ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 619 บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
ตอนที่ 619 บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
เซี่ยจือยี่ก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ ซึ่งเธอรู้ถึงความแข็งแกร่งของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงของเธอเป็นอย่างดีและมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นศัตรูกับสามขั้วอำนาจอย่างแก๊งยามากุจิ,แก๊งอินาดะและแก๊งโยชิคาว่าพร้อมๆกันเพราะเดิมทีมันก็อยากอยู่แล้วที่จะกำจัดหนึ่งในนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเวลาหลายปีแล้วที่แก๊งเจ้าพ่อฝูชิงได้อาศัยความช่วยเหลือของชาวจีน และนอกจากนี้สามขั้วอำนาจก็ยังไม่เคยคิดที่จะกำจัดแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงอย่างจริงๆจังๆและอย่างมากที่สุดก็มีเพียงการต่อสู้ระหว่างกลุ่มขนาดเล็กเท่านั้นมันจึงทำให้แก๊งเจ้าพ่อฝูชิงอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากการปราบปรามของรัฐบาลญี่ปุ่นจึงทำให้กองกำลังและองค์กรใต้ดินทั้งหมดไม่กล้าเข้าร่วมการต่อสู้ขนาดใหญ่นั่นจึงทำให้แก๊งเจ้าพ่อฝูชิงสามารถอยู่รอดและพัฒนาต่อไปได้
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเซี่ยจือยี่ก็พูดว่า “นั่นหมายความว่าถ้าเราต้องการทำลายแก๊งยามากุจิเราก็จะต้องเผชิญหน้ากับแก๊งอินาดะและแก๊งโยชิคาว่าจากนั้นเราจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของทั้งสามแก๊งพร้อมๆกันใช่ไหมคะ?”
เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดว่า “ไม่ใช่แค่นั้นเพราะพลังของสมาคมมังกรดำยังหยั่งรากลึกอยู่ในประเทศญี่ปุ่น..สมาคมมังกรดำนั้นมีอำนาจครอบคลุมทั่วทั้งประเทศและไม่ใช่แค่แก๊งสามขั้วอำนาจเพราะยังมีทั้งนักการเมืองและนักธุรกิจระดับประเทศ..ดังนั้นหากต้องการจัดการกับแก๊งยามากุจิก็ต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วยและถึงแม้จะไม่มีสมาคมมังกรดำเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องเข้ามาแทรกแซงอย่างแน่นอนเพราะท้ายที่สุดแล้วมันไม่มีรัฐบาลใดต้องการให้องค์กรใต้ดินของประเทศอื่นมีอำนาจและอิทธิพลในประเทศของตนหรอก..เช่นเดียวกับประเทศจีนหากแก๊งยามากุจิพัฒนาอย่างยิ่งใหญ่ในจีนและมีความขัดแย้งกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งล่ะก็รัฐบาลจีนก็จะยืนหยัดเคียงข้างอำนาจของฝ่ายตนอย่างแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย..เพราะงั้นถ้าหากเราต้องการกำจัดแก๊งยามากุจิเราก็ต้องลบล้างสมาคมมังกรดำให้ได้ก่อนเพื่อไม่ให้แก๊งอินาดะและแก๊งโยชิคาว่าถูกสมาคมมังกรดำแทรกแซง..ไม่เช่นนั้นหากแก๊งฝูชิงทำสงครามกับแก๊งยามากุจิล่ะก็พวกคุณจะไม่เพียงแค่เผชิญหน้ากับการแทรกแซงของสมาคมมังกรดำแต่ยังเผชิญหน้ากับรัฐบาลญี่ปุ่นและ…”
ผ่านไปครึ่งทางเย่เชียนก็หยุดกะทันหันและมุมปากของเย่เชียนก็ฉีกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มและหันไปพูดกับมุมมืดๆในห้องว่า “พี่หลินในเมื่อพี่อยู่ที่นี่แล้วทำไมไม่ปรากฏตัวออกมาซะเลยล่ะ?”
ยกเว้นม่อหลงคนเดียวเพราะในเวลานี้ทุกคนต่างก็ตกตะลึงและประหลาดใจอย่างมากที่เย่เชียนหันไปพูดกับมุมห้องที่ว่างเปล่ามืดๆโดยไม่มีอะไรอยู่ที่นั่น ในด้านของโย่วซวนเขาก็งุนงงอย่างมากเพราะเขาได้กำชับให้เสริมการรักษาความปลอดภัยโดยรอบอย่างเคร่งครัด ดังนั้นจะมีใครเข้ามาโดยที่เขาไม่รู้ได้อย่างไร
เมื่อคำพูดของเย่เชียนจบลงทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมห้องมืดๆอย่างช้าๆ ซึ่งในตอนแรกพวกเขาคิดว่าชายหนุ่มคนนี้นั้นเป็นผู้หญิง ซึ่งจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากหลินเฟิงผู้นำขององค์กรนักฆ่าเซเว่นคิล?วิชาลับไร้เงาขององค์กรเซเว่นคิลนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในโลกของนักฆ่าเพราะแม้แต่นินจาที่มีชื่อเสียงในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นก็ยังรู้สึกกลัวนักฆ่าขององค์กรเซเว่นคิลเลย ดังนั้นภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงมันก็เป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะเข้ามาได้แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องง่ายดายอย่างมากสำหรับหลินเฟิงผู้นี้
“โว้ว..สัมผัสทั้งห้าของน้องเย่เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเลยนะเนี่ย..นายสามารถรู้ได้ทุกครั้งที่ฉันอยู่ใกล้นาย..ดูเหมือนว่าวิชาลับไร้เงาขององค์กรเซเว่นคิลของฉันจะไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้านายสินะ” หลินเฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแล้วพูด
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าหลินเฟิงจะพูดตัวตนที่แท้จริงของเขาต่อหน้าเซี่ยตงไป่และคนอื่นๆเช่นนี้ ซึ่งทำให้เย่เชียนประหลาดใจอย่างมาก เดิมทีเย่เชียนเองก็คิดที่จะแนะนำหลินเฟิงให้กับเซี่ยตงไป่และคนอื่นๆอยู่เช่นกันแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการทำเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่หลินล้อผมเล่นหรอ..วิชาลับไร้เงาของเซเว่นคิลน่ะมีชื่อเสียงไปทั่วโลกมันจะไร้ประโยชน์ได้ยังไง..สงครามครั้งนี้น่ะมันขึ้นอยู่กับความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ของพี่หลินเลยนะ”
หลินเฟิงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายก็พูดเกินไปฉันล่ะอายจริงๆ” หลังจากนั้นหลินเฟิงก็หันไปเหลือบมองเซี่ยจือยี่และยิ้มให้เธอแล้วพูดว่า “สวัสดีครับคุณเซี่ย..เราไม่ได้เจอกันนานเลย..ผมเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตคุณคงจะไม่ขุ่นเคืองใช่มั้ย”
เย่เชียนก็มองไปที่หลินเฟิงด้วยความประหลาดใจจากนั้นก็มองไปที่เซี่ยจือยี่เพราะเย่เชียนไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะรู้จักกันมาก่อน ทันใดนั้นเย่เชียนก็ดูเหมือนจะจำได้ว่าหลินเฟิงเคยพูดเอาไว้ว่าในประเทศญี่ปุ่นเขาเป็นหนี้บุญคุณใครสักคนหนึ่งเพราะงั้นคนคนนั้นอาจจะเป็นเซี่ยจือยี่หรือไม่?เมื่อมองไปที่การแสดงออกของเซี่ยจือยี่ที่ค่อนข้างแข็งกร้าวก็เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองเซี่ยตงไป่อีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าเซี่ยตงไป่จะไม่รู้จักหลินเฟิงมาก่อน ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจเมื่อได้ยินการแนะนำตัวของหลินเฟิง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เย่เชียนสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างหลินเฟิงและเซี่ยจือยี่
ขออย่าให้มีรักสามเส้าเลยเย่เชียนยิ้มอย่างขมขื่นและคิดในใจเพราะถ้าหากหลินเฟิงและเซี่ยจือยี่มีความสัมพันธ์ที่ครุมเครือกันจริงๆล่ะก็ม่อหลงก็ไม่ลังเลที่จะยอมแพ้เลย ซึ่งถึงแม้ว่าตอนนี้ม่อหลงจะมีความรู้สึกดีๆให้กับเซี่ยจือยี่ถึงมันจะเล็กน้อยก็ตามแต่ม่อหลงก็จะยังคงยอมแพ้เพราะนี่คือม่อหลงและเขาก็ได้หลีกทางให้กับความรู้สึกของเขาหากมีอะไรเข้ามาแทรกแซง
“อืม..ไม่เจอกันนานเลย” เซี่ยจือยี่ตอบอย่างเฉยเมย
“สุภาพบุรุษคนนี้เป็นผู้นำขององค์กรเซเว่นคิลที่มีชื่อเสียงก้องโลกในตำนานคนนั้นน่ะเหรอ?..ฉันชื่นชมเขามานานแล้ว..ฉันไม่ได้คาดหวังเลยว่าฉันจะโชคดีที่ได้พบเขาในวันนี้..สวัสดีครับคุณหลิน..ผมเซี่ยตงไป่เป็นผู้นำของแก๊งฝูชิง..ยินดีที่ได้รู้จักครับ!” เมื่อเซี่ยตงไป่พูดจบเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปที่ด้านข้างของหลินเฟิงและยื่นมือออกมาแล้วพูดอย่างสุภาพ
หลินเฟิงก็จับมือกับเซี่ยตงไป่แล้วพูดว่า “ขอบคุณครับ..ว่าแต่คุณลืมไปแล้วหรอ..ถึงคุณจะจำผมไม่ได้แต่ผมจำคุณได้..เมื่อสิบห้าปีที่แล้วที่ประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้ผมโชคดีมากที่ได้พบกับอาจารย์เซี่ย..ตอนนั้นผมเป็นแค่นักเรียนที่ยากจนคนหนึ่งผมเชื่อว่าอาจารย์เซี่ยจะต้องจำได้”
เซี่ยตงไป่ก็ขมวดคิ้วแน่นและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่เขาก็จำไม่ได้ ส่วนโย่วซวนที่เห็นหลินเฟิงหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านและเขาก็เอนตัวเข้าไปใกล้ๆหูของเซี่ยตงไป่แล้วพูดสองสามคำด้วยเสียงเบาๆ ซึ่งหลังจากฟังคำพูดของโย่วซวนแล้วเซี่ยตงไป่ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงในความอับอายและเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรดี
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้เย่เชียนก็เดาว่ามันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับหลินเฟิงและเซี่ยตงไป่และก็มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเซี่ยจือยี่เมื่อไม่นานนี้อีกอย่างแน่นอน ซึ่งเย่เชียนอยากรู้จริงๆว่าสิ่งที่หลินเฟิงพูดเกี่ยวกับการเป็นหนี้ใครซักคนในประเทศญี่ปุ่นนั้นหมายถึงเซี่ยจือยี่หรือไม่และมันเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขากันแน่
เมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มตึงเครียดเย่เชียนจึงหัวเราะและพูดว่า “ฮ่าๆพี่หลินมานั่งตรงนี้สิ” ขณะที่เขาพูดเขาก็เดินไปที่ด้านข้างของหลินเฟิงและจับแขนของหลินเฟิงเพื่อพาเดินไปนั่งที่โซฟาและนั่งลงเพื่อขจัดความตึงเครียดโดยรวม ซึ่งเซี่ยตงไป่ก็เหลือบมองเย่เชียนอย่างซาบซึ้งแล้วกลับไปที่ที่นั่งของเขาและนั่งลง อย่างไรก็ตามการแสดงออกของเซี่ยตงไป่ก็ยังคงค่อนข้างดูอึดอัดเพราะเขาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับหลินเฟิงอย่างไร ซึ่งแท้ที่จริงแล้วชายหนุ่มคนนี้เคยเป็นคนที่เซี่ยตงไป่เคยดูถูกเอาไว้เมื่อนานมาแล้วแต่ทว่าตอนนี้เขากลับกลายเป็นผู้นำขององค์กรเซเว่นคิลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกของนักฆ่าซึ่งเป็นบุคคลที่คร่าชีวิตมนุษย์มาแล้วนับไม่ถ้วนและสิ่งที่องค์กรเซเว่นคิลได้ทำมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นต่างก็เขย่าขวัญไปทั่วโลกและใครๆต่างก็รู้ว่านักฆ่าขององค์กรเซเว่นคิลนั้นไม่เคยล้มเหลวเลยสักครั้งเดียว
“พี่หลินมาที่ญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมพี่ถึงไม่บอกผมล่ะผมจะไปรับพี่” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มเพื่อพยายามทำให้บรรยากาศในปัจจุบันดูผ่อนคลายขึ้น
เมื่อเย่เชียนขจัดบรรยากาศดังกล่างออกไปแล้วเซี่ยตงไป่ก็ไม่จำเป็นต้องไปกระตุ้นหลินเฟิงอีกเพราะเมื่อคนอื่นรู้ว่าเขาปฏิบัติกับหลินเฟิงแบบนั้นเขาก็ไม่รู้เลยว่าคนอื่นจะตอบโต้เขาหรือไม่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรมากเกินไปแต่ทว่าการดูถูกเด็กคนหนึ่งนั้นมันดูเลวร้ายอย่างมากและตอนนี้เมื่อเขานึกถึงมันเขาก็ไม่สามารถเข้าใจอารมณ์และความคิดของหลินเฟิงในตอนนี้ได้เลยและเขาก็ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ของหลินเฟิงในการมาที่ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้คืออะไรกันแน่ ดังนั้นเขาจึงไม่สะดวกที่จะพูดอะไรออกไปโดยไม่ได้กลั่นกรอง อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ดีว่าหลินเฟิงนั้นไม่ได้มาเพื่อแก้แค้นไม่เช่นนั้นเขาคงไม่รอจนถึงวันนี้อย่างแน่นอน
เซี่ยจือยี่เองก็ดูกระวนกระวายและสีหน้าของเธอก็ดูเศร้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งมันมีความขุ่นเคืองเล็กน้อยระหว่างคิ้วที่ขมวดของเธอแต่เธอก็ยังไม่ทราบถึงจุดประสงค์ของการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลินเฟิงในประเทศญี่ปุ่น แต่ถ้าหากเป็นไปได้เธอนั้นก็ไม่ต้องการเห็นหลินเฟิงในชีวิตของเธออีก อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากสีหน้าของเย่เชียนแล้วดูเหมือนว่าเย่เชียนจะเชิญให้เข้ามา ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอไม่ต้องการที่จะพบหลินเฟิงแต่เธอก็ไม่สามารถขับไล่เขาไปได้ซึ่งนั่นจะเป็นการไม่ให้เกียรติเย่เชียน อันที่จริงแล้วเธอก็ยังคงกลัวว่าม่อหลงจะมองเธอเปลี่ยนไปจากเรื่องนี้และทำให้เธอกับเขาห่างกันมากขึ้นเพราะเหตุการณ์นี้อาจจะทำให้ม่อหลงรู้สึกละอายใจที่ไล่ตามเขาเธอถ้าเขารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอและหลินเฟิง หากเป็นเช่นนั้นหม่อหลงจะตีตัวออกห่างจากเดิมใช่ไหม?เซี่ยจือยี่นั้นไม่ต้องการเห็นสถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นดังนั้นภายใต้ความตึงเครียดเช่นนี้เซี่ยจือยี่จึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากหันหน้าไปเหลือบมองม่อหลงแต่ทว่าม่อหลงก็ดูเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆและนั่งอยู่อย่างเงียบๆเช่นเคย
เห็นได้ชัดว่าม่อหลงเองก็สังเกตเห็นได้ว่าการแสดงออกของเซี่ยจือยี่ผิดปกติไปอย่างมากและถึงแม้ว่าเซี่ยจือยี่จะไม่แสร้งทำเป็นไม่มีอาการมากเกินไปก็ตามแต่การแสดงออกของเธอก็ชัดเจนว่ามันมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเธอกับหลินเฟิง อย่างไรก็ตามม่อหลงก็ไม่ได้อยากยุ่งวุ่นวายเรื่องนี้เพราะเขาไม่ค่อยอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆมากนักแล้วนับประสาเรื่องของเซี่ยจือยี่ ถึงแม้ว่าเขาจะชอบเซี่ยจือยี่เล็กน้อยก็ตามแต่เขาก็ยังไม่ถึงจุดที่เขาไม่สามารถยับยั้งตัวเองจากความรักแบบนั้นได้
“ฉันเพิ่งจะมาถึงวันนี้และฉันก็ได้ยินว่าน้องเย่ก็อยู่ที่นี่เพราะงั้นฉันก็เลยแวะมาน่ะ” หลินเฟิงพูดเบาๆ
“โถ่พี่หลินผมรู้นะว่าพี่มาตั้งแต่ตอนที่แก๊งยามากุจิมาสร้างปัญหาแล้ว..พี่ซ่อนผมไม่ได้หรอกฮ่าๆ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม
หลินเฟิงก็ยิ้มเบาๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรใดๆ อย่างไรก็ตามการแสดงออกของเขาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว ซึ่งหลินเฟิงก็คิดในใจว่าวิชาลับไร้เงาที่มีชื่อเสียงกึกก้องโลกขององค์กรเซเว่นคิลนั้นมันยอดเยี่ยมมากและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะมีความก้าวหน้าอย่างมากในศิลปะการต่อสู้โบราณและสัมผัสทั้งห้าของเย่เชียนแต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้
หลังจากหยุดไปชั่วขณะหลินเฟิงก็พูดว่า “มันยังไม่ดึกเลยเพราะงั้นเราไปหาที่ดื่มดีๆกันไหมน้องเย่?”
เย่เชียนนั้นยังสามารถเห็นได้ว่าหลินเฟิงรู้สึกอึดอัดอย่างมากเมื่อเขาอยู่ที่นี่และบรรยากาศในปัจจุบันก็ไม่ค่อยดี ดังนั้นเขาจึงไม่อยากบังคับให้หลินเฟิงต้องอยู่ต่อและเขาก็คิดว่าเขาเองก็มีเรื่องที่อยากจะคุยกับหลินเฟิงอยู่พอดี ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและตอบตกลง
.
.
.
.
.
.
.