ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 626 แสร้งอ่อนแอ
ตอนที่ 626 แสร้งอ่อนแอ
ฟูมะคาเอดะก็จับมือกับเย่เชียนด้วยรอยยิ้มที่สุภาพบนใบหน้าของเขาแต่มือของเขาแอบออกแรงอย่างลับๆ ซึ่งเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ซ่งหลันมาที่ประเทศญี่ปุ่นครั้งล่าสุด เกาะแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ฟูมะคาเอดะก็ไล่ตามจีบซ่งหลันด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามสักแค่ไหนแต่ถึงยังไงทัศนคติของซงหลันที่มีต่อเขาก็ยังเย็นชาและเมินเฉยเสมอมา
เครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นสามารถพัฒนาไปได้อย่างราบรื่นในประเทศญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นเพราะความช่วยเหลือจากฟูมะคาเอดะคนนี้และเขาก็ไม่เคยได้ยินว่าซ่งหลันมีแฟนเพราะงั้นเขาจึงรู้สึกอึดอัดอย่างมากเมื่อพบเย่เชียนในวันนี้ เขาต้องการทำให้เย่เฉียนอับอายต่อหน้าซ่งหรัน
ในขณะนี้คาเอดะก็เพิ่มพละกำลังไปที่มือเพื่อบีบมือเย่เชียนเพราะคาเอดะเป็นลูกชายคนโตของตระกูลอิงะที่เป็นสำนักนินจาและมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำของตระกูลอิงะในรุ่นต่อไป ดังนั้นแน่นอนว่าทักษะของคาเอดะจึงโดดเด่นอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่
สิ่งที่เรียกว่านินจาของประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นเพียงนักรบที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษและนักรบเหล่านี้ก็มีตัวตนอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมาเกือบพันปีซึ่งคล้ายกับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณของจีน ดังนั้นวิชาและทักษะนินจาที่พวกเขาฝึกนั้นเป็นศิลปะการต่อสู้โบราณเช่นกันและอารยธรรมของพวกเขาก็ถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ซึ่งศิลปะการป้องกันตัวแบบโบราณเหล่านี้ก็เคยถูกนำเข้ามาในประเทศจีนด้วยพูดง่ายๆก็คือนินจาและนักรบของประเทศญี่ปุ่นก็เหมือนกับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณของจีน และพวกเขาก็ค่อยๆเลือนหายไปตามยุคสมัยแต่พวกเขาก็มีอยู่จริง
เมื่อรู้สึกถึงพลังที่มาจากมือของคาเอดะแล้วเย่เชียนก็ตกตะลึงเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าคาเอดะจะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้โบราณด้วยและเขาก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อยในความลับของตระกูลอิงะ ซึ่งลึกๆแล้วเย่เชียนก็แอบดีใจเพราะโชคดีที่เขายังไม่ได้เริ่มโจมตีประเทศญี่ปุ่นไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่สามารถจัดการกับนักรบและนินจาเหล่านี้ได้ด้วยความแข็งแกร่งเมื่อปีที่แล้วของเขส ซึ่งโชคดีที่หลังจากฝึกฝนมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปีประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขี้ยวหมาป่าก็พัฒนาขึ้นอย่างมากถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้โบราณก็ตาม
อย่างไรก็ตามการฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณนั้นแตกต่างจากเทคนิคการต่อสู้ทั่วไปอย่างมากเพราะศิลปะการต่อสู้โบราณต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะและฝึกฝนผ่านการอดทนอย่างมากและบางคนอาจไปถึงระดับของปรมาจารย์ภานในสามหรือสี่ปีแต่เย่เชียนนั้นไม่ใช่เพราะการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณของเย่เชียนนั้นพิเศษกว่าใครและสิ่งนี้ไม่เพียงอาศัยความพยายามของเย่เชียนเท่านั้นเพราะในหลายๆกรณีทำให้เขาประสบความสำเร็จได้แต่ต้องไม่รีบร้อนจนเดินไปไม่เช่นนั้นมันไม่เพียงแต่จะไม่พัฒนาแต่อาจจะพลาดพลั้งจนถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้
ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณโดยทั่วไปจะเรียกกันว่าผู้ฝึกตนและแบ่งออกเป็นระดับปรมาจารย์ระดับฝึกตนและระดับขัดเกลา อย่างไรก็ตามมันก็ไม่จำเป็นว่านักสู้ระดับปรมาจารย์จะสามารถเอาชนะนักสู้ระดับฝึกตนได้เสมอไปและไม่จำเป็นว่านักสู้ระดับฝึกตนจะสามารถเอาชนะนักสู้ระดับขัดเกลาได้ เพราะเมื่อคนสองคนต่อสู้กันมันไม่เพียงแค่อาศัยทักษะของตัวเองเท่านั้นแต่ยังรวมถึงสภาพแวดล้อมภายนอกด้วยเช่นเดียวกับจิตวิญญาณการต่อสู้และประสบการณ์การต่อสู้และจุดยุทธศาสตร์และปัจจัยอื่นๆนั่นเอง
คาเอดะเกิดในตระกูลนินจาและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กดังนั้นเขาจึงเชี่ยวชาญการใช้พละกำลังมากกว่าเย่เชียนและเขาก็แข็งแกร่งกว่ามากเช่นกัน ซึ่งเย่เชียนก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่ออกมาจากมือของคาเอดะ ซึ่งเย่เชียนก็รู้ว่าเขานั้นอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคาเอดะจนเย่เชียนตกใจเล็กน้อย
หลินเฟิงที่อยู่ข้างๆก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของเย่เชียนและเดาคร่าวๆได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้บอดี้การ์ดอย่างเขาก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเฝ้าดูจากด้านข้างและรอดูว่าเย่เชียนจะจัดการกับมันอย่างไร
ซ่งหลันเองก็ได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณมานานกว่าหนึ่งปีเช่นกันและถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่ปรมาจารย์แต่เธอก็อยู่ขั้นฝึกตนแล้วดังนั้นเธอจึงสามารถสัมผัสศิลปะการต่อสู้โบราณอันทรงพลังของคาเอดะได้ ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ซ่งหลันตกลงร่วมมือกับตระกูลอิงะเชิงธุรกิจและเธอไม่เพียงแค่ต้องการหลอกใช้พลังของตระกูลอิงะเพื่อให้เครือน่านฟ้ากรุ๊ปหยั่งรากลึกลงในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้นแต่เธอยังต้องการข้อมูลต่างๆเพิ่มเติมเกี่ยวกับตระกูลอิงะอีกด้วย ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแต่เธอก็ค่อนข้างระมัดระวังตัวของเธอเองและหวังว่าเธอจะทำให้เย่เชียนรู้สึกได้สักทีว่าเธอเองก็มีความสำคัญสำหรับเขา แต่เธอก็ยังรู้ลำดับความสำคัญเพราะเธอเป็นคนที่รู้จักเย่เชียนดีที่สุดในหมู่ผู้หญิงและเธอก็รู้ด้วยว่าทักษะของเย่เชียนในตอนนี้อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคาเอดะซึ่งเธอก็รู้ดีว่าคาเอดะคงจะไม่ลงมือทำอะไรต่อหน้าเธอเพราะเธอต้องการให้เย่เชียนเจ็บปวด ดังนั้นเธอจึงหวังว่าเย่เชียนจะสามารถรับมือกับมันได้
ทุกคนก็ไม่ได้คาดหวังว่าการแสดงของเย่เชียนจะทำให้พวกเขาประหลาดใจ รวมไปถึงคาเอดะเองเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนจะทำเช่นนี้ เพราะในความคิดของเขานั้นมันไม่มีผู้ชายคนไหนที่ยอมเสียหน้าต่อหน้าผู้หญิงที่เขาชอบและยิ่งเย่เชียนเป็นถึงประธานของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปและมีสถานะที่สูงมาก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าถึงแม้ว่าเย่เชียนจะทนไม่ได้แต่อย่างน้อยๆมันก็ต้องจบลงด้วยการเงียบและอดทนอดกลั้นแต่ทว่าเย่เชียนกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
“โอ๊ย..เบาๆหน่อยครับ!” เย่เชียนกรี๊ดร้องด้วยสายตาที่ดูเจ็บปวดและโอดครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คาเอดะก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งแล้วรีบปล่อยมือเพราะเย่เชียนมีปฏิกิริยาเช่นนี้แล้วเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหยุดการกระทำของเขา ไม่เช่นนั้นไม่เพียงแค่เขาจะเสียหน้าแต่เขาจะต้องละทิ้งความประทับใจที่ดีของซ่งหลันไปและมันอาจทำให้ซ่งหลันรู้สึกว่าเขาไม่ให้เกียรติเธอและรังแกคนที่อ่อนแอกว่า
“ผมขอโทษ..คุณคาเอดะแข็งแรงมาก..มือของผมต้องหักเพราะคุณแน่ๆ” เย่เชียนลูบฝ่ามือแล้วแสร้งพูดอย่างขมขื่น เย่เชียนนั้นรู้ดีว่าความรู้สึกของซ่งหลันที่มีต่อเขานั้นมันหยั่งรากลึกและผ่านความตายด้วยกันมานับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้นเย่เชียนก็ไม่เคยที่จะเผชิญหน้ากับซ่งหลันเพราะเย่เชียนดูเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวน้ำเดือดๆ ดังนั้นเขาจะไม่โง่พอที่จะเปิดศึกกับคาเอดะในตอนนี้เพื่อเอาชนะใจของซ่งหลัน
ที่สำคัญกว่านั้นเนื่องจากเย่เชียนไม่ได้คิดที่จะเปิดศึกกับคาเอดะในตอนนี้ดังนั้นเขาจะเสียเวลาไปทำไม? ซึ่งเย่เชียนนั้นไม่เคยคิดที่จะพิชิตศัตรูนับพันแล้วตนเองต้องเสียมิตรสหายนับหมื่น ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เย่เชียนต้องการคือการรู้จุดอ่อนของศัตรูโดยการทำให้คาเอดะดูถูกตนเองและเพิกเฉยเพื่อที่เย่เชียนจะได้ไม่ถูกค้นพบตัวตนที่แท้จริงโดยไม่ทันตั้งตัวและจะโต้กลับอย่างน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
การที่เย่เชียนทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ามันได้ผลสำเร็จแล้วเพราะบนใบหน้าของคาเอดะมีความดูถูกเหยียดหยามบนใบหน้าของเขาอย่างมาก เดิมทีคาเอดะเป็นคนที่ภาคภูมิใจในตนเองตั้งแต่วัยเด็กและเป็นความหวังของครอบครัวมาโดยตลอดและเป็นที่รักของฟูมะไคโตะผู้นำตระกูลอิงะในปัจุบันคาเอดะนั้นได้คอยดูแลเศรษฐกิจของตระกูลอิงะมาโดยตลอดดังนั้นหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเขาก็น่าจะเป็นทายาทคนต่อไปของตระกูลฟูมะหรือแม้แต่ผู้นำของตระกูลอิงะด้วย ดังนั้นเขาจึงมีผู้ใต้บังคับบัญชามากมายและมีผู้หญิงจำนวนมากที่หมายปองเขาและยังมีผู้คนอีกนับไม่ถ้วนที่คอยประจบสอพลอ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเขาจึงกลายเป็นคนที่หยิ่งยโสและโออ่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดัวนั้นเมื่อเย่เชียนมีปฏิกิริยาเช่นนี้เขาก็ดูถูกเหยียดหยามโดยธรรมชาติ โดยจัดว่าเย่เชียนนั้นเป็นบุคคลประเภทที่ไม่สามารถคุกคามตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย
หลินเฟิงที่อยู่ข้างๆก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการแสดงของเย่เชียนแต่จากความเข้าใจของเขานั้นเขาคิดว่านี่คือสิ่งที่เย่เชียนตั้งใจทำและถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ต่อสู้กับคาเอดะก็ตามแต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่าคาเอดะนั้นไม่ใช่คนธรรมดาผ่านการแสดงออกที่เย่เชียนแสดงออกมาเมื่อเขาจับมือกับคาเอดะในเวลาสั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้นหลินเฟิงยังมีความรู้เกี่ยวกับตระกูลนินจาอิงะอยู่บ้าง ดังนั้นคนที่โดดเด่นที่เกิดในตระกูลนินจาที่ยิ่งใหญ่นั้นจะเป็นตัวละครที่เรียบง่ายได้อย่างไร
“คุณเย่เนี่ยดูไม่ค่อยแข็งแรงเลยนะ” คาเอดะพูดเบาๆ
เย่เชียนก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “นั่นสิ..ผมคิดว่าตอนนี้ผมยังแข็งแรงอยู่แต่มันคงไม่ใช่สินะ..เพราะแต่ก่อนผมออกกำลังกายปืนภูเขาล่าสัตว์เป็นประจำแต่ปีนี้ผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับธุรกิจทั้งวัน..ทั้งดื่มและนอนดึกจนร่างกายทรุดโทรมลงทุกวันๆ” จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองซงหลันแล้วพูดว่า “ที่รักผมต้องขอโทษจริงๆที่ทุกวันนี้ผมทำให้คุณไม่ค่อยถึงใจ”
ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ได้พูดในสิ่งที่เขาจะสื่ออย่างชัดเจนแต่ทุกคนก็สามารถเข้าใจความหมายของสิ่งที่เย่เชียนพูดได้ เมื่อรวมประโยคก่อนหน้าของเย่เชียนเข้าด้วยกันก็เห็นได้ชัดว่าเขาเมาจนเกินไปจนไม่สามารถทำให้ซ่งหลันพอใจตอนมีเพศสัมพันธ์ได้
หลินเฟิงก็ถึงกับผงะและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับนิสัยที่งี่เง่าของเย่เชียนก็ตามแต่เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอยู่ดี ส่วนคาเอดะก็แน่นิ่งไปชั่วขณะและเขาก็มีความสุขเล็กน้อยในใจเพราะเขานั้นคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลที่ซ่งหลันจะอยู่กับคนไร้ประโยชน์อย่างเย่เชียน ดังนั้นตราบใดที่เขาพยายามอีกสักหน่อยเขาก็อาจจะได้ครอบครองซ่งหลันใช่ไหม? เขาไม่ได้ชอบซงหลันจริงๆเพียงแต่ซ่งหลันมีเสน่ห์ที่พิเศษมากที่ดึงดูดเขา ซึ่งชายหนุ่มอย่างเขาจะทุ่มเทให้กับผู้หญิงคนเดียวได้อย่างไร? เพราะยิ่งหาไม่ได้มากเท่าไรเขาก็ยิ่งโออ่ามากเท่านั้น
ซ่งหลันก็เหลือบมองเย่เชียนและเอื้อมมือไปจับแก้มของเย่เชียนและพูดอย่างมีเสน่ห์ว่า “ไม่เป็นไรหรอกที่รัก..ตราบใดที่เรารักกันมันก็ไม่สำคัญว่าเราจะทำสิ่งนั้นได้ดีหรือไม่ดี..ขอแค่คุณมีฉันในหัวใจมันก็เพียงพอแล้ว”
สิ่งที่ซ่งหลันพูดออกมานั้นมันคือความรักอันลึกซึ้งที่สัมผัสได้จนเย่เชียนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านและขนลุกอย่างไม่รู้ตัว
.
.
.
.
.
.
.