียนก็ฉีกยิ้มแต่ไม่คิดที่จะเข้าไปแทรกแซงเขาแค่มองอย่างเงียบๆ แต่เซี่ยตงไป่นั้นโกรธมากเพราะคนเหล่านี้มาเย้ยหยันถึงหน้าประตูบ้านของเขาและมันก็เสียหน้าอย่างมาก “น้องเย่ทำไมถึงหัวเราะงั้นหรอ” เซี่ยตงไป่พูด
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรเพราะเรื่องมันยังไม่จบหรอก” ความหมายก็คือเขาจะหัวเราะหรือไม่ขึ้นอยู่กับการรับมือของเซี่ยตงไป่นั่นเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเย่เชียนจะร่วมมือกับแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเซี่ยตงไป่จะจัดการปัญหาตรงหน้าอย่างไรนั่นเอง
เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่เชียนพูดเซี่ยตงไป่ก็เจ้าใจและถึงแม้ว่าเขาจะทำไม่ได้แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้แก๊งเจ้าพ่อฝูชิงเสียหน้าเช่นนี้ได้ เมื่อคิดเช่นนั้นเซี่ยตงไป่ก็ตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ล้อมพวกเขาเอาไว้..อย่าปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้แม้แต่คนเดียว..หืม..ถ้าแก๊งยามากุจิต้องการท้าทายนักล่ะก็..เอาสิเอาเลย!”
.
.
.
.
.
.
.